ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์ | สังโยชน์เป็นเช่นนี้  (อ่าน 2810 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์ (๑-)

โดย สานุ มหัทธนาดุลย์
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา




 :25: :25:

บทนำ

ทราบหรือไม่ว่า เราทั้งหลายต่างเคยเกิดมาแล้วในวัฏฏะสงสารนี้ยาวนานมาก จนเราเองก็นับจำนวนครั้งที่เกิดแล้วไม่ถ้วน เราต่างก็เคยได้ท่องเที่ยวไปในในภพภูมิต่าง ๆ มาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น กามภูมิ (อบายภูมิ ๔ มนุษย์ภูมิ ๑ และเทวภูมิอีก ๖) รูปภูมิ ๑๖ (พรหมที่มีรูปที่เราเห็นว่ามี ๔ กร นั่นแหละ) และอรูปภูมิ ๔ (พรหมที่ไม่มีรูป) และเป็นที่แน่นอนว่า เราจะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น

พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมศาสดาเอง ก็บำเพ็ญตนอยู่ยาวนานถึง ๔ อสงขัย ๑ แสนกัปป์ กว่าจะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เราจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น สวรรค์โลก พรหมโลก เป็นต้น เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เราจะไม่ตกต่ำลงไปเกิดในอบายภูมิ ทั้ง ๔ คือ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก และเดรัจฉาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปราศจากความสุข เป็นดินแดนแห่งความเสื่อมเป็นที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การเกิดเป็นทุกข์” แล้วเราจะข้ามพ้นความทุกข์เหล่านี้ไปได้อย่างไรเล่า.?

บทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้จะเฉลยให้ท่านทราบว่า อะไรเป็นตัวการร้ายที่ทำให้เราต้องจมอยู่ในสังสารวัฏนี้.? อะไร คือ บ่วงโซ่ที่ทำหน้าที่ล่ามมนุษย์เอาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.? พร้อมทั้งเฉลยปัญหาที่สำคัญที่สุดที่ว่า “เราจะหลุดออกจากบ่วงโซ่นี้ได้อย่างไร.? ”


@@@@@@@

ตัวการร้ายที่ทำให้จมอยู่ในสังสารวัฏ

ตัวการร้ายของปัญหาดังกล่าวทั้งหมดนี้ คือ กิเลสที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ย้อนไปตั้งแต่เมื่อเรายังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดาเสียอีก หากจะกล่าวให้ถูกต้อง กิเลสที่ว่านี้มันติดอยู่ใน DNA ในพันธุกรรมของเราด้วยซ้า เป็นการส่งต่อทางพันธุกรรมของกิเลสเดิมที่มีอยู่ของเรา จากภพภูมิที่ผ่าน ๆ มาในอดีตของเรา ในทางพระพุทธศาสนาเรียกกิเลสที่ติดตัวมานี้ว่า “สังโยชน์ (๒-)”

พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับสังโยชน์ที่ผูกยึดสัตว์ไว้ในภพว่า

    “ปุถุชนผู้ประกอบด้วยทิฏฐิสังโยชน์ ผู้ยังไม่ได้สดับย่อมไม่พ้นจาก ความเกิด (ชาติ) ความแก่ (ชรา) ความตาย (มรณะ) ความเศร้าโศก (โสกะ) ความคร่ำครวญ (ปริเทวะ) ความทุกข์กาย (ทุกข์) ความทุกข์ใจ (โทมนัส) และ ความคับแค้นใจ (อุปายาส) ย่อมไม่พ้นจากความทุกข์” (๓-)

__________________________________
(๑-) สานุ มหัทธนาดุลย์, “บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์”, หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์, ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔.
(๒-) องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
(๓- ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๙/๒๐.

@@@@@@@

บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์

“สังโยชน์” มีอยู่ ๑๐ อย่างได้แก่
     ๑. ความเห็นว่าเป็นตัวของตน (สักกายทิฏฐิ)
     ๒. ความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา)
     ๓. ความถือมั่นศีลพรต (สีลัพพตปรามาส)
     ๔. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
     ๕. ความคิดร้าย (พยาบาท)
     ๖. ความติดใจในรูปธรรม (รูปราคะ)
     ๗. ความติดใจในอรูปธรรม (อรูปราคะ)
     ๘. ความถือตัว (มานะ)
     ๙. ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจะ)
   ๑๐. ความไม่รู้จริง (อวิชชา) (๔-)

ในพระไตรปิฏกให้ความหมายเอาไว้ว่า
    เป็นเครื่องผูกพันน้อยใหญ่ (๕-)
    เป็นกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่มัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์
    เป็นเครื่องพันธนาการ (๖-)
    นอกจากนั้น ยังสัตว์ให้จมลงในวัฏฏะได้ด้วย (๗-)

จากลักษณะการผูกมัดนี้ คงไม่ต่างอะไรกับการที่สัตว์ทั้งหลาย (รวมถึงมนุษย์ด้วย) ถูกเครื่องพันธนาการผูกมัดเอาไว้ เป็น “บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์” ให้สัตว์เหล่านั้นต้องกลับมาวนเวียนว่ายอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้น (Infinity)

หากเปรียบกับปลา ก็เหมือนเบ็ดตกปลาที่มีปลายแหลมคมกริบ เกี่ยวปากปลาเอาไว้ ไม่ว่าปลาจะพยายามดิ้นสุดแรงเกิดให้พ้นจากคมเบ็ดนั้น ก็ไม่มีวันหลุดออกได้

หากเปรียบกับมนุษย์ ย่อมเหมือนกับ “บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์” ที่ผูกมัดมนุษย์ไว้อย่างแน่นหนา ยากที่จะหลุดออกไปได้ เพราะอำนาจแห่ง ราคะ โทสะ และโมหะ ที่หลอกให้เราหลงเพลิดเพลินอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส

ดังนั้น บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์นี้จึงมีสภาพล่องหน (Invisible Fetters) เกี่ยวโยงสัตว์ทั้งหลายเอาไว้โดยไม่ให้เห็นและไม่ให้รู้สึกตัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในขณะที่เราทุกคน “ไม่รู้” อยู่นี้ บ่วงโซ่เส้นสุดท้าย คือ “ความไม่รู้จริง” ก็กำลังทำงานตามกระบวนการของมันอย่างแน่นหนาอยู่ทุกวินาที

_________________________
(๔-) องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
(๕-) องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๔๓/๕๐๑, ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๖๙๘/๔๕๘.
(๖-) ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๒๖๕/๓๖.
(๗-) ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๒/๓๘๐.




