« เมื่อ: ตุลาคม 25, 2024, 10:53:35 am »
0
.
ที่มาของภาพ, Getty Imagesรู้จัก “หน่วยบริการฉุกเฉิน” ใต้ทะเลลึก ที่ช่วยให้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ยังทำงานได้ 99% ของการสื่อสารดิจิทัลทั่วโลกต่างพึ่งพาสายเคเบิลใต้ทะเล มันอาจร่ายมนต์ให้เกิดความหายนะให้กับอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน ดังนั้น คุณจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นที่ก้นมหาสมุทรได้อย่างไร
หลังเวลา 17.00 น. ของวันที่ 18 พ.ย. 1929 ผ่านไปไม่นาน พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนนอกชายฝั่งคาบสมุทรบุรินซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาเหมือนนิ้วมือ และตั้งอยู่ทางตอนใต้ของนิวด์ฟันด์แลนด์ของแคนาดา ต่อมาพบว่าสิ่งที่รบกวนความสงบสุขในช่วงเย็นคือแผ่นดินไหวขนาด 7.2 แมกนิจูด ซึ่งพวกเขาสังเกตเห็นความเสียหายเพียงเล็กน้อยในตอนแรก นั่นคือหม้อปล่องไฟ 2-3 อันที่ล้มลง
แต่มันยังมีพลังงานที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นในทะเล เวลาประมาณ 19.30 น. สึนามิสูง 13 เมตรยกตัวขึ้นฝั่งคาบสมุทรบุรินและคร่าผู้คนไป 28 ชีวิต จากการจมน้ำหรือบาดเจ็บที่เกิดจากคลื่นยักษ์
แผ่นดินไหวนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับชุมชนท้องถิ่นเท่านั้น แต่มันมีผลกระทบระยะยาวในทะเลด้วยเช่นกัน มันทำให้เกิดดินถล่มใต้น้ำ (submarine landslide) ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์ชี้ว่าผู้คนไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ในขณะนั้น เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าดินถล่มใต้น้ำคืออะไร
เมื่อตะกอนถูกรบกวนจากแผ่นดินใหญ่ ประกอบกับกิจกรรมทางธรณีวิทยาอื่น ๆ จะทำให้น้ำหนาแน่นขึ้น และไหลลงมาราวกับหิมะที่กำลังถล่มบนภูเขา โดยดินถล่มใต้น้ำยังถูกเรียกว่ากระแสน้ำตะกอนขุ่นข้น (turbidity current) ซึ่งต่อมาพบว่ามันไหลห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร บนเนินทวีปโลเรียนเทียล ด้วยความเร็ว 50-70 นอตส์ (ราว 80-112 กม./ชั่วโมง)
แม้ไม่มีใครสังเกตเห็นดินถล่มใต้น้ำในขณะนั้น แต่มันกลับทิ้งเบาะแสผ่านความเสียหายของสายเคเบิลใต้ทะเลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ขาดสะบั้นลง โดยพบว่ามี 28 จุดที่แตกหักต่อเนื่องกันจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ขณะที่อีก 16 จุดเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากสายเคเบิลหักทีละอันในลักษณะระลอกคลื่นลึกลับ จาก 59 นาทีหลังแผ่นดินไหวเป็น 13 ชั่วโมง 17 นาทีในเวลาต่อมา และห่างออกไปกว่า 500 กิโลเมตรจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว
@@@@@@@
นักวิทยาศาสตร์เริ่มสงสัยว่า เหตุใดพวกมันถึงแตกหักทีละอัน แทนที่จะสายเคเบิลทั้งหมดจะขาดพร้อม ๆ กันเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
จนกระทั่งปี 1952 นักวิจัยจึงปะติดปะต่อข้อมูลต่าง ๆ ได้ว่าเหตุใดสายเคเบิลจึงขาดตามลำดับทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ และดูเหมือนว่าช่วงเวลาการหักสะบั้นจะช้าลงตามระยะห่างของศูนย์กลางแผ่นดินไหว
