ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมทาน ๒ ระดับ  (อ่าน 830 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมทาน ๒ ระดับ
« เมื่อ: สิงหาคม 17, 2024, 07:21:23 am »
0
.

ขอบคุณภาพจาก https://ca.pinterest.com/pin/34269647160902800/


ธรรมทาน

ธรรมทาน คือ การให้คำแนะนำสั่งสอนสิ่งที่ดี บอกศิลปวิทยาที่ดี ที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต เป็นเหตุให้มีความสุข รวมถึงการอธิบายให้รู้และเข้าใจเรื่องบุญบาป ให้ละสิ่งที่เป็นอกุศล ดำรงตนอยู่ในทางกุศล ซึ่งจะนำพาตนให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้
     
ประเภทของธรรมทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วิทยาทาน และ อภัยทาน


@@@@@@@

1. วิทยาทาน คือ การให้ความรู้ แบ่งออกเป็นวิทยาทานทางโลก และวิทยาทานทางธรรม

     1.1 วิทยาทานทางโลก คือ การสั่งสอนให้เกิดความรู้ความสามารถในเชิงศิลปวิทยาการ เพื่อนำไปประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงชีวิต และสามารถดำเนินชีวิตต่อไป ได้ด้วยความสะดวกสบายทุกอย่าง ดังนั้น ทางพระพุทธศาสนาได้จัดความรู้ว่า เป็นขุมทรัพย์อย่างหนึ่ง ชื่อ "องฺคสมนิธิ" แปลว่า ขุมทรัพย์ติดตัวได้ บุคคลผู้มีความรู้ดีจึงเปรียบได้ว่ามีขุมทรัพย์ติดตัวไปไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถใช้ปัญญารักษาตัวเอง ให้อยู่รอดปลอดภัยได้แน่นอน

     1.2 วิทยาทานทางธรรม (จัดเป็นธรรมทานแท้) คือ การให้ความรู้ที่เป็นธรรมะนั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ด้วยเหตุที่ว่า การดำเนินชีวิตของแต่ละคนนั้น ถ้าขาดเสียซึ่งหลักธรรมชีวิต ก็จะพบแต่ความทุกข์เดือดร้อนผิดหวังตลอดไป ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังธรรม และนำมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม ย่อมเกิดความเจริญงอกงามในชีวิตของตน ทำให้จิตใจปลอดโปร่งสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสในที่สุด ก็ทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้งในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ การให้คำสอนที่ถูกต้องที่เป็นธรรมะนั้น เปรียบได้กับการให้ขุมทรัพย์ที่เป็นอมตะติดตัวไว้ หรือให้ประทีปแสงสว่างที่คอยติดตามไป

ดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า การให้ธรรมทานเปรียบเหมือนการให้ขุมทรัพย์ หรือประทีปที่จะเป็นเครื่องส่องทางชีวิต ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องดีงาม นำชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ และเมื่อยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารย่อมเป็นผู้ไม่ตกต่ำ มีชีวิตที่ดีงาม ได้เกิดในสุคติภพ เมื่ออบรมบ่มบารมีแก่กล้าแล้ว ย่อมสละละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง เข้าถึงพระนิพพานได้ เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
   
2. อภัยทาน คือ การให้ความปลอดภัยให้ความไม่มีภัยแก่ตนและผู้อื่นไม่ถือโทษโกรธเคืองในการล่วงเกินของผู้อื่น ไม่มีเวรไม่ผูกเวรกับผู้ใดทั้งยังมีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นเป็นนิตย์

การให้อภัยเป็นการให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เป็นการให้ที่ง่าย แต่ที่บางคนทำได้ยากเพราะมีกิเลสอยู่ในใจต้องอาศัยการฟังธรรมประพฤติปฏิบัติธรรมบ่อยๆ จนเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นคุณประโยชน์ของการให้อภัยแล้วจะให้อภัยได้ง่ายขึ้น หากมองเผินๆจะดูเหมือนว่า การให้อภัยเป็นการให้ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมีความสุขสบายใจ แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ที่ได้รับประโยชน์สุขมากที่สุด ก็คือตนเอง เพราะทุกครั้งที่ให้อภัยได้จะรู้สึกปลอดโปร่งเบากายเบาใจสดชื่นแจ่มใสมีความสุข

นอกจากนี้การช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายให้ปลอดภัย หรือพ้นจากอันตรายนั้นได้ เช่น การช่วยปล่อยสัตว์ที่เขาจะนำไปฆ่าให้พ้นจากการถูกฆ่า ดังประเพณีปล่อยสัตว์ปล่อยปลาก็นับว่า เป็นอภัยทานเช่นกัน เพราะได้ให้ความไม่มีภัยให้ความเป็นอิสระแก่สัตว์เหล่านั้น การให้ความปลอดภัยให้ความไม่มีเวรไม่มีภัยแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยการไม่เบียดเบียนจัดเป็นการให้ที่สูงขึ้นไปอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า "มหาทาน" ซึ่งท่านจัดไว้ในเรื่องศีล

การให้อภัย คือ ทำตนเป็นผู้ไม่มีภัยกับตนเอง ใครที่สามารถสละภัย คือ โทสะออกจากใจได้ มีจิตใจสงบ สะอาด จิตจะประกอบไปด้วยเมตตา เมื่อทำไปแล้วถึงระดับหนึ่งจัดว่าเป็นการภาวนาที่เรียกว่า "เมตตาภาวนา" ซึ่งมีอานิสงส์สูงยิ่ง

 


 
ขอขอบคุณ
บทความจากหนังสือ DOU วิชา SB 101 วิถีชาวพุทธ
https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=7543
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