เราจะหลุดจากบ่วงโซ่นี้ออกได้อย่างไร.?!?

หลายคนคงยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสวิธีละสังโยชน์เอาไว้แล้ว ด้วยการใช้มรรคและปฏิปทาเพื่อการแก้บ่วงโซ่ทั้ง ๑๐ เส้นนี้ให้หลุดออก ปลดพันธนาการที่จองจำผูกมัดใจเอาไว้ วิธีนั้นคือ “หลักสติปัฏฐาน ๔” คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นบาทฐานในการปฏิบัติ โดยอาศัยหลักธรรมหมวดอื่นๆ เพื่อเกื้อกูลกัน เช่น หลักไตรสิกขา หลักโพธิปักขิยธรรม มีสัมมัปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ เป็นต้น

เมื่อละสังโยชน์ได้แล้วจึงบรรลุมรรคผล เข้าสู่สภาวะของการเป็นอริยบุคคล ๔ จำพวก มีพระโสดาบันเป็นกลุ่มบุคคลแรกที่ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เป็นอริยบุคคลจำพวกสุดท้ายตามลำดับ ดับกองทุกข์แล้วทั้งมวล ตัดสังโยชน์ได้ทั้งหมด สิ้นภพชาติแล้วถือเป็นบุคคลผู้บรรลุเป้าหมายสูงที่สุดแล้วในพระพุทธศาสนา

กลุ่มบุคคลแรกที่พยายามจนประสบกับความสำเร็จเราเรียกว่า “พระโสดาบัน” ซึ่งมี ความสามารถที่จะตัดบ่วงโซ่ให้ขาดออกได้ ๓ เส้น คือ บ่วงโซ่แห่งความเห็นว่าเป็นตัวของตน บ่วงโซ่แห่งความลังเลสงสัย และบ่วงโซ่แห่งความถือมั่นศีลพรต

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย หากในชีวิตประจำวันของเราจะได้เดินกระทบไหล่พระโสดาบันหลายต่อหลายครั้ง ตามโรงภาพยนต์, ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เช่น เอ็มโพเรียม เวิลด์เทรด ฯลฯ เนื่องจากพระโสดาบันยังไม่สามารถตัดบ่วงโซ่ที่เหลืออีก ๗ เส้นให้ขาดลงได้ ท่านเหล่านี้ยังมีความพอใจในกาม ยังมีความคิดร้าย ฯลฯ หลงเหลืออยู่ พระโสดาบันจะยังคง “ชอบฟังเพลงแร๊ป” และชอบถือกระเป๋า “หลุย วิคตอง” Louis Vuitton

นอกจากนี้ เรายังเอาหลักการละสังโยชน์นี้ มาเป็น “เกณฑ์ชี้วัดพระอริยบุคคล” ในทางพระพุทธศาสนาได้อีกด้วย ต่อแต่นี้ไป เราก็ไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไปแล้วว่า “ท่านผู้นั้นผู้นี้เป็นพระอรหันตบุคคลหรือไม่.?”

บทสรุป

ความสำเร็จจากการปฏิบัติตนที่ถูกต้องตามแนวทาง “สติปัฏฐาน ๔” ย่อมได้มาโดยไม่ยากลำบากจนเกินไป หากเรามีความเพียรพยายามและมีความเอาจริงเอาจัง ขอให้ลองจินตนาการวาดภาพตามว่า สังคมจะน่าอยู่เพียงใด หากทุกคนในสังคมมีแนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อความหลุดออกจากบ่วงโซ่ล่ามมนุษย์ ที่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะประสบความสาเร็จช้าหรือเร็วก็ตามที

แต่สังคมดังกล่าวก็จะเป็น “สังคมในอุดมคติ” เป็นสังคมที่สว่างด้วยปัญญา ปัญหาสังคมโดยมากจะหมดไปอย่างถาวร จะหลงเหลือก็แต่ความมีเมตตาเอื้ออาทร ความรักไคร่ซึ่งกันและกัน ไม่มุ่งร้ายต่อกัน ฯลฯ


@@@@@@@

ติดตามอ่านรายละเอียดของวิทยานิพนธ์นี้ หรือวิทยานิพนธ์ที่น่าสนใจเล่มอื่น ๆ เช่น
    - “พระพุทธศาสนากับ ปัญหาจริยธรรมเรื่องการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในสังคมไทย”
    - “การเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลางเชิงพุทธ : หลักการและเครื่องมือสำหรับการจัดการความขัดแย้ง”
    - “ผลประโยชน์ทับซ้อนกับ ศีลข้ออทินนาทาน ในพระพุทธศาสนาเถรวาท”
    - “ความสอดคล้องระหว่าง การเสริมสร้างสุขภาพเชิงพุทธ กับ การเสริมสร้างสุขภาพของผู้สูงอายุยืนในสังคมไทย”
    - “กิจกรรมเชิงพุทธที่เน้นธรรมเรื่องหลักกรรมและชีวิตหลังความตาย ต่อความเศร้าโศกของผู้เคยสูญเสียบุคคลอัน เป็นที่รัก” เป็นต้น

ได้ในงาน “สัมมนาวิทยานิพนธ์ดีเด่น ประจาปี ๒๕๕๔” จัดโดยบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๐๐-๑๗.๓๐ น. ณ หอประชุม มวก. ๔๘ พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทรอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา









ขอขอบคุณ :-

ภาพจาก : pinterest
บทความ : บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์ ผู้แต่ง : ดร.สานุ มหัทธนาดุลย์ (2558)
website : https://www.mcu.ac.th/article/detail/397
26 มี.ค. 61 | พระพุทธศาสนา

บรรณานุกรม :-

ก. ข้อมูลปฐมภูมิ
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
- มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.