พวกเขาพบว่าดินถล่มทะลุสายเคเบิลต่าง ๆ และสายเคเบิลที่แตกหักก็เคลื่อนที่ไปตามการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำตะกอนขุ่นข้นไปทั่วพื้นท้องทะเล ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของกระแสน้ำดังกล่าว จนกระทั่งสายเคเบิลขาดและมีการบันทึกช่วงเวลาที่มันขาดไว้ ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของมหาสมุทรที่อยู่ด้านบนและใต้ผิวน้ำได้ด้วยความบังเอิญ และมันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจซึ่งอยู่ห่างไกลสายตามนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือมันทำให้เกิดงานซ่อมแซมที่ซับซ้อนขึ้น
สายเคเบิลใต้ทะเลลึกขยายตัวไปทั่วโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และงานซ่อมแซมบำรุงรักษาต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์น่าทึ่งตามมาด้วย มันช่วยเปิดโลกใบใหม่ที่เอื้อให้เราสอดแนมพื้นทะเลอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อน และในขณะเดียวกันมันก็ช่วยให้การสื่อสารของเรามีความเร็วสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่าชีวิตประจำวันของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแหล่งรายได้ สุขภาพ หรือความปลอดภัย ล้วนต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงเครือข่ายสายเคเบิลใต้ทะเลที่ซับซ้อนอันนี้ แต่มันจะเกิดอะไรขึ้น หากสายเคเบิลเหล่านี้แตกหักลง .
ที่มาของภาพ, Getty Images | คำบรรยายภาพ, สายเคเบิลใต้น้ำก่อตัวเป็นเครือข่ายทั่วโลกที่ก้นทะเล ช่วยให้เราทุกคนเชื่อมต่อกันข้อมูลของเราเดินทางอย่างไร ?
มีสายเคเบิลโทรคมนาคมยาว 1.4 ล้านกิโลเมตรบนพื้นทะเลและครอบคลุมทุกมหาสมุทรบนโลกนี้ เมื่อวางสายเคเบิลเหล่านี้ต่อกัน มันจะมีความยาวเกือบถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ โดยพบว่าพวกมันมีหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลดิจิทัลราว 99% ของข้อมูลทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือลักษณะเพรียงบางอย่างน่าประหลาดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2 เซนติเมตรเท่านั้น
การหยุดทำงานของสายเคเบิลขนาดใหญ่ในปี 1929 ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารระหว่างอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม “ส่วนใหญ่แล้ว เครือข่ายทั่วโลกมีความยืดหยุ่นอย่างน่าทึ่ง” ไมค์ แคลร์ ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของคณะกรรมการคุ้มครองสายเคเบิลระหว่างประเทศ ซึ่งค้นคว้าผลกระทบของเหตุรุนแรงที่ส่งผลต่อระบบเรือดำน้ำ กล่าว
“ในแต่ละปีมีความเสียหาย 150-200 ครั้ง เกิดขึ้นต่อเครือข่ายทั่วโลก ดังนั้น หากเราเทียบกับระยะทาง 1.4 ล้านกิโลเมตร มันก็ไม่ได้เยอะเท่าไรนัก และส่วนใหญ่แล้วการซ่อมแซมก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดความเสียหายเหล่านี้ขึ้น” เขาบอก
@@@@@@@
อินเทอร์เน็ตทำงานบนสายเคเบิลที่บาง และหลีกเลี่ยงการหยุดทำงานที่สร้างความหายนะ ได้อย่างไร.?
