ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สติในชีวิตประจําวัน : รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้  (อ่าน 2814 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.


งานนิพนธ์และปาฐกถาธรรม ชุด ธรรมะในชีวิตประจําวัน
โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ศ. ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ. ๙, พธ.บ.,Ph.D)
สติในชีวิตประจําวัน : รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้




 :25: :25: :25:

สติในชีวิตประจําวัน : รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สติ สมาธิ ปัญญา

ปัญญาที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานนั้น จะมีพลังมาก มีอานิสงส์มาก พระพุทธเจ้าต้องเจริญสติบําเพ็ญสมาธิ เพราะฉะนั้น ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน อย่าใจลอย ใจต้องอยู่ กับเรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องทํา ท่านจะมีสมาธิ แล้วสมาธินั้นทําให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่นํามาใช้ในชีวิตประจําวัน เรียกว่า สัมปชัญญะ
สัมปชัญญะ ก็คือ ปัญญาเฉพาะเรื่องนั่นเอง
ปัญญา คือ ความรอบรู้
ส่วนสัมปชัญญะ ก็คือ ความรู้ชัด รู้จริง ที่นํามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขณะนั้นได้
ถ้าสติไม่มาปัญญาก็ไม่เกิด

สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดก็เกิดปัญหา

ตัวอย่างในการแก้ปัญหา เช่น ตึกถล่มที่รอยัลพลาซ่า โคราช ทุกคนในอาคารตกอกตกใจ บางคนช็อค วิ่งพล่าน แต่ก็มีคนคนหนึ่ง รอดมาได้ เขากําลังกวาดพื้นอยู่ พอเสียงลั่นครืน แกกระโดดวิ่งไปหา เสาใหญ่ ไปหลบที่เสา เพราะคานมันจะหล่น พอคานหล่นมาก็คร่อม แกไว้ แกอยู่พิงเสา ไม่ได้วิ่งไปไหน มีสติเพราะฝึกไว้ แต่บางคนฝึกแล้ว ยังตกใจทําอะไรไม่ถูก สติไม่มา ปัญญาไม่เกิด

สติ คือ ความรู้ทัน
สัมปชัญญะ คือ ความรู้เท่า ความรู้เท่าถึงการณ์ เห็นเหตุแล้วคาดว่าผลลัพธ์อะไร จะตามมา มองภาพกว้าง มองหน้า มองหลัง

@@@@@@@

รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้ไข

พอเกิดปัญหาเฉพาะหน้าขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม สติจะ ช่วยทําให้ท่านระดมปัญญามาแก้ปัญหา เช่น ขับรถบนท้องถนน ถ้า เกิดยางแตกจะทําอย่างไร.? บางคนตกใจเสียสติ....เหยียบเบรค รถเลย พลิกคว่ำ บางคนขับรถบนท้องถนน รถบรรทุกสิบล้อพุ่งสวนเข้าใส่ ท่านจะทําอย่างไรถ้ากดแตรเขายังไม่หลบ.? บางคนบอกว่ารถบรรทุก แล่นในช่องทางของเรา ต้องวัดใจกันหน่อย ใครดีใครอยู่

สติ กับ สัมปชัญญะ

สติเป็นเครื่องกำหนดรู้ว่าเรากำลังท่าอะไร บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ํา พอโกรธขึ้นมาแทบจะฆ่ากันตาย พอรู้ตัวก็ว่า นี่เราถือมีดทําไม.? เราบ้าอะไรขึ้นมา.?

สติจะเป็นตัวตรวจ....ตรวจความเป็นไปของเรา
สัมปชัญญะจะเป็นตัวตัดสิน หรือกลั่นกรองว่า อะไรควร ไม่ควร เช่น เราโกรธ อยากจะไปด่าเขา ถ้าเราไม่มีสติ เราก็ไปด่าเขา สติจะเตือนให้เรารู้ตัวว่ากําลังจะด่า สัมปชัญญะจะเป็นตัวเซนเซอร์ที่ พิจารณาว่าควรด่าหรือไม่ควร