ข. ข้อมูลทุติยภูมิ
- วิทยานิพนธ์ : สานุ มหัทธนาดุลย์. “การศึกษาวิเคราะห์สังโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท”. วิทยานิพนธ์
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2024, 01:07:45 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: บ่วงโซ่ล่ามมนุษย์ | สังโยชน์เป็นเช่นนี้
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2024, 01:05:25 pm »
0
.



การศึกษาวิเคราะห์สังโยชน์ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท

โดย สานุ มหัทธนาดุลย์
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา




 :25: :25:

บทคัดย่อ

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความหมาย ประเภท และลักษณะของสังโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท หลักธรรมที่สัมพันธ์กับสังโยชน์ และศึกษาวิเคราะห์สังโยชน์ตามทัศนะของพระเถระในสังคมไทย

จากผลการศึกษาพบว่า สังโยชน์มีความหมายตามคัมภีร์พระไตรปิฎกว่า เป็นเครื่องผูกพันน้อยใหญ่ มีทั้งประเภทที่เป็นรูปธรรมได้แก่ คิหิสังโยชน์ หมายถึงสังโยชน์ของคฤหัสถ์ ได้แก่ ทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา ข้าทาส บริวาร และกามคุณ ๕ ประการ ส่วนสังโยชน์ประเภทที่เป็นนามธรรม ได้แก่ สังโยชน์ ๑๐ ประการ

โดยแบ่ง ตามพระสูตร ๑๐ คือ สักกายทิฏฐิสังโยชน์ วิจิกิจฉาสังโยชน์ สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ กามฉันทะสังโยชน์ พยาบาทสังโยชน์ รูปราคะสังโยชน์ อรูปราคะสังโยชน์ มานะสังโยชน์ อุทธัจจะสังโยชน์ และอวิชชาสังโยชน์

แบ่งตามอภิธรรม ๑๐ ประการ คือ กามราคะสังโยชน์ ปฏิฆะสังโยชน์ มานะสังโยชน์ ทิฏฐิสังโยชน์ วิจิกิจฉาสังโยชน์ สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ ภวราคสังโยชน์ อิสสาสังโยชน์ มัจฉริยสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์

การแบ่งสังโยชน์ทั้งสองนัยนี้ ถึงแม้ชื่อสังโยชน์จะต่างกัน แต่สภาวะของสังโยชน์ทำงานอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

ในพระไตรปิฎกมีการอธิบายสังโยชน์เชิงอุปมา เพื่อให้เข้าใจลักษณะนามธรรมของสังโยชน์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีการอุปมาสังโยชน์ เหมือนบานประตู เหมือนเมฆหมอก เหมือนเชือกผูกลูกวัวที่หลัก เหมือนฝั่งแม่น้าสองฝั่ง เหมือนระดับความสูงความต่ำ เหมือนเบ็ดเกี่ยวปากปลา เหมือนก้อนหินที่ผูกเท้าสัตว์ เหมือนกิ่งไม้ที่บุคคลใช้มือยึดเกาะไว้ เหมือนห้วงน้ำลึก

อุปมาโอรัมภาคิยสังโยชน์เหมือนกายมนุษย์ที่หยาบ อุปมาอุทธัมภาคิยสังโยชน์เหมือนกายทิพย์ที่ละเอียด

    @@@@@@@

พบว่าขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ขันธ์ ๔ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นธรรมที่ประกอบกับสังโยชน์

หลักธรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์ คือ ปฏิจจสมุปบาท มีตัณหาและอุปาทาน ส่งเสริมและสนับสนุนให้สังโยชน์เกิดขึ้น และยังมีกลุ่มธรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์ คือ อาสวะ โอฆะ โยคะ คันถะ อุปาทาน นีวรณ์ อนุสัย กิเลส มิจฉัตตะ โลกธรรม มัจฉริยะ วิปลาส อคติ และมูละ กลุ่มธรรมเหล่านี้จะทำงานช่วยให้สังโยชน์มีกำลังผูกมัดมากขึ้น เช่น

    เมื่อกามราคะสังโยชน์เกิดขึ้น มีทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ เป็นต้น เกิดขึ้นส่งเสริมและสนับสนุน
    เมื่อสักกายทิฏฐิสังโยชน์เกิดขึ้น กามาสวะ อวิชชาสวะ กาโมฆะ อวิช โชฆะ กามโยคะ อวิชชาโยคะ เป็นต้นเกิดขึ้นส่งเสริมและสนับสนุน

ส่วนข้อปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์หรือธรรมที่ทำให้สังโยชน์หมดไป คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายเอก เป็นวิธีที่จะทำให้สังโยชน์หมดไป กล่าวคือ เมื่อบุคคลปฏิบัติตนตามวิธีของสติปัฏฐาน ๔ แล้วจะทำให้เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา มีทั้งหมด ๔ ขั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์

     พระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส       
     พระสกทาคามีละสังโยชน์ ๓ ประการที่พระโสดาบันละได้แล้ว ส่วนที่ทำได้มากกว่าพระโสดาบัน คือ การทำให้กามฉันทะสังโยชน์ และพยาบาทสังโยชน์เบาบางลง
     พระอนาคามีละสังโยชน์ที่พระโสดาบันละได้แล้ว และละเพิ่มอีก ๒ ประการคือ กามฉันทะสังโยชน์และพยาบาทสังโยชน์
     ส่วนพระอรหันต์ละสังโยชน์ ๕ ประการที่เหลือได้ทั้งหมด คือ รูปราคะสังโยชน์ อรูปราคะสังโยชน์ มานะสังโยชน์ อุทธัจจะสังโยชน์ และอวิชชาสังโยชน์ เมื่อสังโยชน์หมดไปแล้ว สภาวะของนิพพานก็เข้ามาแทนที่ ทำให้จิตของบุคคลนั้นมีความเป็นอิสระจากสังโยชน์ ไม่มีความวุ่นวาย ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข


     @@@@@@@

     ส่วนสังโยชน์ตามทัศนะของพระเถระในสังคมไทยทั้ง ๕ รูปนั้น ผู้วิจัยพบว่า
     พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) กล่าวว่า กิเลสที่ละเอียดประณีตที่เป็นตัวปัญหาเรียกว่าสังโยชน์ ๑๐ ประการ ผู้ที่สามารถละสังโยชน์ดังกล่าวได้ทั้งหมดเรียกว่าพระอรหันต์ ผู้ที่ละสังโยชน์ได้บางส่วนแต่ยังละไม่ได้ทั้งหมดเรียกพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตามลำดับ มีพระโสดาบันเป็นต้น
     ผู้ที่ยังมีสังโยชน์ คือ ปุถุชน ถ้าไม่ควบคุมสังโยชน์ จะทำให้ปุถุชนเป็นปุถุชนเกินขั้นจะเป็นบ้าและจะเป็นสัตว์นรก และกล่าวว่าสังโยชน์ก็คือความโง่ ซึ่งมาจากสัญชาติญาณของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่เกิด แล้วถูกพัฒนาความโง่เหล่านั้นให้มากขึ้น ๆ จนเต็มไปด้วยอวิชชา

     พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มองสังโยชน์ในเชิงวิชาการว่า เป็นหลักการที่ใช้วัดทักขิไณยบุคคล เกณฑ์ แบบนี้เป็นการแบ่งแบบลบ หมายถึง ใช้วิธีดูเอาจากสังโยชน์ที่ละได้ในแต่ละข้อ พระพรหมคุณาภรณ์ท่านจะอธิบายเกี่ยวกับสังโยชน์ วิธีการละสังโยชน์ และบุคคลที่ละสังโยชน์ได้ตามแบบพระไตรปิฎก

     พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)ให้ความสาคัญกับกามฉันทะสังโยชน์ โดยเฉพาะความต้องการในการเสพเมถุนนี้ว่าเป็นปัญหาที่หนักใจ พระภิกษุที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการบวชไม่ได้นาน มีอันต้องลาสิกขาไป กิเลสตัวนี้เอง ที่ท่านต้องเผชิญหน้าอย่างหนักหนาสาหัสในช่วงแรก ๆ ของชีวิตในเพศบรรพชิตของท่าน โดยท่านจะสอนบรรดาพระหนุ่มลูกวัดให้ระวังเป็นพิเศษ
     นอกจากนี้ยังอธิบายธรรมอย่างตรงไปตรงมา และมีวิธีที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายด้วยอุปมาโวหาร ดังที่ท่านเปรียบสักกายทิฏฐิเป็นเหมือนโทรศัพท์ หากไม่รับก็ไม่เกิดปัญหา ว่าเป็นตัวตนเราเขา

     พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดา) กล่าวว่า สังโยชน์คือความบ้า เป็นความวิปลาส พร้อมทั้งกล่าวว่า สังโยชน์ยังเป็นเกณฑ์ในการวัดพระอริยบุคคล

     พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) เน้นการละสังโยชน์โดยวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานซึ่งจะเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน ท่านอธิบายสังโยชน์แต่ละชนิด ตามหลักอภิธรรมมัตถสังคหะ เช่น อธิบายสักกายทิฏฐิว่า มีองค์ธรรม คือ ทิฏฐิในทิฏฐิเจตสิกสัมปยุตตจิต เป็นต้น





ความนำ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้มุ่งประพฤติปฏิบัติตนตามหลักไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา หรือเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงนามาสอนบรรดาพุทธบริษัทนั้น มีอยู่เป็นจำนวนมาก และมีหลายระดับ เมื่อกล่าวถึงหลักการ ๆ หนึ่ง ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือ การได้เข้าถึงซึ่ง “พระนิพพาน” หมายถึง ภาวะของการดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงได้หมดสิ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารอันยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด

การที่มนุษย์จะบรรลุนิพพานได้ มนุษย์จำเป็นจะต้องตัดกิเลสออกจากจิตใจให้หมดไป กิเลสนั้นเรียกว่า “สังโยชน์ (๑-)” ซึ่งเป็นตัวการของปัญหาดังกล่าวทั้งหมด บุคคลผู้ประกอบด้วยสังโยชน์แล้วจะไม่ข้ามพ้นสังสารวัฏได้เลย

แม้แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่างก็เล็งเห็นถึงความรุนแรงของสังโยชน์ดังกล่าวนี้ ทรงพิจารณาเห็นว่า หากมนุษย์ละเลยไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ปัญญาในการกาหนดรู้โทษของสังโยชน์แล้ว ปัญหาดังกล่าวก็จะทวีความรุนแรงขึ้นจนกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถตัดภพชาติให้สิ้นไปเสียได้ เนื่องจากกิเลสนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องผูกโดยยึดเหนี่ยวบุคคลเอาไว้ในวัฏฏะ ด้วยอำนาจความเพลิดเพลินแห่งกิเลสตัณหานั้นๆ เป็นการยากต่อการสลัดทิ้งไป

นอกจากนี้ สังโยชน์ยังได้รับการส่งเสริมและสนันสนุนจากกลุ่มอกุศลธรรม ที่ช่วยให้สังโยชน์มีกำลังในการผูกยึดเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับสังโยชน์ที่ผูกยึดสัตว์ไว้ในภพว่า

     “ปุถุชนผู้ประกอบด้วยทิฏฐิสังโยชน์ ผู้ยังไม่ได้สดับย่อมไม่พ้นจากชาติ (ความเกิด) ชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) ย่อมไม่พ้นจากความทุกข์” (๒-)

