ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การบริโภคแต่พอดี  (อ่าน 769 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การบริโภคแต่พอดี
« เมื่อ: กันยายน 10, 2024, 05:48:24 am »
0
.

ขอบคุณภาพจาก https://ca.pinterest.com/pin/16466354880501948/


การบริโภคแต่พอดี

ไม่ว่ายุคสมัยใด ปัญหาหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเสมอก็คือ เรื่องของการบริโภคเกิดพอดี แม้ในสมัยพุทธกาล พระราชาคือ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงบริโภคเกินพอดีทำให้ ทรงอึดอัด มีอาการอาหารไม่ย่อยจนพระเสโทไหล ราชบุรุษต้องยืนประคองทั้งสองข้างพัดวีอยู่ แต่ก็ยังไม่อาจบรรทมได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้คาถา ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ได้สั่งให้มหาดเล็กเรียนไว้ คือ จำไว้แล้วให้กล่าวในเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหาร โดยให้ค่าจ้างในการกล่าวคาถานี้ ถึงวันละ 100 กหาปณะ แก่มหาดเล็กนั้น

คาถาซึ่งมาในพระสูตรชื่อ “โทณปากสูตร” มีอยู่ว่า
 
    “มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา
     ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า อายุยืน”


จากนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงดำรงอยู่โดยมีพระกระยาหารพอประมาณ มีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วเปล่งอุทานว่า

     “พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
      ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้งสอง
      คือ ประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้าหนอ”


@@@@@@@

ความในอรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนมหาดเล็กว่าจงอย่ากล่าวคาถานี้พร่ำเพรื่อ จงยืนในที่ใกล้พระราชา อย่ากล่าวเมื่อเสวยพระกระยาหารก้อนแรก พึงกล่าวเมื่อทรงถือก้อนสุดท้าย พระราชาทรงได้ยินแล้ว จักทรงทิ้งก้อนข้าว เมื่อเป็นดังนั้น เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็พึงชักถาดออกมานับเมล็ดข้าว ดูว่าได้เท่าใด แยกกับข้าวออก

วันรุ่งขึ้น ก็พึงลดข้าวสารเสียเพียงเท่านั้น พึงกล่าวเฉพาะในเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า อย่ากล่าวในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น เพราะวันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสวยพระกระยาหารเช้ามาแล้ว จึงเสด็จมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น พระเจ้าปเสนทิโกศลจะทรงระลึกถึงคำของพระทศพลได้เอง ก็จะทิ้งก้อนข้าวลงในถาด เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ให้ชักถาดออกเอามานับเมล็ดข้าว วันรุ่งขึ้นก็ลดข้าวสารเสียเท่านั้น ดังนี้

มหาดเล็กได้ไปที่สำนักของพระตถาคตทุกวัน
ต่อมาพระพุทธตรัสถามว่า พระราชาเสวยเท่าไร
เขาได้ทูลตอบว่า ข้าวสุกทะนานหนึ่ง พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ด้วยปริมาณเพียงเท่านี้ นับว่าเหมาะสม
แต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่ากล่าวคาถาเลย พระราชาก็ดำรงอยู่ในปริมาณนั้นนั่นแหละ

นับว่าเป็นวิธีการที่แยบยล การที่พระเจ้าปเสนทิโกศล กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้งสอง คือ ประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้านั้น

ประโยชน์ปัจจุบัน คือ ความที่พระราชามีพระสรีระสละสลวย
ส่วนประโยชน์ภายหน้า หมายถึง ศีล ด้วยว่า ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ย่อมชื่อว่าเป็นองค์ (ส่วน) ของศีล


@@@@@@@

การทางอาหารมาตามใจปาก ก็คือ ตามใจกิเลส คือ ความติดในรส ซึ่งก็เป็นความโลภประเภทหนึ่งนั่นเอง จะเห็นได้ว่า ศีล 8 เป็นต้น มีข้องดเว้น การทานโภชนะในเวลาวิกาล คือ หลังเที่ยงจนถึงก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่ และหากมองให้ดีแล้ว แม้ศีล 5 ก็มีข้อเกี่ยวกับการทานเช่นกัน คือ ของมึนเมา ดังนั้น การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ก็เข้าในหมวดของศีล

การรับประทานมากเกินไป ย่อมทำให้ได้รับเวทนา คือ ความอึดอัดเป็นต้น รวมทั้งความลำบากต่างๆ ด้วยความมีสรีระที่เกินประมาณ ทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆ และแม้การเคลื่อนไหวก็ลำบาก ทั้งยังทำให้เกิดความเกียจคร้าน ง่วงเหงาหาวนอนไม่กระฉับกระเฉง ทั้งทางกายและความคิดสติปัญญา

อีกทั้งการทานเกินประมาณบางอย่างเป็นไปเพื่อกามราคะ คนทานมากเกิน ย่อมแก่เร็ว และอาจนำไปสู่โรคภัยต่างๆ ซึ่งทำให้มีอายุสั้นได้

เราท่านทั้งหลายก็สามารถได้รับประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้าได้เช่นกัน ด้วยการรู้จักประมาณในการรับประทาน...




ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/lifestyle/291508
27 เมษายน 2557
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 10, 2024, 06:07:17 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