ความรู้ชัด ๔ ประการ

    สัมปชัญญะ คือ ความรู้ชัด ๔ ประการ คือ
    ๑. สาตถกสัมปชัญญะ ยังคิดถึงประโยชน์ตนและท่าน
    ๒. สัปปายสัมปชัญญะ เลือกเรื่องที่เหมาะสม
    ๓. โคจรสัมปชัญญะ มีธรรมประจําใจ
    ๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ ไม่หลงลืมตัว





ยังคิดถึงประโยชน์ที่เกิดจากการกระทํา

ประการแรก สาตถกสัมปชัญญะ คือ ยังคิดถึงประโยชน์ที่เกิดจากการ กระทําของตน ก่อนที่ท่านจะทําอะไรก็ตาม โบราณสอนเราให้ยังคิด เสียก่อน เช่น นับ ๑-๑๐

การยั้งคิด คือ สติสัมปชัญญะ ที่ตรวจสอบพฤติกรรม ของตัวเอง ก่อนพูด ก่อนทํา ให้นึกว่าเรื่อง ที่จะพูดหรือทํามีประโยชน์ หรือไม่

คนที่หมั่นตรวจสอบตัวเอง จะทําอะไรไม่ผิดพลาด คนทําอะไรไม่ผิดพลาดก็ไม่มีความทุกข์ ความเครียด ส่วนคนที่ทําผิดเพราะ ไม่ยั้งคิด ไม่ได้นึกว่าเรื่องที่เราจะพูดจะทําออกไปนั้นมีประโยชน์ไหม สติจะบอกว่า เรากําลังทําอะไร สัมปชัญญะจะเตือนว่าเรื่องที่ทํา อยู่นี้มีคุณหรือมีโทษ ให้ยั้งคิดเสียก่อน

บางท่านทําไปตามความเคยชิน แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ สามีหนุ่ม ภรรยาสาว ที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ตัวเขาเองก็มักจะทะเลาะกัน ถ้าพ่อแม่เคยใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาอย่างไร ลูกของเขา....เวลาที่โตขึ้นแล้วแต่งงาน ก็มักจะแก้ปัญหา อย่างนั้น แม่เคยทําอย่างไรเมื่อทะเลาะกับพ่อ ลูกสาวก็มักจะทําอย่างนั้น เพราะว่าชินกับการแก้ปัญหาอย่างเดิม อย่างเดียวกัน แต่ถ้ามีสัมปชัญญะสักนิด และยังคิดเสียก่อน พอโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่ามีประโยชน์อะไรไหมที่จะเอาชนะกัน

พ่อแม่บางคนด่าลูกอย่างเดียว ถามว่าด่าเพื่ออะไร.? ตอบว่า ให้เด็กกลับตัว ถ้าด่าอย่างเดียวเด็กจะกลับตัวไหม ถ้ายิ่งด่าเหมือนยิ่งยุ แล้วด่าทําไม การยั้งคิดจะเกิดขึ้น และหันไปใช้เหตุผลอบรมลูก

ถ้าท่านไปถนนสายกรุงเทพฯ - สระบุรี จะผ่านหินกอง ก่อนถึง หินกองประมาณ 9 กม. ด้านซ้ายมือ จะพบอาคาร ๔ ชั้น เป็นร้าน อาหารใหญ่ เถ้าแก่ของร้านนี้เคยอยู่ตรงสี่แยก เปิดเป็นร้านเล็กๆ ขายของ บังเอิญเป็นที่จอดรถประจําทางจึงขายดิบขายดี พอขายดี ได้เงินสะสมขึ้นมาก็ย้ายไปอาคาร ๔ ชั้น

