ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘ภาวนา’ ในฐานะ ‘ปรากฏการณ์ทางสังคม’  (อ่าน 803 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ภาพจากเฟซบุ๊ก วัชรสิทธา


‘ภาวนา’ ในฐานะ ‘ปรากฏการณ์ทางสังคม’

“ใครคิดว่าการนั่งสมาธิวิปัสสนาคนเดียวในห้อง เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมบ้างคะ.?”

เสียงใสๆ ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิญญา เฟื่องฟูสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยา-สังคมวิทยาศาสนาแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถามขึ้นในชั้นเรียน “Meditation Methodology : ภาวนาในฐานะปรากฏการณ์แห่งการตื่นรู้” ซึ่งจัดโดยวัชรสิทธาเมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เพื่อนร่วมคลาสบางคนไม่แน่ใจนักว่า การนั่งเงียบๆ ภาวนาอยู่คนเดียวในห้องจะมีอะไรเกี่ยวกับสังคม และด้วยเหตุนั้น มันก็ไม่น่าจะเรียกว่าปรากฏการณ์ทางสังคมได้ ก็แค่คนปลีกตัวไปนั่งสมาธิ หลีกเร้นจากโลกและสังคมอันสับสนวุ่นวายเท่านั้น แต่คำตอบกลับมิใช่ดังที่บางคนเข้าใจ ก็เพราะการภาวนาคือปรากฏการณ์ทางสังคมนั่นเอง

ผมได้สมัครไปเป็นนักเรียนคนหนึ่งของคลาสนี้ และพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่ได้เรียนรู้ จึงอยากจะมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านและโดยส่วนตัวก็เป็นการทดไว้กันลืม หากแต่ทั้งหมดนี้เขียนขึ้นจากความทรงจำซึ่งย่อมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้ ฉะนั้น หากมีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นย่อมเป็นของผมเอง มิใช่ของท่านอาจารย์ผู้สอน

เมื่อเราพิจารณาการภาวนาในฐานะ “ประสบการณ์ส่วนบุคคล” เรามักคิดว่าเรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับสังคม ยิ่งหากเป็นการภาวนาที่มีลักษณะปลีกเร้นก็จะไม่เกี่ยวข้องยิ่งขี้นไปอีก ทว่า สิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ส่วนบุคคลนั้น มีปัจจัยทางสังคมหรือสิ่งที่เรียกว่า “มิติเชิงโครงสร้าง” หล่อมหลอม ประกอบสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะ “ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ” ที่เราไม่รู้ตัว

@@@@@@@

ตัวอย่างง่ายๆ เช่น การทักทายในวัฒนธรรมไทย คงมิได้มีความหมายเป็นเพียงการทักทายเฉยๆ แต่ภายใต้การยกมือไหว้แล้วกล่าวคำว่า “สวัสดี” เราจะเห็นแบบแผนบางอย่างที่มาจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เช่น ใครไหว้ก่อนไหว้หลัง ใครไหว้ด้วยท่าทีอย่างไร ฯลฯ

หากมองจากแง่มุมตัวตน (self) ตัวตนของเราในฐานะคนภาวนาจึงมิใช่ตัวตนที่โดดเดี่ยวแยกออกจากสิ่งอื่นๆ แต่เป็นตัวตนที่ถูกประกอบสร้างจากปฏิสัมพันธ์กับสัญญะต่างๆ ของสังคม กล่าวในอีกทางว่า สังคมเป็นส่วนต่อขยายตัวตนของเรา

ทั้งนี้ เราไม่ควรลืมว่าศาสนาเองก็ย่อมต้องได้รับอิทธิพลจากสิ่งอื่นๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แวดล้อมศาสนานั้นอยู่ด้วยเช่นเดียวกันกับตัวตนของเรา อาทิ ระบบทุนนิยม ความเป็นสมัยใหม่ (modernity) รวมถึง “โลกาภิวัตน์” (globalization) ที่ทำให้ศาสนาต้องปะทะสังสรรค์กับอุดมการณ์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งคำสอนของศาสนาอื่นๆ และพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาตัวรอดให้ได้

