ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “นินทา” ในภาษาบาลีไม่ใช่การ “ว่าร้ายลับหลัง” แบบในภาษาไทยใช้  (อ่าน 2877 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



“นินทา” ในภาษาบาลีไม่ใช่การ “ว่าร้ายลับหลัง” แบบในภาษาไทยใช้

‘นินทา ‘ ในภาษาไทยมาจากคำว่า ‘นินฺทา‘ ในภาษาบาลีสันสกฤต
    เป็นคำนาม แปลว่า การติเตียน คำติเตียน
    เป็นคำกริยา หมายถึง ติเตียน
    ไทยนำมาใช้ในความหมายว่า ว่าร้ายลับหลัง ตำหนิติเตียนลับหลัง พูดให้ร้ายผู้อื่น นำความชั่วความไม่ดีของผู้อื่นมาพูดเล่าสู่กันฟัง

พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง ‘นินทา’ ไว้เป็นระยะๆ ดังคาถาที่ 81 มีข้อความว่า

     “เสโล ยถา เอกฆโน
      วาเตน น สมีรติ
      เอวํ นินฺทาปสํสาสุ
      น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา”


ศาสตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตผู้ล่วงลับ ได้แปล “คาถาธรรมบท” ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เป็นหนังสือชื่อ “พระวจนะในธรรมบท” ด้วยภาษาไทยที่เข้าใจง่าย สั้นกระชับจับใจ ตัวอย่างข้างต้นท่านแปลว่า

     “ขุนเขาไม่สะเทือน
      เพราะแรงลม ฉันใด
      บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหว
      เพราะนินทา หรือสรรเสริญ ฉันนั้น”


กวีไทยสมัยก่อนคงจะดำเนินตามคำของพระพุทธองค์ ดังจะเห็นได้จาก “โคลงโลกนิติ” บทที่ 36 มีความหมายตรงกันไม่ผิดเพี้ยน

     “ภูเขาทั้งแท่งล้วน ศิลา
      ลมพยุพัดพา บ่ ขึ้น
      สรรเสริญและนินทา คนกล่าว
      ใจปราชญ์ฤๅเฟื่องฟื้น ห่อนได้จินต์จล” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)


ความหมายคือ ลมพายุไม่อาจพัดภูเขาให้ขยับเขยื้อนหรือสั่นสะเทือนได้ฉันใด คำสรรเสริญหรือนินทาย่อมไม่อาจทำให้ใจนักปราชญ์หวั่นไหวได้ฉันนั้น

@@@@@@@

บทละครรำเรื่อง “อิเหนา” นำ ‘คำนินทา’ มาเปรียบกับ ‘ลมพายุพัดภูเขา’ เช่นกัน ดังตอนที่อิเหนาลักพานางบุษบา นางได้เตือนสติอิเหนาว่า การกระทำเช่นนี้จะเป็นที่ติฉินนินทาของคนทั้งหลาย

แต่อิเหนากลับแย้งว่า การนินทาเป็นธรรมดาโลก คนชอบพอกันย่อมพูดถึงกันในทางที่ดี คนเกลียดชังกันก็นินทาว่าร้ายกัน

อิเหนาไม่สนใจว่าใครจะนินทาอย่างไร เมื่อไม่สนใจ คำนินทาก็ไม่เกิดผล และมีสภาพไม่ต่างกับลมพายุพัดมาปะทะภูเขาซึ่งไม่มีทางสะเทือนไหวไปตามแรงลม

    “อันความติฉินยินร้าย  มีทุกหญิงชายนะโฉมศรี
     ที่รักก็เห็นว่าเปนดี  ที่มิชอบทีก็นินทา
     อันว่าร้ายเราผู้รักษาสัตย์  ดังวายุพัดภูผา (วายุ = พายุ)
     บุราณท่านย่อมกล่าวมา  จะกลัวคำนินทาไปว่าไร” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)


“พระวจนะในธรรมบท” ยืนยันความจริงที่ว่า ‘สรรเสริญ’ และ ‘นินทา’ เป็นของคู่กัน ไม่มีวันพรากจากกันไปได้ ดังคาถาที่ 228

