.
ทำไม เราถึงกลัวความแก่.?Summary
- ความกลัวความแก่ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่คือเรื่องสังคมและวัฒนธรรมด้วย คนเรากลัวความแก่ไม่ใช่เพราะกลัวความตาย แต่เพราะวัฒนธรรมของเราไม่สร้างความเข้าใจว่าบั้นปลายชีวิตจริงๆ หน้าตาเป็นอย่างไรแน่
- ความกลัวความแก่ไม่ใช่เรื่องที่กระทบแค่ ‘คนกำลังจะแก่’ หรือ ‘คนแก่’ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทั้งสังคม ทางแก้ความกลัวนี้ของเราอาจคือการหาทางเชื่อมต่อคนแต่ละวัยเข้าหากันมากขึ้น
มันอาจจะเป็นวันอาทิตย์ธรรมดาๆ วันหนึ่งที่เรากลับบ้านเยี่ยมครอบครัว แม่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ชวนเราคุยเพื่ออัปเดตความเป็นอยู่ของเรา คนที่เติบโตออกไปใช้ชีวิตผู้ใหญ่นอกบ้าน คุยกันเรื่องทั่วๆ ไปแบบที่เราเคยคุยกันมาตลอดชีวิต ระยะห่างบางอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมดา ระยะห่างของคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันอีกแล้ว นั่นคือครั้งแรกที่เรามองแม่เปลี่ยนไป เราเห็นผมสีขาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มือที่เลี้ยงเรามาอยู่ดีๆ ก็เหี่ยวย่นอย่างเห็นได้ชัด อยู่มาวันหนึ่งแม่ก็แก่ เราอาจคิดแบบนั้น จะไม่แก่ได้ยังไง ในเมื่อเราเองก็อายุมากกว่าแม่ตอนแม่มีเราแล้ว
ราวกลับมีหลุมว่างโหวงขนาดใหญ่เปิดขึ้นกลางร่างกายของเรา เวลาเป็นสิ่งที่น่ากลัวเสมอสำหรับมนุษย์ และมันน่ากลัวที่สุดเมื่อเราเห็นเวลาเดินอยู่ต่อหน้าต่อตา เห็นความเปลี่ยนแปลงในสิ่งใกล้ตัว เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเราเอง และหากมองดูดีๆ เราอาจพบว่ามีหลายองค์ประกอบในชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมาจากความกลัวเวลา และความวิตกกังวลใน ‘ความแก่’
มากมายเสียจนนำมาซึ่งคำถามว่า ทำไมเราจึงกลัวสิ่งที่เรารู้ดีว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขนาดนั้น
@@@@@@@
กลัวความแก่ ไม่ใช่กลัวความตาย
มนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ที่ชี้นำการใช้ชีวิตของเราให้อยู่รอดปลอดภัย และในเมื่อเรายิ่งอายุมาก ความเป็นไปได้ที่เราจะเสียชีวิตก็มีมากขึ้นไปด้วย นั่นแปลว่าการกลัวความแก่ ลึกๆ แล้วคือการกลัวความตายหรือเปล่า?
มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าคำตอบอาจซับซ้อนกว่านั้น งานวิจัยที่พูดเรื่องนี้มีชื่อว่า Aging-related fears and their associations with ideal life expectancy จัดทำขึ้นโดย Fiona Rupprecht คณะพฤฒาวิทยา (คณะที่ศึกษาเรื่องชีวิตชราภาพ) มหาวิทยาลัย Friedrich-Alexander University of Erlangen-Nuremberg
งานวิจัยดังกล่าวมีสมมติฐานว่ากลัวความแก่กับกลัวความตายนั้นแตกต่างกัน และทั้ง 2 อย่างกำเนิดมาจากคนละชุดความคิด ผลการทดลองผ่านแบบสอบถามพบว่ามีความแตกต่างอยู่จริง กลุ่มตัวอย่างที่กลัวความตาย มักต้องการที่จะมีชีวิตอันยาวนาน นำไปสู่ความพยายามในการหลีกเลี่ยงความตาย แต่กลุ่มตัวอย่างที่กลัวความแก่นั้นตรงกันข้าม กลุ่มที่กลัวความแก่นั้นกลัวโรคภัยและความเหงาเศร้าที่มากับความแก่มากกว่าความตาย
ผู้วิจัยสรุปว่าความกลัวทั้งความแก่และความตายมาจากมุมมองที่มนุษย์มีต่อวัยชรา และความคาดหวังของพวกเขาในฐานะคนที่ต้องแก่ในสักวัน เราบางคนอาจมองว่าการมีชีวิตอย่างยืนยาวนั้นดีในตัวของมันเองพวกเขาจึงไม่ต้องการหยุด แต่สำหรับบางคนที่กลัวความแก่ โดยมากความกลัวเกิดจากมุมมองที่ว่าความแก่มาพร้อมกับการไม่สามารถดูแลตัวเองได้ โรคภัยมากมาย และความโดดเดี่ยว ผู้วิจัยแจงว่าคนที่มีมุมมองเช่นนี้บ่อยครั้งต้องการช่วงชีวิตที่สั้นกว่าคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตในวัยชราด้วยซ้ำ
เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เราได้จากการดูงานวิจัยนี้คือ กลัวความแก่ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่คือเรื่องสังคมและวัฒนธรรมด้วย จริงอยู่ที่ว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แต่มุมมองต่อช่วงชีวิตของเราเกิดมาจากไหน หากไม่ใช่วิธีการที่สังคมและวัฒนธรรมหล่อหลอมตัวตนเราขึ้นมา
อย่างนั้นคำถามถัดมาคือ แล้วสังคมมองความแก่และบั้นปลายชีวิตยังไง?