นับตั้งแต่มีการวางสายเคเบิลในศตวรรษที่ 19 พวกมันต้องเผชิญกับเหตุการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล ไปจนถึงพายุไต้ฝุ่น หรือน้ำท่วม แต่สิ่งที่สร้างความเสียหายให้กับพวกมันมากที่สุด กลับไม่ใช่ธรรมชาติ
สตีเฟน โฮลเดน หัวหน้าฝ่ายบำรุงรักษาสำหรับยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของโกลบอลมารีนซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมใต้ทะเลที่รับงานซ่อมแซมสายเคเบิล บอกว่า ความผิดพลาดส่วนใหญ่ซึ่งมีตัวเลขระหว่าง 70-80% ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ มักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การวางสมอเรือหรือการลากอวนลาก โดยสิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในระดับความลึก 200-300 เมตร (แต่การประมงพาณิชย์พยายามผลักดันให้ลงลึกไปเรื่อย ๆ เช่น ลึกราว 1,500 เมตรในทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอตแลนติก)
ขณะที่มีเพียง 10-20% เท่านั้นที่เกิดจากภัยธรรมชาติ และส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับสายเคเบิลที่เริ่มสึกหรอ เนื่องจากกระแสน้ำทำให้เกิดการเสียดสีกับหิน จนทำให้เกิด shunt fault ซึ่งหมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ฉนวนเสื่อมสภาพหรือมีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน และส่งผลให้การส่งข้อมูลมีความผิดปกติ
เหตุผลที่สายเคเบิลต้องมีความบางและเบาในน้ำลึก ก็เพื่อช่วยให้การฟื้นฟูซ่อมแซมทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการลากสายเคเบิลขนาดใหญ่และหนักขึ้นจากระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร จะสร้างความตึงเครียดให้กับวัสดุอย่างมาก ทั้งนี้ สายเคเบิลที่อยู่ใกล้ชายฝั่งนั้นมีแนวโน้มที่จะหุ้มฉนวนป้องกันที่มีคุณภาพดีกว่า เพราะพวกมันมักติดกับตาข่ายหรือเสียหายจากสมอเรือ
@@@@@@@
กองทัพผู้เตรียมพร้อมรอซ่อมแซมสายเคเบิลตลอดเวลา
หากมีการค้นพบจุดบกพร่อง จะมีการส่งเรือซ่อมออกไป “เรือเหล่านี้จะถูกวางไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยใช้เวลาเดินทางจากฐานไปยังท่าเรือราว 10-12 วัน” มิค แมคโกเวิร์น รองประธานฝ่ายปฏิบัติการทางทะเลของอัลคาเทล ซับมารีน เน็ตเวิร์คส์ กล่าว
“คุณมีเวลาที่จะหาว่าจุดบกพร่องมันอยู่ตรงไหน จากนั้นก็โหลดสายเคเบิล และทวนตัวขยายสัญญาณ” ซึ่งจะเพิ่มความแรงของสัญญาณขณะมันเดินทางไปตามสายเคเบิล “โดยพื้นฐานแล้ว มันใช้เวลาไม่นานเลย เมื่อคุณคิดว่าระบบทั้งหมดมีขนาดใหญ่เพียงใด”
แมคโกเวิร์นบอกว่า แม้จะใช้เวลา 9 เดือนในการซ่อมแซมความเสียหายของสายเคเบิลใต้ทะเลครั้งล่าสุดที่เกิดจากแผ่นดินไหวนิวฟันด์แลนด์เมื่อปี 1929 แต่การซ่อมแซมในน้ำลึกที่ทันสมัยในปัจจุบัน ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสถานที่
“เมื่อคุณคิดถึงความลึกของน้ำและบริเวณที่มันอยู่ มันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่เลวร้ายมากนัก” เขากล่าว
@@@@@@@
นั่นไม่ได้หมายความว่า อินเทอร์เน็ตของประเทศทั้งประเทศจะหยุดให้บริการเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลายประเทศมีสายเคเบิลและแบนด์วิดท์มากกว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนด ดังนั้นหากสายเคเบิลบางเส้นเสียหาย สายเคเบิลอื่น ๆ ก็จะรับช่วงต่อได้ นี่เรียกว่าความซ้ำซ้อนในระบบ และจากความซ้ำซ้อนนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยสังเกตเห็นว่าสายเคเบิลใต้น้ำเส้นใดเส้นหนึ่งเสียหาย