     “ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
       คนที่ถูกสรรเสริญ โดยส่วนเดียว
       หรือถูกนินทา โดยส่วนเดียว ไม่มี”


โดยเฉพาะ ‘การนินทา’ เป็นธรรมดาโลก มีมาช้านานก่อนสมัยพุทธกาลเสียอีก ดังคาถาที่ 227
     
     “อตุลเอย เรื่องอย่างนี้มีมานานแล้ว
      มิใช่เพิ่งจะมีในปัจจุบันนี้
      อยู่เฉยๆ เขาก็นินทา
      พูดมาก เขาก็นินทา
      พูดน้อย เขาก็นินทา
      ไม่มีใครในโลก ที่ไม่ถูกนินทา”




พระพุทธวจนะข้างต้นเป็นจริงโดยแท้ แม้องค์พระประมุขของชาติยังไม่พ้นคำนินทา ดังที่ ‘พระไอยการอาญาหลวง’ ใน “กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 2” กำหนดโทษผู้นินทาพระมหากษัตริย์ไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ใช้มาจนถึงรัตนโกสินทร์

     “๗๒ มาตราหนึ่ง ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัวต่างต่าง พิจารณาเปนสัจ ให้ลงโทษ ๓ สถานๆ หนึ่ง คือ
     ให้ฟันคอริบเรือน ๑ }
     ให้ริบสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ๑ } ๓
     ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน ๕๐ ที หมีสกัน ๒๕ ที ๑ }”


นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงออกประกาศฉบับที่ 343 เรื่อง “ตั้งพันปากพล่อย” ตอนหนึ่งมีพระราชดำรัสเตือนผู้นินทาว่าร้ายพระองค์

    “ก็พระยาศรีสหเทพ แลพระมหาเทพนี้ ในหลวงยังเห็นแก่หน้ายังเลี้ยงอยู่ ไม่เอาโทษเหมือนอ้ายผลแลหลวงเสน่ห์สรชิตนั้น จะต้องมีความกตัญญูรู้บุญคุณต่อในหลวงบ้างจึงจะเป็นมงคล คนที่นินทาในหลวงผิดๆ ไม่เป็นมงคลมาหลายท่านหลายนายแล้ว หลวงเสน่ห์สรชิตนั้นทำปืนลั่นทั้งกระสุนเกือบถูกคนตายถึง 3 ครา จึงถอดเสียสืบดูเถิด”

รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งมั่นในความเที่ยงธรรม ไม่ทรงหลงเชื่อคำนินทาว่าร้ายที่ไร้สาระ

     “ข้าราชการอิจฉาฤษยากันหงองๆ แหงงๆ เพ็ดทูลออดๆ แอดๆ กล่าวโทษกันบ้างแก้ตัวบ้าง เล่นบ้างจริงบ้าง ทรงพิเคราะห์ดูเห็นว่าความไม่เป็นถ้อย หมอยไม่เป็นขน เป็นแต่คนหงองๆ แหงงๆ กันก็ไม่ทรงชำระ” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

@@@@@@@

จะเป็นใครก็ตามไม่อาจพ้นคำนินทาไปได้ สมดัง “โคลงโลกนิติ” บทที่ 37 กล่าวว่า

     “ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน
      ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้
      ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า
      ห้ามดั่งนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา”


เมื่อใดที่ห้ามไฟมิให้มีควัน ห้ามดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มิให้ส่องแสง และหยุดกาลเวลา ห้ามอายุไว้ให้น้อยลง มิให้เพิ่มขึ้นได้ เมื่อนั้นจึงค่อยห้ามการนินทามิให้เกิดขึ้น ห้ามนินทา แค่คิดก็ผิดแล้ว •






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : จ๋าจ๊ะ วรรณคดี
ผู้เขียน   : ญาดา อารัมภีร
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_767764
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 17, 2024, 06:46:58 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



นินทา (2)

‘นินทา’ คือ นำความชั่วความเลวของผู้อื่นมาพูด มาเล่าสู่กันฟัง แล้ว ‘นินทากาเล’ คือ อะไร

คำว่า ‘นินทา’ และ ‘กาเล’ ความหมายไม่ต่างกัน ดังที่กาญจนาคพันธุ์อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “สำนวนไทย” ว่า