     คุณทวี วรคุณ รู้จักมักคุ้นจึงแวะรับประทานอาหาร พอรู้ว่า ย้ายร้านจึงถามว่า
    "คนจีนเขาถือว่าค้าขายที่ไหนทำมาค้าขึ้นแล้ว เขาจะไม่ย้ายที่ แล้วนี่ย้ายห่างไปตั้งหนึ่งกิโลเมตร รถที่ไหนจะไปจอด ไม่กลัวขาดทุนหรือ.?"
     เถ้าแก่ตอบว่า "ไม่กลัวขาดทุน"
    “ทําไมไม่กลัว.?” คุณทวีชัก
     เถ้าแก่ตอบว่า "ถ้าขาดทุนถือว่าขาดทุน ๔ บาท"
    "ทําไมขาดทุนน้อยจัง?"
     เถ้าแก่อธิบายว่า ..
    “เพราะตอนที่แยกตัวมาตั้งครอบครัวทําธุรกิจ เตี้ยให้เงินมา ลงทุน แค่ ๔ บาท นอกนั้นทํางานหาเงินเองตลอด ขาดทุนแค่ ๔ บาท จะกลัวอะไร"
     วิธีคิดนี้เป็นสาตถกสัมปชัญญะ

@@@@@@@

เถ้าแก่คนนี้ มีเหตุการณ์สําคัญที่เปลี่ยนชีวิตอีกตอนหนึ่ง คือ แกเคยเล่นการพนัน ในรอบปีหนึ่งจะไปเล่นครั้งหรือสองครั้ง ปรากฏว่า ครั้งหนึ่งไปเล่น ๓ วัน ๓ คืน ไม่กลับบ้าน ไม่บอกภรรยาด้วย หมดเงิน หมื่นที่สะสมมาเป็นปี

พอกลับมาบ้านภรรยาถามว่า ไปไหนมา.? ก็ตอบว่า ไปเล่นไพ่ แล้วเงินสะสมเป็นหมื่นนั้นก็ไปเสียพนันหมดเลย

ตอนที่เดินทางกลับบ้าน เถ้าแก่นึกในใจว่า ถ้าภรรยาด่าคําเดียวจะท้าเลิกกันเลย ไหนๆ เรามันเลวมาแล้ว ก็ไปตามทางของ คนเลว หากภรรยาพูดผิดหูค่าเดียว....ท้าแยกทางกันเลย

บังเอิญภรรยาบอกว่า "หมดแล้วหมดไป แต่ถ้ารู้ว่าเล่นแล้วหมดตัวก็อย่าไปเล่นอีก"

ฟังแค่นี้เถ้าแก่เกิดความสงสารภรรยา คิดว่า เขาดีต่อเราอย่างนี้ เรายังจะเลวไปเล่นอีกหรือ คิดไปคิดมาเลยเลิกเล่นการพนัน ตั้งแต่นั้นมา แล้วก็ทํางานสร้างฐานะมาจนกระทั่งเป็นหลักฐานในปัจจุบัน

ครั้งหนึ่ง อาตมาไปบรรยายธรรมให้ผู้อ่านวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศฟัง ผู้อํานวยการท่านหนึ่งขับรถมาส่งที่วัด แล้วก็บอกว่า ภรรยาของผมร้องไห้มา ๓ ปีแล้ว เพราะพี่ชายเธอตาย พี่ชายของภรรยาเป็นหมออยู่ที่สหรัฐฯ มาหัวใจวายตายกะทันหันที่เมืองไทย ร้องไห้สงสารพี่ชายที่ตาย ไม่ใช่ร้องไห้คนเดียว แม่ยายผมก็ร้องไห้ด้วย เจอหน้ากันทีไรร้องไห้ทุกที ไม่เป็นอันทํางานทําการมา ๓ ปีแล้ว ผมไป เตือนไม่ได้ เธอจะหาว่าไม่รักพี่ชายของเธอ ครอบครัวเราไม่มีความสุข มา ๓ ปีแล้ว

การร้องไห้นั้นสามารถทําได้ แต่ควรพิจารณาว่า จะเกิดอะไร ไม่ใช่ทําไปตามความเศร้าอย่างเดียว ถึงจะร้องไห้สักเท่าไรก็ช่วยอะไรไม่ได้...ญาติตายไปแล้ว

    พระพุทธเจ้าท่านทรงเตือนว่า... “น หิ รุณฺณํ วา โสโก วา” เป็นต้น
    แปลความว่า “การร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือคร่ําครวญ ไม่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ญาติผู้ล่วงลับก็คงอยู่อย่างนั้นการถวายทักษิณาทาน ที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ จึงจะสําเร็จประโยชน์แก่ญาตินั้น ตามสมควรแก่ฐานะตลอดกาลนาน" 
     การยั้งคิดก่อนทําเช่นนี้จัดเป็น...สาตถกสัมปชัญญะ