พุทธศาสนาในไทยจึงมีทั้งการผสานเอาแนวทางแบบเซน มหายาน พราหมณ์-ฮินดู ไลฟ์โค้ช แม้กระทั่งทุนนิยม-บริโภคนิยม วิทยาศาสตร์นิวตัน-ควอนตัม นิวเอจ อุดมการณ์ชาตินิยม ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนหรือการปฏิบัติอย่างมากมายหลายหลาก

ในทางกลับกัน ศาสนาเองก็มีอิทธิพลต่อปัจจัยเชิงโครงสร้างเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามารถพัฒนาในยุโรปได้ผ่านกระบวนการปฏิรูปคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะคำสอนของพวก Calvan ในขณะที่ไม่เกิดขึ้นในสังคมโบราณของเอเชีย

@@@@@@@

ดังนั้น คำสอน เป้าหมายและหลักปฏิบัติทางศาสนาที่เรานำมาปฏิบัติอย่าง “เป็นส่วนตัว” หรือคิดว่าไม่เกี่ยวอะไรกับสังคมจึงไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่สัมพันธ์โยงใยอย่างลึกซึ้งกับโลก “ภายนอก”

ผมนึกถึงกรณีที่พระหรือนักภาวนามักชอบพูดว่า “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” และมองว่าท่าทีแบบนี้ทำให้ตนเองหลุดออกไปจากการเมืองที่เลวร้ายได้ โดยไม่ได้ตระหนักว่าท่าทีแบบนี้ก็เป็นการเมืองในตัวเองนั่นแหละ คือเลือกที่จะปฏิเสธความเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบหนึ่งแต่ไปยึดโยงกับอีกแบบโดยไม่รู้ตัว

ความเฉยชาต่อความอยุติธรรมหรือความทุกข์ร้อนของเพื่อนมนุษย์ ผู้อยู่คนละฝักฝ่ายของอุดมการณ์ของตนจึงเกิดขึ้นในหมู่ชาวพุทธจำนวนหนึ่งด้วยคำว่า “อุเบกขา” ที่มักชอบใช้กันอย่างน่าสยดสยองสำหรับผม

คนปฏิบัติภาวนา นักปฏิบัติธรรมหรือชาว “ชุดขาว” จึงเป็นขบวนการทางสังคมโดยที่ตนเองไม่ตระหนัก และหลายที่ หลายสำนัก การภาวนาได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับหลบหนีจากการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกหรือทุกขสัจจ์ทางสังคมที่กำลังปรากฏอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น การภาวนาได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้รู้สึกตนเองดีขึ้น บริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้น เป็นคนดีที่สูงส่งกว่าผู้อื่น สูงส่งกว่าคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะพวกคนที่มัวแต่ฝักใฝ่แต่การเมือง พอสูงส่งกว่าเลยคิดว่าตัวเองมีสิทธิที่จะไปพิพากษาตัดสินลงโทษคนที่ไม่ดีเท่าตัวเองได้

นอกจากนี้ เพราะความเหลื่อมซ้อนทับกันไปมาของปัจเจกกับสังคมนี่เอง ร่างกายและพื้นที่ของเราจึงมีความหมายซับซ้อนหลากหลายไปด้วย ผู้ปฏิบัติในโลกสมัยใหม่จึงควรจะต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง



ภาพจากเฟซบุ๊ก วัชรสิทธา

กายของเราเองมิได้มีเพียงกายทางวัตถุ แต่เรายังมีกายทางสังคม กายทางจินตภาพ และกายเสมือน ซึ่งทั้งหมดก่อรูปมาจากปัจจัยหลากหลายที่แวดล้อมเราอยู่นั่นเอง

เรามองโลกผ่านร่างกายอันหลากหลายของเรา ผ่านเลนส์ต่างๆ เราจึงไม่ได้รับรู้โลกแบบ “ประจักษนิยม” (empiricism) คือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางกายบนฐานคิดที่ว่ามีแต่สสารเท่านั้นที่เป็นจริง

