ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาแห่งความรัก ศิลปะแห่งการให้และการรับ  (อ่าน 3001 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.




ปรัชญาแห่งความรัก ศิลปะแห่งการให้และการรับ

โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ศ. ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ. ๙, พธ.บ.,Ph.D)



 :25: :25: :25:

บทนํา

มนุษย์และสรรพสิ่งไม่หลุดกระเด็นลอยคว้างไปในห้วงอากาศ หากแต่ถูกยึดอยู่บนพื้นพิภพด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์สามารถรวมตัวกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมกลุ่มกันเป็นสังคมได้ ก็ด้วยแรงดึงดูดของความรัก...

ความรักนั้นเป็นฉันใด

ความรักนั้นเป็นฉันใด คือ ปริศนาที่ท้าทายความช่างคิดของนักปรัชญา หากโฉมหน้าของความรักได้รับการเปิดเผยออกมา นักบวชจะสละโลกได้เร็วขึ้น และนักแสวงหาความรักก็อาจบรรลุจุดหมายของเขา..ในเวลาไม่นานเกินรอ...

นิยามแห่งความรัก

นักปราชญ์สมัครเล่น ให้นิยามความรักไว้ด้วยบทกลอนว่า...
    คือนํ้าผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ
    คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
    คือเกสร ดอกไม้ อันไฟรุม
    คือความกลุ้ม คือความฝัน นั่นแหละ “รัก”

อ่านค่านิยามนี้แล้ว ผู้ไม่เคยสัมผัสความรักจะไม่กระจ่างใจเลยว่า ความรักคืออะไร.?

แต่สําหรับผู้กําลังดื่มในความรัก คํานิยามใดๆก็ดูเกินความจําเป็น ทั้งนี้เพราะความหมายของคําว่า "รัก" ประจักษ์แก่ใจของเขาเป็นอย่างดี แต่เขาไม่อาจพูดออกมาให้คนไม่เคยรักเข้าใจได้ เหมือนเราท่านไม่สามารถอธิบายให้คนตาบอดแต่กําเนิด เข้าใจถึงความสวยงามของธรรมชาติ

ดินแดนแห่งความรัก

ความรักกลายเป็นเรื่องลึกลับ เพราะเป็นอารมณ์เฉพาะตนที่ใครรักใครรู้ และเชื่อว่า เราทุกคน..คงเคยตกหลุมรักกันมาแล้วไม่มากก็น้อย

     ในดินแดนแห่งความรักมี ๕ ประเภท คือ
      ๑. ความรักฉันพี่น้อง (brotherly love)
      ๒. ความรักของมารดา (motherly love)
      ๓. ความรักทางเพศ (erotic love)
      ๔. ความรักตัวเอง (self love)
      ๕. ความรักพระเจ้า (love of God)

@@@@@@@

อารมณ์ประกอบแห่งความรัก

หากจะให้นิยามความรัก วิธีนิยามที่ง่ายแก่การเข้าใจ จึงควรจะเป็นนิยามแบบวิเคราะห์(anylytical definiton) โดยแยกแยะออกไปว่า ในสายใยของความรักมีเกลียวสําคัญกี่เกลียว โดยวิธีนี้เราพบว่า..ความรักประกอบด้วยอารมณ์หลัก ๒ ประการ คือ
     ความเพลินใจ (delight) กับ
     ความปรารถนาดี (benevolence)

ความรู้สึกเพลิดเพลินใจ

ความเพลินใจ คือ ความรู้สึกเพลิดเพลินตา พอใจเมื่ออยู่ใกล้ หรือประสบกับสิ่งที่เรารัก
ศิลปิน..เพลงชมภาพเขียน กวี..ซาบซึ้งในความงามของทิวทัศน์
แฟนเพลง..คลั่งไคล้ในเสียงเพลงของนักร้องยอดนิยม
เหล่านี้คือ..ความรักเนื่องด้วยความเพลินใจ

ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีก เช่น นักการเมือง เพลินใจกับการครองเก้าอี้รัฐมนตรี ชายหนุ่มเพลินกับการชมวงหน้าเก๋ ลักยิ้มมีเสน่ห์ และน้ําเสียงพลิ้วระริกของหญิงสาวคนรัก หรือมารดาบิดาสุขใจเมื่อเห็นความเติบโตและไร้เดียงสาของบุตรธิดา