@@@@@@@

บางคนเป็นคนอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดตลอดวัน คือ เป็นความ เคยชินอย่างหนึ่ง คนประเภทนี้ความจําดี ใครด่าใครว่าอะไรจํา ได้หมด เพราะจดใส่ไดอารี่ว่าวันที่เท่านั้น เวลาเท่านั้น คนนั้นด่าฉัน ว่าอย่างนั้น ท่านลองคิดดูซิว่า รถมีท่อไอเสีย....มันไม่เก็บสิ่งไม่ดีไว้ แต่คนเราเสียสุขภาพจิต หากเก็บแต่เรื่องร้ายๆเอาไว้ในความทรงจํา เก็บความสูญเสียคนรัก และความล้มเหลวในอดีตมาเป็นปีศาจที่คอย หลอกหลอนตนเอง คนเหล่านี้เก็บแต่เรื่องร้ายเอาไว้ แล้วก็ปล่อยออกมาหลอกหลอนตนเองตลอดเวลา

อันที่จริงแล้ว อดีตไม่มีความหมายในตัวเอง อดีตมีความ หมายเพราะเราไปให้ค่าแก่มันต่างหาก ถ้าเราไม่คิดถึง....อดีตก็ไม่มี ความหมาย อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง แล้วทําไมจะต้องไป วุ่นวายกับอดีต มองกลับอดีตอย่างมีบทเรียน หาประโยชน์จากความ ล้มเหลว ไม่ใช่ละห้อยหาอดีตมาเป็นข้อถ่วงความเจริญของตัวเอง อดีตเป็นบทเรียนที่จะใช้แก้ไขปรับปรุงตนเอง ความผิดหวัง ความล้มเหลว เป็นบทเรียนได้ธรรมดา

    ฉะนั้น คนบางคนโดนด่า หรืออะไรต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่อง
    มารไม่มี....บารมีไม่แก่
    ว่าวขึ้นสูง...ย่อมมีลมด้าน
    คนขึ้นสูง...ย่อมมีอุปสรรค

    ในทํานองเดียวกัน...
    ในชีวิตของคนเรา
    ควรจะหาประโยชน์จากเรื่องต่างๆ
    อะไรไม่ดีทิ้งไป ปล่อยๆไป
    เก็บแต่สิ่งที่ดีเอาไว้

บางคนถูกด่า ถูกว่า แล้วเก็บเอามาคิด มาแค้น เหมือนกับ เพื่อนบ้านปาเมล็ดตําแย่ใส่บ้านของเรา แทนที่เราจะกวาดให้พ้นๆไป บางคนหาที่เหมาะในบ้านมาเพาะตําแยเลย รดน้ําพรวนดินใส่ปุ๋ย พอ ตาแย ออกดอกออกเมล็ดแล้ว...ใครกัน.? เราคันเอง

คนด่าคนว่าเหมือนคนปาเมล็ดตําแยให้นิดเดียว แต่เรามาเพาะเพิ่มเอง เขาด่าเราตั้งแต่บ่ายสองโมง จนล่วงมาตีหนึ่งตีสองแล้ว เราก็ยังนอนไม่หลับ เพราะตาแยงอกในหัวใจ ต้องหมุนโทรศัพท์ไป ด่าเขากลับคืน ไม่เช่นนั้นนอนไม่หลับ ทําไมเราไม่ปัดให้พ้นๆไป มี ประโยชน์แค่ไหนที่จะเก็บเอาไว้ ควรลืมและให้อภัยกัน

    มีผู้กล่าวว่า...
    ถ้ามีการให้อภัยผิด
    และไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง
    จะหาสามัคคียากลำบากจัง
    ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน





เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับตนเอง

ประการที่สอง คือ สัปปายสัมปชัญญะ หมายถึง เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับตนเอง นั่นคือ นอกจากเราจะไม่เก็บเรื่องร้ายๆ เก็บแต่เรื่องดีๆไว้ในใจแล้ว ก่อนจะทําอะไรก็ตามให้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรา โบราณสอนว่า เห็นเขาขึ้นคานหาม อย่าเอามือประสานกัน

