ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โลกล้านปีที่โคราช ประวัติศาสตร์สยาม ต้นทางความเป็นไทย  (อ่าน 865 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



โลกล้านปีที่โคราช ประวัติศาสตร์สยาม ต้นทางความเป็นไทย
ช้างล้านปี, หมาสามพันปี, ม้าสองพันปี, สยามพันปี, เมืองราด พ่อขุนผาเมือง




 :96: :96: :96:

โลกล้านปีที่โคราช หรือ “โคราชจีโอพาร์คโลก” พบหลักฐานดึกดำบรรพ์ของประวัติศาสตร์สยามดั้งเดิม ซึ่งเป็นต้นทางความเป็นไทย สืบถึงปัจจุบัน

หลักฐานประวัติศาสตร์เหล่านี้ มี “คุณค่า” ทางวิชาการ รวมทั้งกระตุ้นพลังสร้างสรรค์ และมี “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ “วัฒนธรรมชาติ” (หมายถึงวัฒนธรรม และธรรมชาติ)


@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักของทางการ

(1.) ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่มีมาแต่เดิม แต่เป็นประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างใหม่ หลังเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย เพื่อการเมืองชาตินิยม ลัทธิคลั่งเชื้อชาติไทย 85 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2482

(2.) เป็นประวัติศาสตร์วิปริต–บิดเบือน–บาดหมาง–สร้างบาดแผล และความร้าวฉานกับเพื่อนบ้านโดยรอบ ทุกวันนี้สร้างความรุนแรงทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ไม่มีคนไทยในน่านเจ้า–ต้าหลี่ และไม่มีคนไทยทางตอนใต้ของจีน ตามหลักฐานวิชาการสากลรับรู้ตรงกันทั่วโลก ซึ่งขัดแย้งประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักของทางการ ว่า

    (ก.) เชื้อชาติไม่มีในโลก ดังนั้น ไม่มีเชื้อชาติไทย
    (ข.) ถิ่นกำเนิดคนไทยไม่มีในจีน จีนไม่เคยรุกรานขับไล่ไทย
    (ค.) อัลไต ไม่มีคนไทย น่านเจ้า ไม่มีคนไทย เป็นของไป๋–ยี๋ ตระกูลโล–โล้ (หลอ–หลอ) หรือจีน–ทิเบต กุบไลข่าน ไม่ได้ขับไล่คนไทย ตีได้ต้าหลี่ (น่านเจ้า) แล้วให้ตระกูลท้องถิ่นปกครองตนเอง โดยขึ้นกับจีน
    (ง.) สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก เพราะอโยธยาเก่ากว่าสุโขทัย แต่อโยธยา “ถูกทำให้หายไป” เพื่อการเมืองได้ประโยชน์จากการยกย่องสุโขทัย

ดังนั้น ต้องยกเลิกประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักของทางการ แล้วสร้างใหม่ ประวัติศาสตร์ไทย จากประวัติศาสตร์สยามตามหลักฐานวิชาการอย่างเคร่งครัด

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์สยาม

(1.) ประวัติศาสตร์ดั้งเดิม ก่อนมีประวัติศาสตร์ไทย คือ ประวัติศาสตร์สยาม

(2.) เป็นประวัติศาสตร์ของชาวสยาม และดินแดนสยาม ที่ต่อไปข้างหน้าเป็นคนไทยและประเทศไทยสืบจนทุกวันนี้

(3.) ชาวสยามดั้งเดิม (ก่อนเป็นชาวไทย) มีศูนย์กลางอำนาจอยู่เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา โดยมีเครือญาติและเครือข่ายอยู่ทางลุ่มน้ำชีกับลุ่มน้ำโขง (ศูนย์กลางอยู่เวียงจันท์)




ช้างล้านปี (ฟอสซิล) ที่ท่าช้าง ต. ท่าช้าง อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. นครราชสีมา


ช้างล้านปีน่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและทั่วโลก ถ้าโปรโมตโดนใจ
(ซ้าย) ฟอสซิลฟันกรามของช้างสกุลเอลิฟาส Elephas อายุอยู่ในช่วง 2.6–0.01 ล้านปีก่อน พบที่ ต. ท่าช้าง อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. นครราชสีมา
(ขวา) ภาพสันนิษฐานช้างสกุลเอลิฟาส ที่มีลูกมีหลาน สืบต่อมาเป็นช้างไทยในปัจจุบัน

[ข้อมูลจาก ผศ. ดร. ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการโคราชจีโอพาร์คโลก]


หมา 3,000 ปี ที่เขาจันทน์งามอ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา


ดูเผินๆ เหมือนรูปเขียนร่วมสมัย ควรโปรโมตเรื่องเล่าหมาศักดิ์สิทธิ์ 3,000 ปีมาแล้ว นำทางส่งขวัญบุคคลสำคัญขึ้นฟ้า รวมพลังกับผีฟ้าผีแถน เพื่อคุ้มครองคนที่มีชีวิตในชุมชน และเก็บพันธุ์ข้าวจากฟ้าลงมาให้มนุษย์ปลูกกิน