ดังนั้น ในความรัก..ความเพลิดเพลินใจจึงเป็นส่วนประกอบสําคัญ
สิ่งใดไม่ชวนเพลินใจ..สิ่งนั้นขาดเสน่ห์และไม่น่ารัก

พระอรหันต์ไม่มีความรักฉันชู้สาวอยู่ในหัวใจ เพราะท่านพิจารณาเห็นทรวดทรงของหญิงสาว เป็นเพียงโครงกระดูกเดินได้ แล้วเสน่ห์จักมีแต่ไหน.?

@@@@@@@

รักแล้วเป็นทุกข์ จริงหรือ.?

เมื่อความรักบรรจุเปี่ยมด้วยความเพลินใจ
ไฉนพระพุทธองค์จึงตรัสว่า "ความรักเป็นทุกข์"

ที่จริงแล้ว ความรักซึ่งยังอยู่ในขั้นของความเพลินใจ จะไม่ก่อเหตุทุกข์ร้อน
ตราบเมื่อความเพลินใจ(ตัณหา) สั่งสมมากเข้า จนกลายเป็นความติดใจ(อุปาทาน) หรือเป็นความเคยชินที่ขาดไม่ได้..ความทุกข์จึงเกิดขึ้น

ยามที่ของรักยังอยู่ในครอบครอง ก็เกิดความหวงแหน และเป็นทุกข์ว่า สักวันจะต้องหลุดมือไป หวาดผวาตลอดเวลา คนมีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว

และเมื่อถึงวาระที่ของรักหลุดลอยไปจริงๆ ความทุกข์จะยิ่งเพิ่มทวี เพราะรู้สึกอาลัยอาวรณ์แทบขาดใจ ภาพอดีตอันแสนหวาน ผุดขึ้นหลอกหลอนจนคลั่ง บทกลอนนิราศรักที่ประสบความสําเร็จ ก็เนื่องมาจากพรรณนาความเจ็บปวดของคนพลาดรักได้อย่างสมจริงสมจัง

อานุภาพแห่งรัก

ใครบางคนกล่าวไว้ว่า ความรักทําให้คนเป็นกวี ส่วนความทุกข์ทําให้คนเป็นนักปรัชญา

ความรักของหนุ่มสาว ดูเหมือนจะแยกไม่ออกจากความทุกข์ มิฉะนั้นคงไม่มีคําเตือนใจที่ว่า ถ้าจะรักก็อย่าลืมคําว่าเสียใจ

     แต่บางราย..แก้ความเสียใจด้วยวิธีถอนพิษด้วยพิษ คือพลาดหวังจากรักเก่า ก็หันไปหารักใหม่ เหมือนคนที่พยายามงดดื่มสุรา ด้วยการหันไปสูบกัญชาแทน
     แต่บางรายความอาลัยอาวรณ์มีมาก ตัดแล้วตัดอีกก็ไม่ขาด จดทะเบียนสมรสแล้วหย่า หย่าแล้วจด จนคนเชียร์งุนงงไปตามๆกัน นี่เป็นเรื่องราวของความติดใจที่ตัดไม่ได้ขายไม่ขาด
     เหมือนในกรณีของนักการเมืองผู้เสียอํานาจ หวังคืนสู่บัลลังก์อีก โดยไม่เลือกว่าวิธีนั้นจะเป็นปฏิรูปหรือปฏิวัติ

     ความรักความเพลินใจอย่างเดียว เป็นชนิดของความรักที่เรามีต่อศิลปวัตถุ ไม่ใช่ต่อเพื่อนมนุษย์
     ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ จะต้องมีส่วนประกอบเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง คือ ความปรารถนาดี

ความรักในวัตถุแห่งความงาม เช่น ดอกกุหลาบ จะมีแต่ความเพลินใจ เราไม่ได้ปรารถนาดีต่อดอกกุหลาบ เราถือดอกกุหลาบเป็นเพียงสิ่งสนองความเพลินใจของเรา ความรักชนิดนี้เจือมาก ด้วยความเห็นแก่ตัว เราปฏิบัติต่อคนอื่นเสมือนวัตถุสนองความต้องการ คนอื่นเป็นเพียงทางผ่าน ที่นําเราไปสู่จุดประสงค์ที่ซ่อนเร้น