ดังนั้น ข้อเท็จจริง (fact) จึงไม่ได้เป็นแค่ข้อเท็จจริงอีกต่อไป เพราะเรารับรู้โลกผ่านระบบคุณค่าที่เรายึดถือไว้เป็นเลนส์อีกชั้น ทั้งยังมีกระบวนการตีความสิ่งที่เรารับรู้จากประสบการณ์และบริบทของชีวิตเราอีกทอดหนึ่ง ทว่า เรากลับคิดว่ามันเป็นความจริงในตัวเองโดยไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่น

ดังนั้น การภาวนาหรือการวิปัสสนาในความหมายที่ควรเป็น คือกระบวนการเชื่อมต่อโลกที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หรือโลกที่เต็มไปด้วยความลักลั่นย้อนแยงดังกล่าว โดยเริ่มต้นมองเห็นสภาวะที่แตกออกเป็นเสี่ยงนั้นๆ ก่อน แล้วทำงานกับตัวตนของเราที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอยต่อนั้นอย่างต่อเนื่อง

ขอบฟ้า (horizon) หรือกรอบเกณฑ์ข้อจำกัดที่เรามองโลก ซึ่งเราไม่เคยมองเห็นมาก่อนก็อาจค่อยๆ เผยให้เรารับรู้ ผ่านการทำงานอย่างต่อเนื่องกับตัวตน และบางครั้งจำจะต้องอาศัย “คนอื่น” เพื่อจะส่องสะท้อนให้เกิด “ความเข้าใจ” ตนเอง

การภาวนาในฐานะกระบวนเข้าใจตนเองจึงเป็นกระบวนการเดียวกันกับการเข้าใจคนอื่น เพราะเราต่างเป็นกระจกสะท้อนกันไปมา ในแง่นี้ การภาวนาหรือวิปัสสนาจึงมิใช่แค่วิธีปฏิบัติอันตายตัวแข็งทื่อที่เร่งเร้าให้เรามุ่งไปสู่ความหลุดพ้นแต่เพียงอย่างเดียว ทว่า เป็นทัศนคติ (attitude) ที่ทำให้เรามีความอดทนอดกลั้นต่อความต่างด้วย


@@@@@@@

วิปัสสนาในฐานะตัวเชื่อมจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยการตระหนักรู้เฉยๆ ในปัจจุบัน ได้ช่วยให้เกิดความจางคลายของการยึดมั่นถือมั่น อารณ์เชิงลบ หรือ “กิเลส” ทั้งหลายอันเกาะกุมอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนเหล่านั้นได้

ในขณะเดียวกัน เมื่อเราเกิดความเข้าใจจากการภาวนาหรือวิปัสสนาแล้ว ความเข้าใจนั้นจะมีความเป็นพลวัตไม่หยุดนิ่ง เพราะเมื่อใดที่ความเข้าใจหยุดนิ่งภายใต้ความคิดว่าได้บรรลุถึงอะไรบางสิ่ง วิปัสสนาหรือการบรรลุก็อาจกลายเป็น “อำนาจ” ทางวัฒนธรรมและศาสนาได้

สังคมไทยทำให้การบรรลุธรรมกลายเป็นอำนาจบางอย่าง และการภาวนากลับกลายเป็นรากฐานส่งเสริมต่ออำนาจที่ว่านั่น จะดีกว่าไหมหากเราได้ปลดปล่อยให้การภาวนานำเรามาสู่การเป็นคนธรรมดา แต่ละเอียดอ่อนระวังไหวต่อความทุกข์ของผู้อื่น แม้จะมีความเข้าใจต่อธรรมชาติของตนเองอย่างลึกซึ้ง แต่ก็มองเห็นเหตุปัจจัยทางสังคมที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งของตนเองและผู้อื่นด้วย

ไม่ได้ยึดติดอยู่กับความสงบสุขในสมาธิราวกับยิมนาสติกทางจิต แต่ดำรงอยู่ในการตระหนักรู้ทุกสภาวการณ์ของชีวิตที่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม ถ้าใช้คำของอาจารย์อภิญญา ท่านว่า การภาวนาควรทำให้เราเป็นมนุษย์ที่อบอุ่นขึ้น •


 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 กันยายน - 3 ตุลาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_803760
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