ถึงกระนั้น เมื่อมนุษย์รู้จักเรียนรู้เพื่อที่จะใช้ปัญญาพิจารณาถึงตัวปัญหา สามารถละสังโยชน์ขั้นต้นได้สามประการแล้ว ย่อมเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นพระอริยบุคคลระดับ “พระโสดาบัน” และย่อมสำเร็จสัมโพธิ (๓-) ในวันข้างหน้า เป็นบุคคลประเภทแรกที่ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อละสังโยชน์ได้หมดสิ้น อนุสัยย่อมสิ้นตาม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลระดับสูงที่สุดของพระพุทธศาสนา ได้แก่ “พระอรหันต์”

หลักการและแนวคิดของสังโยชน์ดังกล่าวนี้ พระเถระในสังคมไทยหลายท่านต่างก็ได้ให้ความสำคัญ ยึดถือและนำไปพัฒนาการปฏิบัติธรรมของตน รวมถึงนำไปเป็นแนวทางในการสอนให้กับศิษยานุศิษย์ นำข้อปฏิบัติเหล่านั้นเพื่อพัฒนาตนต่อไป

________________________
(๑-) องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
(๒-) ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๙/๒๐.
(๓-) สัมโพธิ ในที่นี้หมายถึงมรรคเบื้องสูง ๓ คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๑/๕๕๙, อ้างใน อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๓๑/๑๕๔.

@@@@@@@

วัตถุประสงค์

๑. เพื่อศึกษาความหมาย ประเภท และลักษณะของสังโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท
๒. เพื่อศึกษาหลักธรรมที่สัมพันธ์กับสังโยชน์
๓. เพื่อศึกษาวิเคราะห์สังโยชน์ตามทัศนะของพระเถระในสังคมไทย

วิธีดำเนินการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้

๑. ศึกษาข้อมูลจากเอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Source)ได้แก่ จากคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อให้ทราบถึงหลักการ และแนวคิดสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับสังโยชน์ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเป็นการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสังโยชน์ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเอาไว้เป็นหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก

๒. ศึกษาข้อมูลจากเอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary Source) คือ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณ์วิเสส รวมถึงตำราและเอกสารงานวิจัย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการอธิบายขยายความเนื้อหาเพิ่มเติมจากในพระไตรปิฎกให้มีความละเอียดชัดเจนมากยิ่งขึ้น

๓. ศึกษาข้อมูลจาก หนังสือ งานนิพนธ์ และบทบรรยาย ตลอดจนผลงานที่เกี่ยวข้องของพระเถระในสังคมไทย ทั้ง ๕ รูปคือ พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ที่ได้กล่าวถึงสังโยชน์ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึงแนวทางของท่านเหล่านั้น ในการนำเอาหลักการ และแนวคิดเรื่องสังโยชน์ไปพัฒนาการปฏิบัติ และอธิบายการสอนให้พุทธศาสนิกชนได้มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องสังโยชน์

๔. ประมวล สังเคราะห์ และวิเคราะห์ข้อมูลให้เห็นทิศทางอย่างชัดเจน ถึงหลักการและแนวคิดเรื่องสังโยชน์ รวมถึงความหมาย ประเภท และลักษณะของสังโยชน์ ตลอดจนหลักธรรมที่มีความสำคัญและมีส่วนสัมพันธ์กับสังโยชน์ตามทัศนะของพระเถระในสังคมไทยทั้ง ๕ ท่านเหล่านั้นว่า มีความสอดคล้อง หรือแตกต่างไปจากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทหรือไม่อย่างไร

๕. สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ





ผลการวิจัย

จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ สามารถสรุปผลการวิจัยซึ่งแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

ความหมายของสังโยชน์

“สังโยชน์” ในพระไตรปิฏกให้ความหมายไว้ว่า เป็นเครื่องผูกพันน้อยใหญ่(๔-) เป็นกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่มัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์

ในอรรถกถาให้ความหมายเอาไว้ว่า เป็นเครื่องผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้ในรถ(คือภพ) ที่แล้วด้วยวัฏฏะทุกข์(๕-) เป็นเครื่องพันธนาการ(๖-) เพราะสังโยชน์เหล่านี้ย่อมผูก คือ ตามผูกสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพ อีกนัยหนึ่งย่อมเชื่อมภพไว้ด้วยภพ(๗-)

รวมถึงการผูกมัดบุคคลผู้มีสังโยชน์ไว้ด้วยกรรมและวิบากอันเป็นทุกข์ หรือด้วยลำดับของ ภพ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณ ฐิติและสัตตาวาส เป็นต้น(๘-) และยิ่งไปกว่านั้น สังโยชน์ก็ยังสามารถยังสัตว์ให้จมลงในวัฏฏะได้ด้วย(๙-)

จากความหมายต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ทำให้สังโยชน์สะท้อนภาพให้เราเห็นถึงความเป็น “เครื่องพันธนาการล่องหน (Invisible Fetters) ซึ่งเกี่ยวโยงสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ โดยไม่ให้เห็นและไม่ให้รู้สึกตัว เป็นเหตุให้สัตว์เหล่านั้นต้องกลับมาวนเวียนว่ายอยู่ในภพทั้ง ๓ ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ อย่างไม่มีวันจบสิ้น (Infinity) ตราบใดที่ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีปลดเครื่องพันธนาการเหล่านั้นออก” (๑๐-)

___________________________________
(๔-) องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๔๓/๕๐๑, ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๖๙๘/๔๕๘.
(๕-) ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๒๕๕/๑๐๗.
(๖-) ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๒๖๕/๓๖.
(๗-) ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๙/๑๐๑.
(๘-) ขุ.อิติ.อ. (ไทย) ๑/๑๙๓/๑๑๑.
(๙-) ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๒/๓๘๐.
(๑๐-) ความหมายตามทัศนะของผู้วิจัย