[ลายเส้นของกรมศิลปากร คัดลอกภาพเขียนที่เขาจันทน์งาม ต. ลาดบัวขาว อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา]


ม้า 2,000 ปี ที่บ้านโตนด อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา


หลักฐานสำคัญบริเวณนครราชสีมา แสดงว่ามีการค้าระยะไกลทางบก ราว 2,000 ปีมาแล้ว คือ
(1.) กระดูกม้า (ขุดพบที่บ้านโตนด อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา) และ
(2.) ตุ๊กตารูปม้า เป็นพันธุ์ม้าจากที่อื่น ไม่ใช่พันธุ์ม้าพื้นเมือง

(ภาพลายเส้นจำลองชิ้นส่วนตุ๊กตาม้า 2,000 ปีมาแล้ว ขุดพบที่บ้านโตนด อ. โนนสูง จ.นครราชสีมา จากรายงานการวิจัยการขุดค้นแหล่งโบราณคดี ยุคโลหะตอนปลาย ในจังหวัดนครราชสีมา โดย ปรีชา กาญจนาคม ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2537 หน้า 71)


หินตั้ง 3,000 ปี ที่บ้านหินตั้ง อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา


หินตั้งเป็นแท่งหินตั้งต้นของเสมาหินรอบพระนอน ควรโปรโมตหินตั้งมีกระจัดกระจายในชุมชนบ้านหินตั้งที่สูงเนิน ชิน อยู่ดี (นักปราชญ์ไทยในกรมศิลปากรสมัยก่อน) สำรวจเมื่อ 65 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2502) พบว่าบ้านหินตั้งมีหินตั้งเป็นวงกลม 2 แห่ง (มีรายงานวิชาการพิมพ์ในหนังสือสมัยก่อนประวัติศาสตร์ฯ พ.ศ. 2510 หน้า 82)

หินตั้งเป็นแท่งหินธรรมชาติที่มนุษย์ชุมชนเริ่มแรกใช้ปักดินเพื่อบอกเขตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องรับรู้ทั่วไปในนานาชาติ เอเจียน แอมอนิเย หัวหน้าคณะสำรวจชาวฝรั่งเศส เคยเดินทางสำรวจพบแล้วเขียนบันทึกบอกไว้เมื่อ 142 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2425 (แผ่นดิน ร.5)

(ในภาพ) หินตั้งเป็นวงกลม 3,000 ปีมาแล้ว ที่บ้านหินตั้ง อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา

[ลายเส้นและข้อความถ่ายแบบจากหนังสือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ของ ชิน อยู่ดี กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก (เมื่อ 57 ปีที่แล้ว) พ.ศ. 2510]


พระนอน 1,500 ปี เมืองเสมา อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา


พระนอน เมืองเสมา (ประกอบใหม่) 1,500 ปี วัดธรรมจักรเสมาราม อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา


พระบาทซ้ายของพระนอน เคยตั้งเหมือนพระยืน น่าจะใช้สร้างกระแสสงสัยกระตุ้นการท่องเที่ยวดูพระนอน ในวัดธรรมจักรเสมาราม อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา

[ภาพโดย พิบูล ศุภกิจวิเลขการ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2512]


ชาวสยามดั้งเดิม 1,000 ปีมาแล้ว ลำตะคอง–แม่น้ำมูล จ. นครราชสีมา


สยามลุ่มน้ำมูล เป็นสยามดั้งเดิม ศูนย์กลางอยู่เมืองเสมา ย่านลำตะคอง (เครือญาติสยามเวียงจันท์) เขมรเรียก “เสียมกุก” (ภาพสลักปราสาทนครวัด) ไทยว่า สยามกก [คำว่า กก แปลว่า ต้นตระกูล, รากเหง้า, ดั้งเดิม, เริ่มแรก (เช่น ลูกผู้เกิดทีแรกเรียก “ลูกกก”)]

“เสียมกุก” ขบวนแห่เกียรติยศของกลุ่มสยามลำตะคอง ลุ่มน้ำมูล ซึ่งเป็นเครือญาติสนิทของกษัตริย์กัมพูชา ราว พ.ศ. 1650 (900 ปีมาแล้ว)

(ในภาพ) ภาพสลักบนระเบียงปราสาทนครวัด ทั้งเจ้านายและไพร่พลนุ่งถุงเหมือนโสร่ง (ไม่นุ่งถลกแบบเขมร) เป็นเครื่องแต่งตัวตามประเพณีในพิธีกรรมสำคัญ (ไม่แต่งในชีวิตประจำวัน)

[ถอดแบบลายเส้นจากภาพสลัก โดย คงศักดิ์ กุลกลางดอน อาจารย์คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร)


เมืองราด พ่อขุนผาเมือง คือ เมืองเสมา อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา


ปราสาทเมืองเก่า (ที่เมืองเสมา) เป็นหลักฐานสำคัญแสดงว่าบ้านเมืองนี้คือเครือญาติใกล้ชิดมากกับเมืองพระนครหลวง (นครธม) สนับสนุนว่าเมืองเสมาคือเมืองราดของพ่อขุนผาเมือง ซึ่งเป็น “ลูกเขย” กษัตริย์เขมรสมัยนั้น ที่รับพระราชทานพระแสงขรรค์ชัยศรี แล้วเป็นมรดกตกทอดถึงกษัตริย์อโยธยาและอยุธยา

[ภาพปราสาทเมืองเก่า เรือน พ.ศ. 1750 วัดปรางค์เมืองเก่า บ้านเมืองเก่า ต. โคราช อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา โดย นายเสน่ห์ แมลงทับ สิงหาคม พ.ศ. 2566]



หลานพ่อขุนผาเมือง “ศรีศรัทธา” ที่โคราช

พ่อขุนผาเมือง มี “หลานชาย” ชื่อ “ศรีศรัทธา” อยู่เมืองพิษณุโลก รัฐสุโขทัย แต่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องบริเวณลุ่มน้ำมูล จ. นครราชสีมา 2 แห่ง ได้แก่ ดงอีจาน และปราสาทพนมวัน

ดงอีจาน ท่านศรีศรัทธาบอกไว้ในจารึกสุโขทัย (หลักที่ 2 วัดศรีชุม) เมื่ออายุ 17-18 ได้ออกสู้รบชนช้างกับท้าวอีจาน ซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่นแถบดงอีจาน จิตร ภูมิศักดิ์ พบและอธิบายว่าดงอีจานอยู่ทางนครราชสีมา

ปัจจุบันเรียก “ป่าดงอีจานใหญ่” ครอบคลุมพื้นที่นครราชสีมา อ. โชคชัย อ. ครบุรี อ. เสิงสาง และบริเวณต่อเนื่องโดยรอบ สมัยก่อนน่าจะมีศูนย์กลางศักดิ์สิทธิ์อยู่ถ้ำวัวแดง



ถ้ำวัวแดง (อ. ครบุรี จ. นครราชสีมา) บริเวณผนังถ้ำมีภาพสลักอายุราว พ.ศ. 1600-1650 รูปพระอิศวร (ศิวะ) และพระอุมาทรงโคอุสุภราช (วัว) ปางอุมามเหศวรมูรติ พร้อมด้วยขบวนบริวารเป็นแถวเรียงกัน

[ภาพโดย มานิต วัลลิโภดม เมื่อ พ.ศ. 2502 จากปกวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (มกราคม–มีนาคม 2531) แต่หลังจากนั้นราว 20 ปี ถูกคนร้ายกะเทาะบางส่วนของภาพสลักชำรุดเสียหาย เมื่อ พ.ศ. 2521 ปัจจุบันจึงไม่เหลือภาพสลักสมบูรณ์เหมือนภาพนี้]



ปราสาทพนมวัน ท่านศรีศรัทธาบอกไว้ในจารึกฯ ว่าหลังอายุ 20 ออกบวชเป็นภิกษุ ที่รัฐสุโขทัย แล้วธุดงค์ถึงบริเวณ “รัตนภูมิ” ปัจจุบันเรียก “ปราสาทพนมวัน” อ. เมืองฯ จ. นครราชสีมา


“รัตนภูมิ” ของเจ้าศรีศรัทธาฯ ในจารึกวัดศรีชุม คือปราสาทพนมวัน อ. เมืองฯ จ. นครราชสีมา
[ภาพจาก Facebook เพจสํานักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา กรมศิลปากร]



ท่านศรีศรัทธา เป็นหลานพ่อขุนผาเมือง มีความเคลื่อนไหวอย่างน้อย 2 ครั้ง บนพื้นที่ลุ่มน้ำมูล 2 แห่ง เป็นหลักฐานสำคัญแสดงยืนยันว่าตระกูลผาเมืองมีถิ่นฐานอยู่ลุ่มน้ำมูล และเมืองราด คือ เมืองเสมา อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
    • เมืองเสมา (สูงเนิน นครราชสีมา) คือ เมืองราด พ่อขุนผาเมือง โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
    • พ่อขุนผาเมือง หายไปไหน? ‘ผมเชื่อว่าท่านมาเป็นกษัตริย์อยุธยา’ ขรรค์ชัย สุจิตต์ ทอดน่อง ‘เมืองเสมา’ ท้าพิสูจน์หลากปมประวัติศาสตร์
    • ‘สุจิตต์-ขรรค์ชัย’ ใส่เต็มเหนี่ยว ยัน ‘เมืองราด’ ของพ่อขุนผาเมืองอยู่ ‘สูงเนิน’ โคราช







ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน   : สุจิตต์ วงษ์เทศ | วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 - 13:55 น.
website : https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_4696389
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2024, 06:17:31 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