    “เป็นสำนวน หมายความว่า นินทา ในพระอภัยมณีมีกลอนว่า ‘นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน’ ที่มีคำว่า ‘กาเล’ ติดกับนินทา จะเป็นของมีมาก่อน คือใช้กันมาแล้วแต่โบราณ สุนทรภู่นำมากล่าว หรือว่าเป็นคำของสุนทรภู่เองไม่ทราบ แต่ที่พูดกันว่า ‘นินทากาเลเหมือนเทน้ำ’ นั้นมาจากกลอนของสุนทรภู่แน่

     ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีถึงสมเด็จพระพันปีหลวง มีคำว่า ‘กาเล’ คำเดียวใช้อยู่แห่งหนึ่งว่า ‘แต่เวลานี้ภัยมากที่ไปเล่นด่าเยอรมันต่อหน้าทูต รับสั่งกระซิบบอกว่าโน่นแน่ทูตเยอรมัน ฉันเกลียดมันเต็มทน โกงเหลือกำลัง แล้วเลย กาเล เอมเปอเรอเรื่อยทีเดียว’

     คำว่า ‘กาเล’ นี้คือ นินทากาเล’ ซึ่งถ้าไม่ใช่เป็นคำเก่าก็คงเป็นคำของสุนทรภู่ แต่ทรงแยกใช้เหมาะเข้าทีดี”


@@@@@@@

จำได้ว่ามีเพลงดังในอดีตใช้ชื่อว่า ‘เพลงนินทากาเล’ คุณแจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ขับร้อง คำร้องของ ‘อารี อุไร’ ทำนองและเรียบเรียงเสียงประสานโดย คุณศรายุทธ สุปัญโญ เนื้อเพลงให้รายละเอียดของการนินทาไว้หลากหลาย ดังนี้

    “พูดถึงคนเราพูดกันทุกทุกวันมันแซบหนักหนา
     ถ้อยคำซุบซิบและนินทาสิมัน
     พูดถึงใครใครสะใจอ๊ะขำดีเป็นที่ขบขัน
     แต่เรื่องส่วนตัวนั้นเขามักปิดเงียบเลย
     รีบนินทาซะหวังบังเรื่องตัวกลัวเขาเอามาเอ่ย
     ปากเคยนินทาก่อน ช้ำ ช้ำ ช้ำ ช่างเขาเราไม่ช้ำ

     อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
     ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน
     แม้องค์พระปฏิมายังราคิน
     คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
     เชื่อคำท่านสุนทรภู่เถิด
     ความทุกข์จะไม่เกิด

     เมื่อเขานินทาให้เรานั้นได้ยิน
     เย็นเถอะเย็นไว้
     ไม่นานเท่าไรเขาเป็นต้องหยุดไป
     ที่เขานินทาถกกันซะครื้นเครง
     โกหกเป็นชุด ชุด ชุด ชุด
     ปากยาวยังกะครุฑฝอยจนเหนื่อยเมื่อยเอง
     ผู้ใดดีหรือเลวนั้นเป็นที่ตัวใครเหนือใครจะเก่ง
     อย่าไปคิดเกรงคำใครเอ่ย
    ใครทำยังไงมักได้อย่างนั้น”




คนส่วนใหญ่มักจำว่ากลอนต่อไปนี้มาจากนิทานคำกลอนของสุนทรภู่เรื่อง “พระอภัยมณี” ไม่ต่างจากที่เพลงอ้างถึง ทั้งๆ ที่จริงแล้วถูกแค่ครึ่งเดียว

    “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน
     แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา”


จริงอยู่สองวรรคแรกมาจากนิทานคำกลอนเรื่อง “พระอภัยมณี” แม้บางคำจะคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับ ส่วนสองวรรคหลังน่าจะมีผู้แต่งเติมเข้าไป บางคนยังเปลี่ยนวรรคสุดท้ายว่า ‘มนุษย์เดินดินฤๅจะพ้นคนนินทา’

เรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นที่มาของข้อความ ‘อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน’ นางเกษรา พระธิดาเจ้าเมืองรมจักร ได้ตัดพ้อศรีสุวรรณว่าไม่ควรเข้ามาใกล้ชิดนางถึงในห้อง ทำให้นางเสื่อมเสียเป็นที่ครหา