@@@@@@@

ประเภทของสังโยชน์

ประเด็นความหมายของสังโยชน์ดังกล่าว ทำให้เกิดความยากในการสื่อความหมายให้ปุถุชนผู้เปี่ยมไปด้วยกิเลสได้รู้จักสังโยชน์ ดังนั้น ประเภทของสังโยชน์ จึงถูกจำแนกออกตามลักษณะของความเป็นรูปธรรม และนามธรรม ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทแบ่งสังโยชน์ออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่

๑) สังโยชน์ประเภทที่จำแนกตามลักษณะที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
    จำแนกตามรูปธรรม คือ คิหิสังโยชน์(๑๑-) (สังโยชน์ของคฤหัสถ์ ๖ ประการมี ทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา ข้าทาสบริวาร และกามคุณ ๕)
    จำแนกตามนามธรรม คือ สังโยชน์หมวดต่าง ๆ ได้แก่ สังโยชน์ หมวด ๓(๑๒-) หมวด ๗(๑๓-) และ หมวด ๑๐(๑๔-) (ตามอภิธรรมภาชนีย์นัย) ตามลำดับ

๒) สังโยชน์ประเภทที่จำแนกตามนามธรรมอย่างเดียว โดยแยกประเภทองค์ธรรมออกเป็น ๒ ระดับ คืออย่างหยาบและอย่างละเอียด
    สังโยชน์อย่างหยาบ คือโอรัมภาคิยสังโยชน์ (๑๕-) มีอยู่ ๕ ประการได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ และ พยาบาท
    ส่วนสังโยชน์อย่างละเอียด คือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์(๑๖-) มีอยู่ ๕ ประการเช่นกัน คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ อวิชชา

๓) สังโยชน์ประเภทที่จำแนกตามการให้ผลของสังโยชน์(๑๗-) เป็นหลักฐานชั้นอรรถกถาจารย์ มีอยู่ ๒ ประการได้แก่
     อุปบัติปฏิลาภิยสังโยชน์ คือ สังโยชน์ที่เป็นเหตุให้มีการเกิด และ
     ภวปฏิลาภิยสังโยชน์ คือ สังโยชน์ที่เป็นเหตุให้มีภพ

_______________________
(๑๑-) ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๘๖/๑๔๔.
(๑๒-) ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๗๔-๒๗๕/๒๐๖, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๕/๓๒๘, ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๒,
(ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๕๖/๙๑, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๑๕/๕๗๒, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๑/๕๖/๒๙๐.
(๑๓-) องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๘/๑๔, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๑๐/๑๖.
(๑๔-) อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๑๑๘/๒๘๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๖๙/๖๒๐.
(๑๕-) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๕/๓๐๒, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๐/๑๐๖, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ.
(ไทย) ๓๕/๙๔๐/๕๙๒.
(๑๖-) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๕/๓๐๒, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๑/๑๐๖-๑๐๗, องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๗๐/๕๕๔,
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๙๔๐/๕๙๒.
(๑๗-) องฺ.จตุกฺก.อ. (ไทย) ๒/๑๓๑/๓๔๘.

@@@@@@@

ลักษณะของสังโยชน์

ลักษณะของสังโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท แบ่งออกเป็น ๓ หมวด ได้แก่

๑) ลักษณะของสังโยชน์เชิงอุปมา เป็นการอุปมาสังโยชน์กับสิ่งต่าง ๆ ๑๐ ประการ คือ เปรียบสังโยชน์ด้วยเชือกผูกลูกวัวที่หลัก, เปรียบเหมือนเมฆหมอก, เหมือนบานประตู, เหมือนฝั่งแม่น้ำ ๒ ฝั่ง, เปรียบด้วยระดับชั้นความสูง-ต่ำ, เปรียบด้วยลักษณะทางกายภาพด้านภพภูมิของสรรพสัตว์ รวมถึงเปรียบโอรัมภาคิยสังโยชน์ด้วยเครื่องมือล่าสัตว์ คือ เบ็ด, เป็นเครื่องพันธนาการ, เหมือนกายมนุษย์ และ เหมือนห้วงน้ำลึกภายใต้
 
๒) ลักษณะเฉพาะประเภทของสังโยชน์ คัมภีร์ธัมมสังคณีอธิบายไว้โดยมีนัยที่แตกต่างกันไปตามองค์ธรรมของสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการมี กามราคะสังโยชน์ และ ปฏิฆะสังโยชน์ เป็นต้น

๓) ลักษณะของสังโยชน์ตามนัยอภิธรรม จำแนกออกเป็น ๖ หมวด คือ ธรรมที่เป็นสังโยชน์, ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์, ธรรมที่ประกอบด้วยสังโยชน์, ธรรมที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์, ธรรมที่เป็นสังโยชน์และประกอบด้วยสังโยชน์, ธรรมที่ไม่ประกอบด้วยสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์

ด้วยสาเหตุที่ว่า สังโยชน์มีลักษณะที่เป็นนามธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เห็นและเข้าใจได้ยากกว่าแบบรูปธรรม

ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงใช้วิธีการนำเสนอเชิงอุปมาอุปมัย กล่าวคือ ใช้อุปมาโวหารมาเป็นเครื่องมือในการอธิบายที่ช่วยชี้นำให้ผู้ฟังได้นึกภาพตามด้วยการใช้จินตนาการทางความคิด สร้างเป็นมโนภาพไว้ในใจ ช่วยทำความรู้จักและเข้าใจสังโยชน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

โดยผ่านทางกระบวนการทางการรับรู้ของมนุษย์ด้วยการขบคิด จินตนาการ โดยเปรียบเทียบให้เห็นถึงลักษณะของสังโยชน์ต่าง ๆ เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งของ เครื่องใช้ และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และมีอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์

นอกจากนั้นการอธิบายด้วยการเปรียบเทียบยังเป็นการขยายความและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเสริมจากการอธิบายในลักษณะเฉพาะของสังโยชน์ และอธิบายสังโยชน์ตามแนวพระอภิธรรมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย





หลักธรรมที่สัมพันธ์กับสังโยชน์

เป็นที่ทราบกันดีว่า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดสัมพันธ์ภาพขึ้นระหว่าง “สังโยชน์” กับธรรมต่าง ๆ ในลักษณะที่เข้าไปมีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์ ปรากฏอยู่ใน ๒ ลักษณะด้วยกัน ได้แก่

     ๑) ลักษณะปฏิจจสมุปบาท ส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์โดยเป็นเหตุและเป็นผลเป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันในลักษณะปฏิจจสมุปบาท โดยมีตัณหาเป็นสาเหตุ คือ ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดังพุทธพจน์ที่ตรัสถึงธรรมที่เป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์ที่ว่า
      "เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาสจึงมี
       ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันพึงติดไฟได้ ก็เพราะอาศัยน้ำมันและไส้ บุรุษเติมน้ำมันและใส่ไส้ในประทีปน้ำมันนั้นทุก ๆ ระยะ เมื่อเป็นอย่างนี้ ประทีปน้ำมันนั้นได้อาหารอย่างนั้น ได้เชื้ออย่างนั้น พึงลุกโพลงตลอดกาลนาน"
(๑๘-)

     ๒) ลักษณะของกลุ่มอกุศลธรรม ส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์ในลักษณะของกลุ่มอกุศลธรรม ๑๔ ประการ อันได้แก่
          (๑) อาสวะ (๒) โอฆะ (๓) โยคะ (๔) คันถะ (๕) อุปาทาน
          (๖) นีวรณ์ (๗) อนุสัย (๘) กิเลส (๙) มิจฉัตตะ (๑๐) โลกธรรม
        (๑๑) มัจฉริยะ (๑๒) วิปลาส (๑๓) อคติ และ (๑๔) มูละ

โดยอกุศลธรรมเหล่านี้ จะทำหน้าที่ช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนสังโยชน์ให้มีอำนาจในการผูกมัดสัตว์ทั้งหลายแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ไม่ให้หลุดออกจากวังวนของสังสารวัฏ โดยจะแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ

เปรียบเสมือนเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายหลายประเภท เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไข้หวัด เชื้อมาเลเรีย ฯลฯ เชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเชื้อโรคคนละสายพันธุ์และไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อได้มีโอกาสเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ขณะที่มีสภาพอ่อนแอได้แล้ว ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การช่วยกันเบียดเบียนร่างกายมนุษย์ให้อ่อนแอลง และต่างฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตน

ยิ่งไปกว่านั้น การแบ่งกันทำหน้าที่ของตน ๆ นั้นย่อมเป็นไปด้วยความเป็นระบบและเป็นระเบียบตามที่ตนถนัดและเชี่ยวชาญ กล่าวคือ เชื้อไวรัสก็จะทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ในขณะที่เชื้อแบคทีเรียก็ทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง ไม่ก้าวก่ายกัน ดังนั้น จึงเกิดเป็นการทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบขึ้น ด้วยประการฉะนี้

______________________
(๑๘-) ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๕๓/๑๐๖.

@@@@@@@

หลักธรรมสำหรับปฏิบัติละสังโยชน์

วิธีการแก้ปัญหาให้กับทางออกจากสาเหตุแห่งความทุกข์ นั่นก็คือการใช้มรรคและปฏิปทา เพื่อการแก้เชือกทั้ง ๑๐ เส้นนี้ให้หลุดออก ปลดพันธนาการที่จองจำผูกมัดใจเอาไว้ โดยอาศัยหลักธรรมสำหรับปฏิบัติละสังโยชน์ ได้แก่

หลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ใช้เป็นบาทฐานในการปฏิบัติ โดยอาศัยหลักธรรมหมวดอื่น ๆ เพื่อเกื้อกูลกันเช่น หลักไตรสิกขา หลักโพธิปักขิยธรรม และ วิสุทธิ ๗ เป็นต้น

เมื่อละสังโยชน์ได้แล้วจึงบรรลุมรรคผล เข้าสู่สภาวะของการเป็นอริยบุคคล ๔ จาพวก มีพระโสดาบันเป็นกลุ่มบุคคลแรกที่ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เป็นอริยบุคคลจำพวกสุดท้ายตามลำดับ ดับกองทุกข์แล้วทั้งมวล ตัดสังโยชน์ได้หมดแล้วทั้ง ๑๐ ประการ สิ้นภพชาติแล้วถือเป็นบุคคลผู้บรรลุเป้าหมายสูงที่สุดแล้วในพระพุทธศาสนา

สังโยชน์กับนิพพานจึงเป็นธรรมที่อยู่กันคนละขั้ว คนละด้าน เปรียบเหมือนความมืดกับความสว่าง เพราะความมืดหายไป ความสว่างจึงเข้ามาแทนที่ เพราะการละสังโยชน์ได้ทั้งหมด จึงมีนิพพานเข้ามาแทนที่เช่นเดียวกัน นิพพานจึงเป็นทางออกของสรรพสัตว์จากวัฏฏะทุกข์ทั้งปวง





วิเคราะห์สังโยชน์ตามทัศนะของพระเถระในสังคมไทย

ทัศนะของพระเถระในสังคมไทย ต่างก็มีทัศนะ แนวคิด มุมมอง ต่อหลักการของสังโยชน์ไม่แตกต่างไปจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์ชั้นรองลงมา ตามลำดับ นอกจากนั้นยังได้นำเอาหลักการเหล่านั้นไปพัฒนาการปฏิบัติและการสอนศิษยานุศิษย์ของตนอย่างแพร่หลาย

เริ่มจากท่านพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) กล่าวว่า สังโยชน์เป็นความโง่ มีอยู่ ๑๐ ประการ(๑๙-) สังโยชน์ทุกตัวจะมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่เกิด สังโยชน์เป็นกิเลสที่ผูกเย็บสัตว์ให้ติดอยู่กับความทุกข์หรือผูกติดอยู่กับทุกข์ เป็นความโง่ คือ อวิชชาที่มาจากสัญชาติญาณของมนุษย์ และติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด มนุษย์จึงควรที่จะเรียนรู้เพื่อให้รู้จักสังโยชน์เหล่านั้น และปฏิบัติตนเพื่อละสังโยชน์ความโง่เหล่านั้นให้หมดไปจากใจ