คนทําการใหญ่เกินตัวเอง เกินความสามารถ โดยไม่มีคนช่วย บางทีทําไปนานๆเข้าก็ทนไม่ไหว เกิดความท้อแท้ เพราะฉะนั้นต้อง เลือกวิธีที่ชื่อว่า สัปปายะ

สัปปายะ เป็นภาษาบาลี ตรงกับภาษาไทยว่า สบาย คือ พอเหมาะกับตัวเรา ที่ดินราคาแพงแล้วใครได้ประโยชน์? ชาวบ้านต่างจังหวัดขายที่ดินกันหมดแล้ว คนกรุงเทพฯ ไปซื้อที่ดิน คนชนบท ขายที่ดิน ขับรถฉุยฉายไปมา แล้วรถชนกัน พอหมดเงินก็ไปเป็นลูกจ้าง ที่ดินสูญไป เกิดความเครียด มีปัญหาครอบครัวตามมา ประเด็นก็คือ ว่าอะไรเหมาะกับชีวิตของชาวบ้าน การโฆษณาทําให้ชาวบ้านชอบความฟุ้งเฟ้อเกินฐานะจนเป็นหนี้สิน

ลองพิจารณาดูว่า คนกรุงเทพฯ สมัยนี้ มีความสุขกว่าคน กรุงเทพฯ เมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนหรือเปล่า.? คนสมัยนี้โลกกันมากขึ้นเพราะ โฆษณาที่โหมเข้ามา ฝ่ายขายก็ต้องการจะขายมากขึ้น ผู้บริโภคไม่ใช้ ให้เหมาะกับฐานะของตัวเอง ทําให้เครียดกันมากขึ้น

ความสุขของชีวิต... ไม่ได้อยู่ที่วัตถุเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความพอดี ความเหมาะควร
คือ เหมาะกับตัวเรา เพราะไม่รู้ความเหมาะสม คนจึงมีปัญหา ยิ่งเศรษฐกิจพัฒนามากขึ้น คนก็ยิ่งฆ่าตัวตายมากขึ้น เป็นโรคจิต มากขึ้น เพราะคนไม่รู้ว่าอะไรคือเหมาะกับตน วิ่งตามแฟชั่น ดู ฆษณาต่างๆก็นึกว่าได้อย่างนั้นจึงจะดี แต่ความสุขของคนไม่ได้อยู่ที่ วัตถุภายนอกอย่างเดียว

ความสุขไม่ได้ไปขึ้นอยู่กับความสําเร็จ และความทุกข์ไม่ผูกติดกับความล้มเหลว

คนที่ล้มเหลวอาจจะมีความสุขก็ได้ ถ้ารู้จักปล่อยวางยืดหยุ่น คนประสบความสําเร็จอาจจะเครียดหนักก็ได้ เพราะกลัวจนล้มเหลว สุขจึงไม่ได้อยู่ที่ความสําเร็จอย่างเดียว

ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในป่า....มีเจ้าชายองค์หนึ่งมาเห็นก็สงสัยและถามว่า ทําไมพระองค์มา อยู่ในป่า เป็นเจ้าชายอยู่ในวังกลับไม่ชอบ อยู่ในรั้วในวังน่าจะมีความสุขมากกว่าอยู่กลางดินกินกลางทราย

พระพุทธเจ้าก็เลยถามกลับว่า นี่เธอลองเทียบดูสิ เธอก็รู้จัก พระเจ้าพิมพิสาร ตอนนี้ใครมีความสุขมากกว่ากัน
เจ้าชายองค์นี้ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า พระองค์มีความสุขมากกว่าพระเจ้าพิมพิสาร

ขอให้เปรียบเทียบกับเรื่องสมัยนี้อีกเรื่องหนึ่ง มีผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง นั่งอยู่ริมท่าน้ำหน้าวัด วันนั้นเป็นวันทอด กฐิน เถ้าแก่จากกรุงเทพฯ ยกคณะกฐินไปทอด พอพระฉันเพลก็เดินไป ที่ศาลาท่าน้ํา ไปเห็นชายชราคนนี้ เสื้อก็ไม่ใส่ นั่งทอดหุ่ยอยู่ไม่ทําอะไร นานๆก็จะหักกิ่งไม้โยนลงไปในแม่น้ำเถ้าแก่นึกว่าคนนี้ไม่รู้จักใช้แรงงานให้เป็นประโยชน์ นั่งเฉยอยู่ถึงไม่พัฒนา เถ้าแก่ก็ขึ้นไปบนศาลา

พอถวายผ้ากฐินเสร็จก็ลงมาเพื่อขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ เถ้าแก่ก็แวะไปดูชายชราคนนั้นอีก พบว่ายังนั่งอยู่ที่เดิม ข้าวปลาก็ไม่รู้จักกิน นั่งอยู่เฉยๆ เถ้าแก่ทนไม่ได้ก็เลยถามว่า "ลุงทําอะไรอยู่นี่.?”

    ลุงแกก็บอกว่า “ไม่มีตาดูหรือไง ก็นั่งอยู่นี่แหละ”
    เถ้าแก่ชักฉุน ถามดีๆมาตอบอย่างนี้ คนแปลกๆ อย่างนี้ก็มี
    ถามว่า “นั่งเฉยๆทําไม.?...งานการไม่ทํา วันนี้ทอดกฐินทําไม ไม่ไปช่วยดูแล ท่างานทําการบ้าง ลุง.!!"
    ลุงถามว่า "ทํางานไปทําไมล่ะ.?"
   “เอ้า.! ทํางานก็จะได้มีเงินใช้ชิลุง" "มีเงินใช้แล้วเป็นอย่างไรเล่า.?" "จะได้มีความสุข"
   “สุขเป็นอย่างไรล่ะ.?” ลุงถาม
   "สุขก็คืออยู่สบายๆ ไม่ต้องทําอะไร" เถ้าแก่ตอบ “นี่ก็สุขแล้วไง จะให้เราไปวิ่งเต้นแร้งเต้นกา เป็นโรคประสาท เหมือนเถ้าแก่หรือ” ลุงย้อนถาม

    ลุงคนนี้รู้ว่าอะไรเหมาะกับตน
    บางทีเราไม่รู้ว่าเราแสวงหาอะไร อะไรคือความสบาย
    ลองนึกดู...ชีวิตเราต้องการอะไรที่แท้จริง แล้วทําในสิ่งที่เหมาะสบายกับเรา
    แล้วเราจะมีความสุข บางทีเสียงนกร้อง เสียงเด็ก ภาพสวยๆงามๆ มีให้เราเห็นตลอด
    ถ้าใจเรารู้จักเปิดรับสิ่งที่ดีงาม ใจเราจะมีความสุขตลอดเวลา





มีธรรมะประจําใจ

ประการที่สาม คือ โคจรสัมปชัญญะ หมายถึง มีธรรมะประจําใจ คนที่จะมีสุขภาพจิตดี จะต้องมีธรรมะประจําใจตลอดเวลาเขาเรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน

ถ้าท่านไม่มีภูมิคุ้มกันอันนี้ กระทบกระเทือนอะไรแล้วใจช็อค มันหักมันพัง ภูมิคุ้มกันในจิตใจนั้นคือ ต้องฉีดวัคซีนเข้าไป วัคซีนใน จิตก็คือธรรมะประจําใจ เพื่อให้ท่านทนกับ สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษได้ เพราะมีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้

    บางคนถือคติว่า...
    ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า
    ดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่

คติธรรมอะไรก็ได้มีไว้ประจําใจ มีคติอยู่อันหนึ่ง ที่อาตมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจเหมือนกัน คือ เราจะศึกษามาก อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเตือนใจอยู่ข้อหนึ่ง คือคติธรรมว่า...
    คิดให้สูงถึงดวงดาว
    แต่สองเท้าต้องติดดิน