เมื่อแก่ เรามักถูกโลกลืม
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘แก่’ สิ่งที่เรามักนึกถึงตามมาคือ การเป็นภาระให้คนในบ้านและสังคม ไม่ทันโลก ไม่สวยหล่อ ฯลฯ วัฒนธรรมโลกปัจจุบันของเราไม่ได้ใจดีกับคนแก่มากเท่าที่ควร ความแก่มาพร้อมกับความหมายแฝงในแง่ลบอยู่เสมอ มุมมองเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากสังคมทุนนิยมที่วัดค่าผู้คนจากความสามารถในการเป็นแรงงานเป็นหลัก โลกไม่ได้มองคนแก่เป็นแบบนั้นเสมอมา ในอดีตทั้งในวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก มีมุมมองว่าอายุนำมาซึ่งปัญญา อันเป็นส่วนผสมระหว่างความรู้และประสบการณ์ และประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้จากอากาศ
แต่หากจะมองในแง่มุมของวัฒนธรรม ไม่ต้องมองไปไหนไกล หากเราเห็นวิธีการที่อุตสาหกรรมความงามใช้คำต่างๆ ขายสินค้า คำเหล่านั้นสะท้อนมุมมองของสังคมหมู่มากต่อความแก่แล้วอย่างชัดเจน ‘ชะลอวัย (Anti-Aging)’ ‘ลดริ้วรอย’ ฯลฯ เห็นได้ชัดว่าความเยาว์วัยถูกเชื่อมโยงกับความงาม และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความชราจะถูกมองเป็นฝั่งตรงข้าม ทั้งที่เราต่างรู้ดีว่าลักษณะเหล่านั้นของร่างกายเป็นสิ่งปกติธรรมดาที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน
แน่นอน เราไม่จำเป็นต้องมองความแก่เป็นเรื่องบวกในทุกบริบท แน่นอนว่าบางทีเราไม่ต้องการเดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้ว 2 ตัวเลือกที่มี มีเพียงคนอายุ 78 หรือ 81 ปี แต่บางครั้งการมองความแก่ในแง่ลบตลอดเวลานำไปสู่การปลูกความกลัวความแก่ให้กับทุกๆ คนในสังคมได้ ความกลัวนั้นเองนำไปสู่ผลกระทบแง่ลบที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน ไม่ใช่เพียงคนที่กำลังเดินเข้าสู่วัยชรา
@@@@@@@
ความกลัวที่กระทบทุกคน
กลัวความแก่ไม่ใช่เรื่องที่กระทบแค่ ‘คนกำลังจะแก่’ หรือ ‘คนแก่’ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทั้งสังคม ลองนึกภาพว่าเราแต่ละคนในแต่ละช่วงวัยได้รับผลกระทบยังไงจากมุมมองแง่ลบต่อความแก่
เราที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่นอาจไม่ได้อยู่ร่วมกันในสังคมกับคนแก่กว่ามากมายนัก โดยมากเราอาศัยอยู่กับกลุ่มเพื่อนฝูงวัยเดียวกัน และแต่ละครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรุ่น มันอาจจบลงที่คนแก่ไม่เข้าใจวิธีการสื่อสารของวัยรุ่นอย่างแท้จริง เนื่องด้วยการสื่อสารที่ไวขึ้น ศัพท์ที่ใหม่ขึ้น และวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วเกินจะสนให้ใครรู้และเข้าใจหากไม่ใช่ Digital native การตัดขาดระหว่างช่วงวัยนำไปสู่ความกลัวได้ เราจะรู้ได้ยังไงว่าการแก่ตัวไม่น่ากลัวหากไม่มีตัวอย่างให้เห็นต่อหน้า เห็นก็แต่ภาพจำที่สังคมบอก หรือจากความไม่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกัน และหากเราไม่เคยสื่อสารกับคนแก่อย่างเข้าใจ ความคิดที่ฝังเข้ามาในตัวเราคือ เมื่อเราแก่ตัวไปเราก็จะสื่อสารไม่เข้าใจแบบนั้นได้เหมือนกัน
หรือเราในวัยผู้ใหญ่ที่อาจจะเพิ่งอายุ 30 ปี แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตช้าเกินไป ตลอดชีวิตการทำงานเรารีบเร่งที่จะไขว่คว้าทุกอย่าง ผลักดันจนดันไม่ได้ แต่หมดไฟในที่สุดเพราะในเวลาตรงนั้นไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากพอ มากไปกว่านั้นสำหรับเราบางคนก็อาจทุ่มเทไปมากมายแต่ยังไม่ได้เดินไปไหนไกลเราก็มองตัวเองว่าล้มเหลว นอกจากจะเหนื่อยเจียนตาย ยังรู้สึกว่าสายเกินไปแล้วหากจะติดตามสิ่งที่ฝันเอาไว้ เพียงเพราะเราเชื่อว่าข้างหน้าในความ ‘แก่’ เราจะไม่อาจทำอะไรได้
ทางแก้ความกลัวนี้ของเราอาจคือการหาทางเชื่อมต่อคนแต่ละวัยเข้าหากันมากขึ้นในหลายๆ ส่วน ทั้งการอยู่อาศัยร่วมกันและสื่อสารกัน หรือการมีพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมที่คนหลากหลายช่วงวัยทำร่วมกันได้ การได้สัมผัสผู้คนต่างวัยกันในแตกต่างบริบท เป็นส่วนสำคัญในการทำให้เราสามารถเข้าใจพวกเขาได้ มากกว่าการมองผ่านการมองรวมๆ ผ่านการทึกทักไปเองของเรา
อ้างอิง : ncbi.nlm.nih.gov
Thank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/104602Thairath Plus › Everyday Life | Live & Learn › Lifestyle
16 ก.ค. 67 | creator : ทัศนา พุทธประสาท