ในขณะที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) อธิบายสังโยชน์เชิงวิชาการตามพระไตรปิฎก มีสังโยชน์ขั้นสูงและสังโยชน์ขั้นต่ำเช่นเดียวกับที่ในพระสูตร คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์ขั้นต่ำ) มีสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ ส่วนอุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์ขั้นละเอียด) มีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา และกล่าวว่าสังโยชน์เป็นเกณฑ์วัดอริยบุคคล หรือทักขิไณยบุคคลแบบลบ(๒๐-) คือ วัดจากสังโยชน์ที่ละได้ ตามลำดับส่วน

พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดา) ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับสังโยชน์ว่า เป็นเครื่องผูกพันให้ร่างกายเกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของตัณหา ท่านกล่าวว่า สังโยชน์ ๑๐ ประการ ก็คือความบ้า เมื่อตัดความบ้า ๑๐ ประการนี้ได้ก็จะถึงพระนิพพาน

สังโยชน์ คือ ความบ้า(๒๑-) ตามทัศนะของท่านพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดา) จึงมีลักษณะที่สอดคล้องกับสังโยชน์ คือ ความโง่ ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ซึ่งล้วนต้องอาศัยมรรคและปฏิปทาเพื่อละและกำจัด

ในด้านวิปัสสนากรรมฐานท่านพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) แสดงทัศนะเกี่ยวกับสังโยชน์โดยมีพระอภิธรรมปิฎกเป็นกรอบในการสอน เช่น การอธิบายเกี่ยวกับทิฏฐิสังโยชน์ของท่านว่า ทิฏฐิประกอบอยู่ในโลภะทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต(๒๒-) วิธีที่จะละสังโยชน์ได้ คือ เจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน

ส่วนท่านพระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทฺโท) มีวิธีการสอนสังโยชน์โดยภาษาและการยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายด้วยวิธีอุปมาโวหาร ท่านเน้นมากเรื่องกามฉันทะ ท่านสอนให้พระเณรละทิฏฐิมานะสังโยชน์โดยผ่านกฏระเบียบ ท่านให้ความสำคัญกับกามราคะสังโยชน์ เพราะเป็นสาเหตุให้พระเณรต้องลาสิกขา(๒๓-) โดยให้พิจารณาโดยความเป็นของสกปรก ซึ่งท่านได้ต่อสู้มาจนกระทั่งชนะ เมื่อมนุษย์ชนะสังโยชน์ได้ก็ย่อมเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลตามหลักการทางพระพุทธศาสนา

_________________________________________
(๑๙-) พุทธทาสภิกขุ, ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๓, เรียบเรียงโดย นายพินิจ รักทองหล่อ, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมทานมูลนิธิ, พ.ศ. ๒๕๔๐), หน้า ๕๕-๗๑.
(๒๐-) เกณฑ์จำแนกประเภททักขิไณย หรืออริยบุคคล ใน “พุทธธรรม” กล่าวว่าโดยหลักใหญ่ มี ๒ วิธี
คือ แบ่งตามขั้นหรือระดับที่กำจัดกิเลสได้ (แบบลบ) และแบ่งตามคุณธรรมหรือข้อปฏิบัติที่ให้เข้าถึงระดับหรือขั้นนั้นๆ (แบบบวก)
    การแบ่งแบบลบก็ได้แก่ การใช้สังโยชน์ ๑๐ ประการเป็นตัววัดนั่นเอง
    ส่วนการแบ่งแบบบวก แบ่งตามอินทรีย์ที่แก่กล้าเป็นตัวนำในการปฏิบัติ ได้แก่ (๑) สัทธานุสารี (๒) ธัมมมานุสารี (๓) สัทธาวิมุต (๔) ทิฏฐิปปัตตะ (๕) กายสักขี (๖) ปัญญาวิมุต (๗) อุภโตภาควิมุต,   พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๒๘๔-๒๙๒.
(๒๑-) พระราชพรหมยาน, สังโยชน์ ๑๐, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เยลโล่ การพิมพ์(๑๙๘๘) จากัด, ๒๕๕๒), หน้า ๕๕.
(๒๒-) พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙), เพชรในดวงใจ, พิมพ์ครั้งที่ ๗,(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พิทักษ์อักษร, ๒๕๓๙), หน้า ๓-๕.
(๒๓-) กองทุนพลังชีวิตอาคมธรรมทาน, อุปลมณี, (กรุงเทพฯ : อักษรสยามการพิมพ์, ๒๕๔๐), หน้า ๓๑๓.







ขอขอบคุณ :-

ภาพจาก : pinterest
บทความ : การศึกษาวิเคราะห์สังโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท
ผู้แต่ง : ดร.สานุ มหัทธนาดุลย์ (2558)
website : https://www.mcu.ac.th/article/detail/402

บรรณานุกรม :-

ก. เอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Sources)
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
- มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.

ข. เอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary Sources)
- กองทุนพลังชีวิตอาคมธรรมทาน. อุปลมณี. กรุงเทพฯ : อักษรสยามการพิมพ์, ๒๕๔๐.
- พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙). เพชรในดวงใจ. พิมพ์ครั้งที่ ๗. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์พิทักษ์อักษร, ๒๕๓๙.
- พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย
- พระราชพรหมยาน. สังโยชน์ ๑๐. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เยลโล่ การพิมพ์ (๑๙๘๘) จากัด, ๒๕๕๒.
- พุทธทาสภิกขุ. ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๓. เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ. กรุงเทพมหานคร : ธรรมทานมูลนิธิ, ๒๕๔๐.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 19, 2024, 01:14:01 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