     “เวียนมาไยในห้องให้น้องอาย คนทั้งหลายรู้เรื่องจะเลื่องลือ
      น้องจะไปไหนพ้นพระผ่านเกล้า ขอทุเลาแล้วก็ยังไม่ฟังหรือ”


ศรีสุวรรณได้แย้งว่า

     “การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดลงขีดหิน
      พี่อาสามาสู้กู้แผ่นดิน เขารู้สิ้นแล้วว่ารักภัคินี
      แล้วมิหนำซ้ำมารักษาอยู่ เขาก็รู้เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
      ครั้นหายไข้ใกล้เคียงกันเพียงนี้ ว่าจู้จี้เสียใจกระไรเลย”

ความหมายคือ ต่อให้ถูกนินทาอย่างไรก็ไม่เกิดผล จะกลัวคนนินทาไปทำไม ใครเขาอยากนินทา อย่าไปสนใจเสียก็หมดเรื่อง เพราะความเป็นไประหว่างสองเราก็กระจ่างใจคนทั้งหลายอยู่แล้ว

จะ ‘นินทา’ หรือ ‘นินทากาเล’ ความหมายครือๆ กัน เลือกใช้ตามใจชอบ นินทามีสารพัด ฉบับหน้าอย่าพลาด •


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : จ๋าจ๊ะ วรรณคดี
ผู้เขียน : ญาดา อารัมภีร
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_769275
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



นินทา (3)

การนินทาพฤติกรรมของผู้อื่น ได้แก่ กรณีพิพาทระหว่างเมียสองคนของพระไวย คือ นางศรีมาลา กับนางสร้อยฟ้า ในเสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน”

วันที่เกิดเรื่อง พลายชุมพลเล่นหมากรุกกับพระไวย พนันกันว่าถ้าน้องแพ้ จะให้ถอนขนตา ถ้าพี่แพ้ จะเลี้ยงขนมเบื้อง พระไวยจึงให้ศรีมาลาและสร้อยฟ้าทำขนมเบื้องคนละกระทะเพื่อประชันฝีมือกัน

นางศรีมาลาเป็นคนภาคกลาง ทำขนมเบื้องได้ดี ตรงกันข้ามกับคนเชียงใหม่อย่างนางสร้อยฟ้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายไว้ในหนังสือ “ขุนช้างขุนแผน ฉบับอ่านใหม่” ว่า

    “เชียงใหม่ เป็นเมืองที่ไม่กินขนมเบื้อง และทำไม่เป็นเอาเลยทีเดียว จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ที่เมืองเชียงใหม่ก็ยังหาขนมเบื้องกินยาก จะมีก็ต้องมีคนภาคกลางขึ้นไปทำ”

เมื่อเมียทั้งสองของพระไวยต่างลงมือทำขนมเบื้อง ผลปรากฏว่า

    “ศรีมาลาละเลงแผ่นบางบาง แซะใส่จานวางออกไปให้
      สร้อยฟ้าไม่สันทัดอึดอัดใจ ปามแป้งใส่ไล้หน้าหนาสิ้นดี”


ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่จากน้องผัว ผัว และย่าผัว

     “พลายชุมพลจึงว่าพี่สร้อยฟ้า ทำขนมเบื้องหนาเหมือนแป้งจี่
      พระไวยตอบว่าหนาหนาดี ทองประศรีว่ากูไม่เคยพบ
      ลาวทำขนมเบื้องผิดเมืองไทย แผ่นผ้อยมันกระไรดังต้มกบ
      แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ พลายชุมพลดิ้นหลบหัวร่อไป”


ตามมาด้วยเสียงเยาะเย้ยจากบ่าวของศรีมาลา เสียงล้อเลียนของพลายชุมพล และเสียงก่นด่าของนางทองประศรี ทำให้สร้อยฟ้า ‘ขัดใจแทบน้ำตาจะเล็ดไหล’

ตกค่ำพระไวยคิดถึงศรีมาลาก็ไปหา ให้เมียดับตะเกียงนอน นางบ่ายเบี่ยงว่า ผู้คนยังตื่นกันอยู่ทั้งบ้าน จะมาทำอะไรๆ กันได้อย่างไร น่าอายนัก

