คุณธรรม ๓ ประการ ของ “สัตบุรุษ” คนดีหรือบุคคลที่กล่าวได้ว่าเป็น “สัตบุรุษ” นั้น หมายถึง บุคคลที่มีความปกติ สงบใน กาย วาจา ใจ สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม เป็นสัมมาทิฏฐิ สามารถดำเนินชีวิตด้วยธรรม มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่สะอาดหมดจด เพราะสัตบุรุษมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งมีค่าใดๆ ในโลกนี้มารวมกองกัน ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกคุณค่าของสัตบุรุษว่า เป็นสิ่งประเสริฐอย่างยิ่ง
สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่ากล่าวไว้ดังนี้ว่า
“โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร กลฺยาณมิตฺโต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ
ทุกฺขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺตีติ”
ผู้มีปรีชาใด เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นกัลยาณมิตรสนิทสนมกัน
และ ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยาก ด้วยความเต็มใจ
บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลผู้เช่นนั้นว่า “สัตบุรุษ” ดังนี้
จากพระพุทธพจน์ดังกล่าว ได้จำแนกให้เห็นความเป็นสัตบุรุษว่า เป็นคนดีอย่างไร ด้วยคุณธรรม ๓ ประการ คือ
- เป็นบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวที
- เป็นบุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตร มีความจริงใจ ด้วยน้ำใสใจจริง ที่ตั้งอยู่ในเมตตากรุณา
- เป็นบุคคลผู้ช่วยเหลือเกื้อกูล ด้วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยความเต็มใจ
@@@@@@@
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ความกตัญญูกตเวที ความจงรักภักดีเป็นสิ่งที่คนดี หรือสัตบุรุษทั้งหลายต้องมีไว้ติดตัว ประดับอยู่ในหัวใจ ไม่มีคุณงามความดีใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าความกตัญญูกตเวที ดังที่บรรพชนคนจีนได้สั่งสอนบุตรหลานเอาไว้ว่า
“ร้อยล้านคุณงามความดี ความกตัญญูนี้แหละ มาเป็นที่ ๑.”
อาภรณ์ของเสื้อผ้า คือ อัญมณี
อาภรณ์ของคุณงามความดี คือ ความกตัญญู
สิ่งที่ต้องทำ คือ ความดี สิ่งที่ต้องมี คือ ความกตัญญูรู้คุณคน
ดังนั้น ท่านทั้งหลายจึงต้องมีความกตัญญูอยู่ในหัวใจ เพราะความกตัญญูกตเวที คือ คุณสมบัติของความเป็นสัตบุรุษ เป็นคุณสมบัติของกุลสตรี ต่อให้มีร้อยล้านคุณงามความดี แต่หากขาดความกตัญญูกตเวทีก็ถือว่ายังไม่ใช่คนดีที่แท้จริง
เมื่อมีโอกาสตอบแทนพระคุณควรให้ท่าน ทำอย่ารอให้สายเกินไป โดยเฉพาะบิดามารดาของเรา ที่สำคัญเราควรมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการของประชาชาติไทยให้เรามีที่อยู่อาศัย มีหลักธรรมให้ยึดมั่น มีพระบารมีปกเกล้าคุ้มกันชาวไทยให้ร่มเย็นและเป็นสุข ด้วยประพฤติดี ตอบแทนคุณงามดีสู่แคว้นแดนดินที่เราได้อยู่อาศัย
ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
บทความ : “ความกตัญญู-กตเวที ความจงรักภักดี และหน้าที่ของเราต่อบุพการี จะผดุงสังคมไว้ได้อย่างไร”
โดย นายศุปริณ มานะเมธาวี ,หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ,คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่มา : วารสารพุทธจักร ปีที่ ๗๖ ฉบับที่ ๖ : พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๖๕, หน้าที่ ๒๖-๒๗