     ชายหนุ่มอาจถือหญิงสาวเป็นเพียงวัตถุบําบัดความใคร่ เมื่อหมดความเพลินใจ ก็สิ้นรักสิ้นอาลัย เยื่อใยเหมือนไม่เคยมี
     เหตุนั้น ความรักด้วยความเพลินใจอย่างเดียว จึงเสี่ยงต่ออันตราย





ความปรารถนาดี

ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ จําต้องมีส่วนประกอบที่สอง คือ ความปรารถนาดี ความหมายที่สมบูรณ์ของคําว่าความปรารถนาดี รวมอยู่ในศัพท์ธรรมะว่า เมตตา กรุณา

     คําว่า เมตตา หมายถึง ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
     กรุณา คือ ความสงสารอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

ดังนั้นในความรักความปรารถนาดีนี้ ผู้รักมีเมตตาหวังจะเห็นคนรักเจริญงอกงาม จึงส่งเสริมสนับสนุน ให้คนรักเติบโตไปในแนวถนัดของตน มีความเคารพในความเป็นตัวของตัวเองของคนรัก ไม่มีความประสงค์จะแทรกแซงกิจการภายใน แต่ถึงจะให้อิสระเสรีแก่กัน ความผูกพันทางใจยังคงแนบแน่น

     ในความรักจึงมีการรวมเป็นหนึ่งที่ยังคงความเป็นสอง เพราะเพียงใจสองดวงเท่านั้นที่รวมเป็นหนึ่งเดียว แต่คู่รักยังอนุญาตให้กันและกัน รักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ ไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่างของอีกฝ่ายหนึ่ง คู่รักจึงเป็นบุคคลสองคนที่ครองหัวใจเดียวกัน

     ยิ่งกว่านั้น ในความรักยังต้องมีความสงสารเห็นใจหรือกรุณา มีความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นคนรักช้ําใจ พยายามหลีกเลี่ยงการทําลายน้ําใจของคนรัก

     คู่รักย่อมปรารถนาจะถนอมน้ําใจของกันและกัน หากไม่มีความสงสารก็ไม่มีการถนอมน้ําใจ และถ้าไม่ถนอมน้ําใจ ก็เท่ากับไม่รู้จักรักษาความรัก

     บางคนจึงกล่าวว่า..เป็นการง่ายที่จะปลูกต้นรัก
     แต่เป็นการยากที่จะรักษาความรักให้คงทน
     ถ้าจะมีรัก..ก็ต้องเรียนรู้ศิลปะแห่งการบ่มรัก

ศิลปะแห่งการบ่มรัก

ความรักเพื่อนมนุษย์ที่แท้จริง จะต้องมีทั้งความเพลินใจและความปรารถนาดี
พ่อแม่ที่รักลูก..จะต้องเพลินใจกับความงาม และพอใจกับความสำเร็จของลูก ในขณะเดียวกันก็มีความปรารถนาดีต่อลูก

ความรักแท้ของหนุ่มสาว คือ ความรู้สึกผสมระหว่างความเพลินใจและความปรารถนาดี แต่ความปรารถนาที่จะเกิดได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างมั่นใจในความรักของกันและกัน ความรักที่ปราศจากความมั่นใจนําไปสู่การหึงหวง และการหึงหวงจะบดบังความปรารถนาดีต่อกันเสียสิ้น

     ความรักแท้ต้องมีส่วนประกอบทั้งสอง
     หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง...
     ความรักอาจจะเป็นพิษ น้ําผึ้งจะกลายเป็นขม
     ความรักด้วยความเพลินใจเพียงอย่างเดียว เป็นอันตราย
     ส่วนความรักด้วยความปรารถนาดีอย่างเดียว ก็จะจืดเกินไป

ความรักที่ตั้งบนฐานของความสงสาร โดยไม่มีความเพลินใจเป็นผงชูรส จะเสี่ยงต่อการเลิกร้าง เพราะเมื่อความสงสาร สิ้นสุด คู่รักก็จะรู้สึกเซ็งในกันและกัน หากถึงขั้นทนไม่ได้ ก็เห็นจะต้องแยกทางกันไป และเมื่อแยกทางกันไปแล้ว จะไม่มีการหวนกลับมา คืนดีกันอีก เพราะต่างไม่มีความอาลัยอาวรณ์ จะมีแต่ความรู้สึกโล่งใจ ที่พ้นเคราะห์พ้นกรรมเสียได้