     “พระไวยปลอบว่าเจ้าอย่างอน ความรักพี่นี้ร้อนดังไฟเรือง
      ศรีมาลาว่าชะช่างร้อนจิต พระอาทิตย์ยังไม่ดับลับแสงเหลือง
      เด็กเด็กมันยังตื่นครื้นทั้งเมือง ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร”


ข้อความว่า ‘ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร’ มาจากสำนวนไทยว่า ‘ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก’ คือ พูดง่ายเหมือนทำขนมเบื้องด้วยปาก หมายความว่า ดีแต่พูด พูดได้ แต่ทำไม่ได้ ศรีมาลาเจตนาจะว่าพระไวยที่พูดง่ายๆ

@@@@@@@

ฝ่ายสร้อยฟ้าอยู่อีกห้องหนึ่ง ได้ยินแว่วๆ ว่า ‘ขนมเบื้อง’ อีกทั้งเมื่อตอนบ่ายก็เพิ่งทำขนมเบื้องกันไปหยกๆ เป็นเรื่องที่เคืองใจสร้อยฟ้าอยู่แล้ว พอนางได้ยินคำว่า ‘ขนมเบื้อง’ เท่านั้นก็โกรธจัด คิดว่าศรีมาลาด่ากระทบ

    “ฝ่ายสร้อยฟ้าแว่วว่าขนมเบื้อง ให้แค้นเคืองปวดปอดตลอดไส้
      วับดังดินประสิวปลิวถูกไฟ เข้าใจว่าศรีมาลานินทาตัว”


ความเข้าใจผิดทำให้เกิดการต่อว่าด่าทอระหว่างสองนาง บ่าวของแต่ละคนช่วยกันประสมโรงสุมไฟให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต ต่างหยิบเอาจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายมาเล่นงาน หลังจากศรีมาลาอดทนข่มใจฟังสร้อยฟ้าอาละวาดด่าเสียดสีว่ามีอะไรๆ กับพระไวยบ่อยๆ ‘ช่างชะอ้อนวอนร่ำทั้งสำออย จึงปรอดปร้อยไม่รู้แห้งจุ๊บแจงเอย’ ศรีมาลาจึงโต้กลับอย่างเจ็บแสบถึงที่มาของสร้อยฟ้าก่อนจะเป็นเมียพระไวย

     “ยิ่งนิ่งก็ยิ่งว่าสารพัด นี่จะซัดเสียให้หมดเจียวฤๅเรา
      ทำไมไม่เป็นเจ้าขึ้นในบ้าน ใครขัดสนจะได้คลานมาพึ่งเจ้า
      อย่าเพ่อเหยียบเสียให้ยับจนสับเงา มิได้ตีเมืองเรามาเป็นน้อย”


ข้อความว่า ‘มิได้ตีเมืองเรามาเป็นน้อย’ เท่ากับจงใจด่ากระทบสร้อยฟ้าว่าเป็นเมียน้อยเมียเชลยมาจากการทำสงคราม เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่พ่ายศึก จึงถวายพระธิดาทั้งสองแด่สมเด็จพระพันวษา พระองค์ทรงรับเพียงนางสร้อยทอง และประทานนางสร้อยฟ้าให้พระไวย คำพูดของศรีมาลาทำให้สร้อยฟ้าโกรธจนตัวสั่น โดดผางออกมากลางเรือน ชี้หน้าด่าพร้อมกับโพนทะนาพฤติกรรมของศรีมาลาที่ได้เสียกับพระไวยตอนยกทัพ ไม่ใส่ใจความถูกต้องตามประเพณี

     “จริงอยู่คะข้ามันเชลยเมือง อย่ายกเรื่องเลยเขาลือออกอื้อฉาว
      พอกองทัพไปถึงอึงเกรียวกราว ค่ำลงเขาจับฉาวที่ในเรือน
      ทัพกลับก็จับเชลยซ้ำ ช่างปิดงำความร้ายให้หายเงื่อน
      สงวนพรหมจารีมิต้องเตือน พอดึกหน่อยก็ค่อยเคลื่อนเข้าไปเอง”