เช่น บางทีบทความนี้อาจใช้เวลาในการโหลดนานกว่าปกติ 1 หรือ 2 วินาที หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7 แมกนิจูดนอกชายฝั่งไต้หวันในปี 2006 ที่ทำให้สายเคเบิลหลายสิบเส้นในทะเลจีนใต้ขาดลง แต่สายเคเบิลที่เหลืออยู่ก็ทำให้ทั้งประเทศยังคงออนไลน์ต่อไปได้
เพื่อซ่อมแซมความเสียหาย เรือจะใช้ตะขอเกี่ยวเพื่อยกและตัดสายเคเบิล โดยดึงปลายด้านหนึ่งที่ขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วม้วนสายเคเบิลข้ามหัวเรือด้วยดรัมขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ จากนั้นจึงใช้รอกดึงส่วนที่เสียหายเข้าไปในห้องภายในและวิเคราะห์หาข้อบกพร่อง จากนั้นจึงซ่อมแซม ทดสอบโดยส่งสัญญาณกลับไปยังสู่ฝั่งจากเรือ ก่อนจะปิดผนึกและติดเข้ากับทุ่น แล้วกลับไปทำซ้ำขั้นตอนนี้กับปลายอีกด้านหนึ่งของสายเคเบิลอีกที
แมคโกเวิร์น บอกว่า เมื่อยึดทั้งสองด้านเรียบร้อยแล้ว เส้นใยแก้วนำแสงแต่ละเส้นจะถูกต่อเข้าด้วยกันภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อให้แน่ใจว่าเชื่อมต่อได้ดี จากนั้นจึงปิดผนึกเข้าด้วยกันด้วยข้อต่อสากลที่เข้ากันได้กับสายเคเบิลของผู้ผลิตทุกราย ทำให้ทีมซ่อมแซมระดับนานาชาติทำงานได้ง่ายขึ้น
ที่มาของภาพ, Getty Images | คำบรรยายภาพ, สายเคเบิลใต้ทะเลลึกสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งช่วยให้เราได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรสายเคเบิลที่ซ่อมแซมแล้วจะถูกปล่อยกลับลงไปในน้ำ หากลงไปในน้ำตื้นซึ่งอาจมีเรือสัญจรไปมาจำนวนมาก สายเคเบิลเหล่านี้จะถูกฝังไว้ในร่องลึกที่ถูกสร้างโดยเครื่องพ่นไอพ่นกำลังสูงของยานใต้น้ำสำหรับการควบคุมจากระยะไกล (ROVs)
ส่วนในน้ำที่ลึกกว่านั้น งานนี้จะทำโดยใช้เครื่องไถที่ติดตั้งเครื่องพ่นไอพ่นและลากไปตามพื้นทะเลโดยเรือซ่อมขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไป เครื่องไถบางเครื่องมีน้ำหนักมากกว่า 50 ตัน และในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงนั้น จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น งานหนึ่งที่แมคโกเวิร์นเล่าว่าต้องใช้เรือลากเครื่องไถขนาด 110 ตัน ในมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งสามารถฝังสายเคเบิลได้ลึก 4 เมตร และเจาะผ่านชั้นดินเยือกแข็ง
@@@@@@@
หูบนพื้นทะเล
การวางและซ่อมแซมสายเคเบิลทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกทางวิทยาศาสตร์ที่น่าประหลาดใจ ในตอนแรกค่อนข้างจะเป็นเรื่องบังเอิญ เช่น กรณีสายเคเบิลขาดและดินถล่ม และในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์เริ่มตั้งใจใช้สายเคเบิลเป็นเครื่องมือวิจัยด้วย
บทเรียนจากท้องทะเลลึกเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการวางสายเคเบิลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเส้นแรกในศตวรรษที่ 19 ผู้วางสายเคเบิลสังเกตเห็นว่ามหาสมุทรแอตแลนติกมีระดับตื้นขึ้นตรงกลาง จนค้นพบสันเขาตอนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกได้โดยบังเอิญ
ปัจจุบัน สายเคเบิลโทรคมนาคมสามารถใช้เป็น "เซ็นเซอร์เสียง" เพื่อตรวจจับวาฬ เรือ พายุ และแผ่นดินไหวในทะเลหลวงได้
ความเสียหายที่เกิดกับสายเคเบิลทำให้ภาคอุตสาหกรรมมี "ความเข้าใจพื้นฐานใหม่เกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นในทะเลลึก" แคลร์กล่าว "เราคงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีดินถล่มใต้ท้องทะเลหลังจากภูเขาไฟระเบิด หากไม่ใช่จากความเสียหายที่เกิดขึ้น"