ชีวิตการแต่งงาน อาจเป็นเรื่องอึดอัดน่ารําคาญสําหรับคนแต่งงานแล้ว แต่เป็นสิ่งชวนชิมสําหรับคนโสด ชีวิตการแต่งงานจึงเป็น สถาบันที่คนในอยากออก แต่คนนอกอยากเข้า

@@@@@@@

สิ่งที่มอบให้ได้อย่างไม่มีขีดจํากัด

ความปรารถนาดีเป็นสิ่งที่มอบให้แก่คนทั่วไปไม่มีขีดจํากัด

เราอาจมอบให้แก่เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมชาติ หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมโลก ดังที่พระเยซูสอนให้รักเพื่อนบ้าน หรือพระพุทธองค์ทรงสอนให้คนแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์

ซึ่งตรงกันข้ามกับความเพลินใจที่มีขีดจํากัด เราจะเพลินใจ เฉพาะกับคนที่เราพอตาพอใจ แต่จะรู้สึกอึดอัดเมื่อเผชิญหน้ากับคน น่าเกลียดน่าชัง กระนั้นก็ดี เรายังเอื้อความปรารถนาดีแก่คนนั้นได้ความปรารถนาดีจึงมีขอบเขตกว้างขวางกว่าความน่าเพลินใจ

     ดังเห็นได้ในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ เราสามารถส่งบัตร ส.ค.ส. แสดงความปรารถนาดีให้แก่คนได้มากเท่าที่เงินจะอํานวย

     แต่นักปรัชญาเรืองนามร่วมสมัย ชื่อว่า เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) มีความเห็นว่า..บางครั้งความปรารถนาดีต้อง อยู่ในขีดจํากัด อย่างกรณีของชายหนุ่มคนหนึ่งหมายจะแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนปองรัก ภายหลังมารู้ว่า เธอเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มอีกหลายคน

     เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มคนแรกควรทําอย่างไร.?
     แน่ละ.! เราคงไม่หวังให้เขาถอนตัวจากการแข่งขัน และไม่คาดหมายว่า เขาควรจะเอื้อความปรารถนาดีแก่คู่แข่งขันในเกมชิงรัก การแข่งขันถูกถือว่าเป็นวิธียุติธรรม

ความรัก..ศิลปะแห่งการให้และการรับ

จากมติที่ว่า ความรักประกอบด้วยความเพลินใจและความปรารถนาดี เราได้นิยามเพิ่มเติมว่า..ความรักคือ ศิลปะแห่งการให้และการรับ (Love is the art of giving and taking) หมายถึง การให้และการรับสั่งเพลินใจและความปรารถนาดี

การให้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง การเสียสละหรือจําใจทําทาน แต่การให้แสดงให้เห็นถึง ความเข้มแข็ง มั่งคั่ง และอํานาจ , ผู้ที่อ่อนแอ ยากจน และไร้อํานาจ จะมีอะไรไว้ให้คนอื่นเล่า ผู้ให้จึงอยู่ในฐานะเหนือกว่าผู้รับ

ในความรัก..เราให้ความเพลินใจ ความปรารถนาดี ความคิดเห็นและอารมณ์ขันแก่คนรัก เราให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากพลังชีวิตของเรา สิ่งที่เราให้จะไปจุดประกายชีวิต และสร้างความเพลินใจให้คนรัก และโดยอัตโนมัติ คนรักก็จะคืนความมีชีวิตชีวา ความเพลินใจและความปรารถนาดีตอบแทนแก่เรา ความรักของเราจึงเป็นสื่อน่าความรักกลับคืนมา

     ความรักแท้ อาจต้องมีการเสียสละ
     แต่ผู้เสียสละก็ยังได้รับของกํานัล คือ น้ำใจจากคนรัก
     ผู้รัก..จึงเป็นทั้งฝ่ายให้และฝ่ายรับ


                                             -จบ-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2024, 06:58:03 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