ในการทํางานหรือการบริหาร เท้าต้องติดดิน อันนี้ก็จะเตือนใจ เราตลอดเวลา คนเรามักพูดว่านักปรัชญาพูดอะไรไม่รู้เรื่อง มันเป็นปัญหาอย่างหนึ่งคือไม่ติดดิน ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาธรรมะขั้นสูงมา แต่จะต้องพูดให้คนฟังรู้เรื่อง ต้องติดดิน อันนี้คือคติประจําตัวเอง





ฝึกใจไม่ให้หลงลืม

ประการสุดท้าย อสัมโมหสัมปชัญญะ หมายถึง การฝึกใจไม่ให้หลงลืม ต้องใช้ธรรมะประจําใจไม่ให้เกิดความหลงลืม พอเจอสถานการณ์ที่เป็นปัญหา เราจะรู้ว่าต้องใช้ธรรมะอะไรทันที เรายังคิดก่อนแล้วเอาธรรมะเข้ามาสอนตัวเองตลอดเวลา ปกติ บางคนเวลาทะเลาะกับใครจะโกรธมากจนลืมตัว บางท่านเพื่อไม่ให้ หลงลืมเรื่องปฏิบัติธรรม จึงให้เลขานุการหรือเพื่อนช่วยจดบันทึก หรือคอยเตือนความจํา

ดังเรื่อง พระเจ้าปเสนทิโกศล ไปขอคาถาลดน้ำหนักจาก พระพุทธเจ้า เพราะน้ำหนักเพิ่มเหลือเกิน จึงขอคาถา diet

    ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เทศน์ว่า....
    มะนุชัสสสะ สะทา สะติมะโต
    มัตตัง ชานะโต ลัทธะโภชะเน
    ตะนุกัสสะ ภะวันติ เวทะนา
    สะกัง ชีระติ อายุ ปาละยัง

    แปลความว่า...
    มนุษย์ผู้ใดมีสติรู้ตัวตลอดเวลา
    รู้ประมาณในโภชนะที่ได้มารับประทาน
    ผู้นั้นจะมีเวทนาเบาบาง
    เขาจะแก่ช้าและมีอายุยืน

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระทัยคาถานี้มาก ถึงกับรับสั่ง ให้มหาดเล็ก ชื่อสุทัสสนามาณพ ท่องจําคาถาให้แม่นยํา และให้ สุทัสสนามาณพยืนอยู่ข้างโต๊ะเสวย หากมาณพเห็นว่าพระองค์เสวย พระกระยาหารเกินกําหนด ก็ท่องคาถาออกมาดังๆ

หลังจากนั้นปรากฏว่าเวลาที่มาณพท่องคาถาออกมา พระเจ้า ปเสนทิโกศลทรงได้สติ หยุดเสวยพระกระยาหารทันที ทรงลดปริมาณ พระกระยาหารลงทุกวันโดยวิธีนี้ ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงลด และคุมน้ำหนักได้สําเร็จ เพราะอาศัยสุทัสสนามาณพคอยท่องคาถา เตือนให้นึกถึงการควบคุมพระกระยาหาร และที่สุทัสสนมาณพกล้าท่องคาถาข้างโต๊ะเสวย ก็เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประทานอนุญาตไว้นั่นเอง

เรื่องนี้แสดงถึงคุณค่าของกัลยาณมิตร ผู้ช่วยเตือนจิตสะกิดใจไม่ให้หลงลืมธรรมะ ถ้าใครช่วยเตือนไม่ได้ เราก็เตือนตัวเอง โดยหาคติธรรมประจําไว้สอนใจ ผู้มีคติธรรมประจําใจ ย่อมมีเครื่องยับยั้งชั่งใจ และมีธรรมะไว้ป้องกัน และแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ แม้บางครั้งสถานการณ์อาจจะไม่ตรงกับธรรมะนัก แต่ก็ปรับเข้ากันได้

ประเด็นอยู่ที่ว่า .... ท่านควรฟังธรรมะให้มาก ๆ ศึกษาธรรมะให้มาก เมื่อถึงเวลาจะเห็นคุณค่าของธรรมะต่างๆ ที่ออกมาช่วยเราให้ผ่านพ้นปัญหาชีวิตได้

                                       - จบ -
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