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในบางพื้นที่ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ท้าทายมากขึ้น น้ำท่วมในแอฟริกาตะวันตกทำให้แม่น้ำคองโกไหลลงสู่หุบเขามากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่ตะกอนจำนวนมากไหลลงสู่แม่น้ำหลังจากเกิดน้ำท่วม ตะกอนเหล่านี้จะถูกพัดพาออกจากปากแม่น้ำไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก และอาจสร้างความเสียหายให้กับสายเคเบิลได้
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้องวางสายเคเบิลให้ห่างจากปากแม่น้ำมากขึ้น” แมคโกเวิร์น กล่าว
@@@@@@@
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าความเสียหายบางส่วนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปะทุของภูเขาไฟ ฮูงา-โตงา-ฮูงา-ฮาอาไป ในปี 2021-2022 ได้ทำลายสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตใต้ทะเลที่เชื่อมต่อประเทศเกาะตองกาในมหาสมุทรแปซิฟิกกับส่วนอื่น ๆ ของโลก และมันใช้เวลา 5 สัปดาห์ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกลับมาเป็นปกติ แม้ว่าจะมีบริการชั่วคราวบางส่วนกลับมาใช้งานได้หลังจากหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปะทุครั้งใหญ่ครั้งนี้ (ซึ่งพ่นเถ้าถ่านขึ้นไปในอากาศ 58 กม.) จะเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่ผิดปกติ แต่การเชื่อมต่อประเทศเกาะในพื้นที่ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ก็มีความเสี่ยงอยู่เสมอ โฮลเดน ระบุ
อย่างไรก็ตาม ประเทศต่าง ๆ หลายแห่งให้บริการสายเคเบิลใต้น้ำหลายสาย ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอาจไม่สังเกตเห็นความผิดพลาดเพียงจุดเดียวหรือหลายจุด เนื่องจากเครือข่ายอาจหันกลับมาใช้สายเคเบิลอื่น ๆ เมื่อเกิดวิกฤต
“เรื่องนี้ชี้ให้เห็นจริง ๆ ว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีเส้นทางสายเคเบิลที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์” แคลร์กล่าวเสริม “โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกาะเล็ก ๆ ในพื้นที่แปซิฟิกใต้ที่มีพายุโซนร้อน แผ่นดินไหว และภูเขาไฟ เกาะเหล่านี้มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ และจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พื้นที่ต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบในลักษณะที่แตกต่างกัน”
โฮลเดนบอกด้วยว่า เนื่องจากการทำประมงและการเดินเรือมีความซับซ้อนมากขึ้น การหลีกเลี่ยงสายเคเบิลจึงอาจทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การถือกำเนิดของระบบระบุอัตโนมัติ (AIS) ในการเดินเรือ ก็ทำให้ความเสียหายจากการทอดสมอลดลง เนื่องจากบริษัทบางแห่งในปัจจุบันเสนอบริการที่ให้คุณปฏิบัติตามรูปแบบที่กำหนดไว้สำหรับการชะลอความเร็วและการทอดสมอ แต่ในพื้นที่ของโลกที่เรือประมงยังไม่ค่อยมีความซับซ้อนและมีลูกเรือจำนวนน้อยกว่า ความเสียหายจากการทอดสมอก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่
แคลร์กล่าวเสริมว่า ในสถานที่ดังกล่าว ทางเลือกหนึ่งคือการบอกผู้คนว่าสายเคเบิลอยู่ที่ไหน และควรเพิ่มการรับรู้ให้เกิดขึ้นกว้างขวางกว่าเดิม เพื่อ "อินเทอร์เน็ตยังคงทำงานต่อไป ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน"Thank to :
https://www.bbc.com/thai/articles/c5y5850ld9loวิลเลียม ปาร์ก > บีบีซีเวิลด์เซอร์วิส | 23 ตุลาคม 2024
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 25, 2024, 10:57:15 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