พอโดนสะกิดแผลเก่าที่เป็นปมในใจ ศรีมาลาก็ฟิวส์ขาด ด่าสวนสร้อยฟ้าว่า

      “ปากบอนค่อนขอดลอดนินทา ตบหน้าตบมึงเสียให้ได้
       เมื่อผัวจะไม่เลี้ยงก็แล้วไป จะเฆี่ยนตีสักเท่าใดก็ตามบุญ”


ก่อนหน้านี้สร้อยฟ้าเป็นผู้ฟัง ตกที่นั่ง ‘คนถูกนินทา’ เพราะ ‘เข้าใจว่าศรีมาลานินทาตัว’

มาตอนนี้สร้อยฟ้ากลับเป็น ‘คนนินทา’ เสียเองตามที่ศรีมาลาด่าว่า ‘ปากบอนค่อนขอดลอดนินทา’ แสดงให้เห็นว่าบทบาทเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถานการณ์




นอกจากนี้ การนินทาอาจเกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง หรือเกิดจากคนจำนวนมากก็ได้ ดังตอนที่นางวันทองขอร้องพระไวยช่วยขุนช้างให้พ้นโทษประหาร

     “ถึงขุนช้างชั่วช้าเหมือนหมาหมู เขาก็รู้อยู่ทั่วว่าผัวแม่
      จะนิ่งเสียทีเดียวไม่เหลียวแล ก็ตั้งแต่คนเขาจะนินทา”


‘คนเขาจะนินทา’ ก็คือคนทั้งหลายที่รู้ว่าขุนช้างคือผัวแม่ จะนินทาทั้งแม่และพระไวย ถ้าปล่อยให้ขุนช้างถูกประหารโดยไม่คิดช่วยเหลือ

ยิ่งไปกว่านั้น ‘อคติ’ หรือความลำเอียง 4 อย่าง ไม่ว่าจะลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะเขลาหรือหลงผิด รวมทั้งลำเอียงเพราะกลัว ล้วนสัมพันธ์กับการนินทาทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้จาก “โคลงโลกนิติ” บทที่ 166

     “คนรักมีมากไซร้ แสดงผล
      ชังมากนินทาตน โศกเศร้า
      รักมากเมื่อกังวล วานช่วย กันนา
      ชังมากมักรุมเร้า กล่าวร้ายรันทำ”


กรณีนางวันทองขอให้ลูกชายยอมช่วยขุนช้าง (ทั้งๆ ที่พระไวยเกือบจะตายด้วยน้ำมือพ่อเลี้ยงตั้งแต่สมัยยังเด็ก) ก็เป็นผลจากลำเอียงเพราะรักขุนช้างนั่นเอง โคลงบทนี้ชี้ให้เห็นว่าปริมาณการถูกนินทาเกี่ยวข้องกับจำนวนคนเกลียดชังโดยตรง มีคนเกลียดมากก็นินทามาก

โดยเฉพาะลำเอียงเพราะรักนั้น ระหว่างการรักตนเองกับการรักผู้อื่นเทียบกันไม่ได้ และไม่ควรนำมาเทียบ ธรรมชาติมนุษย์มักลำเอียงเข้าข้างตัวเองเสมอ ความผิดของตนแม้ใหญ่หลวงหรือมากมายเพียงใด ก็มองไม่เห็น หรือเห็นไม่ถนัดชัดเจนเท่าความผิดเพียงเล็กน้อยของผู้อื่น ดังที่ “โคลงโลกนิติ” บทที่ 165 บรรยายว่า

     “โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา
      ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น
      โทษตนเท่าภูผา หนักยิ่ง
      ป้องปิดคิดซ่อนเร้น เรื่องร้ายหายศูนย์” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)


โคลงบทนี้มีใครก็ไม่ทราบเอามาแปลงเป็นกลอน จดจำกันต่อๆ มาว่า

     “โทษคนอื่นเห็นใหญ่เท่าภูผา โทษของตนตนเห็นเท่าเส้นขน
      ตดคนอื่นเหม็นเบื่อนั้นเหลือทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร”


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2567
คอลัมน์ : จ๋าจ๊ะ วรรณคดี
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_770814
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