.
ฟังสวดอภิธรรม ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมาย ฟังเอาสมาธิได้คำแนะนำเรื่องการฟังสวด โดยนาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
มีคนเป็นจำนวนมากที่ไปร่วมงานศพ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสวดพระอภิธรรม ไม่ได้ตั้งใจฟังพระสวด แต่ใช้เวลานั้นนั่งคุยแข่งกับพระสวด เหตุผลหนึ่งที่ยกขึ้นมาอ้างในการที่ไม่ตั้งใจฟังพระสวดก็คือ พระสวดภาษาบาลีฟังไม่รู้เรื่อง พร้อมกันนั้นก็ยื่นข้อเสนอหรือข้อเรียกร้อง ให้พระสวดคำแปลด้วย
บางวัดจึงสนองข้อเรียกร้องด้วยการเอาข้อความอื่น ที่ไม่ใช่พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์มาสวด แล้วก็แปลเป็นภาษาไทย เรื่องนี้ ผมมีข้อคิดเห็นที่ใคร่จะแสดงสู่กันฟังดังนี้
@@@@@@@
ข้อ ๑. ธรรมเนียมสวดศพ เราใช้บทพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์มาสวด ผมเห็นว่าการเอาบทอื่นมาสวดเป็นการผิดธรรมเนียม พูดเป็นคำหนักก็คือเป็นการทำลายแบบแผนแห่งการสวดศพ โดยไม่มีเหตุอันควร
ข้อ ๒. เหตุผลที่เอาบทอื่นมาสวดมีข้อเดียว คือ ถูกเรียกร้องให้สวดแล้วฟังรู้เรื่อง เมื่อคนฟังเป็นคนไทย สวดให้ฟังรู้เรื่องก็ต้องสวดเป็นภาษาไทย เลยกลายเป็นสร้างธรรมเนียมใหม่ คือ สวดมนต์เป็นภาษาไทย
“สวดมนต์” ก็คือ เอาบทพระธรรมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้ามาสาธยาย พระธรรมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้นฉบับเป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ท่านเล็งเห็นแล้วว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะรักษาบทธรรมคำสอนไว้ได้ไม่ให้เบี่ยงเบนผันแปรไปเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นท่านจึงวางหลักให้สวดสาธยายเป็นภาษาบาลีอันเป็นภาษาต้นฉบับเพื่อรักษาต้นฉบับไว้ให้แม่นยำ
ต่อจากนั้น ใครอยากจะรู้เข้าใจความหมายในบทมนต์นั้นๆ ก็ให้ศึกษาภาษาบาลี การเรียนบาลีในสังคมสงฆ์ก็เกิดมีขึ้นด้วยเหตุนี้ คือ เรียนเพื่อรู้เข้าใจพระธรรมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า แหล่งใหญ่ที่เก็บพระธรรมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ก็คือพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น ปลายทางของการเรียนบาลีจึงมุ่งไปที่พระไตรปิฎก
เมื่อเรียนบาลี รู้ความหมายของพระธรรมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เอาพระธรรมมาบอกมาแสดงมาชี้แจงให้คนทั้งหลายได้รับรู้ด้วย ที่เรารู้จักกันในรูปแบบที่เรียกการเทศน์ หรือเรียกเป็นคำศัพท์ว่า “พระธรรมเทศนา”
ผู้รู้ท่านจึงพูดเป็นสูตรสำเร็จว่า ฟังสวดเอาสมาธิ ฟังเทศน์เอาปัญญา เวลาฟังสวด ไม่ว่าจะเป็นสวดพระอภิธรรมงานศพหรือสวดมนต์ในงานบุญทั่วไป เราจึงฟังเพื่อเอาสมาธิ
หลักก็คือ ตั้งจิตกำหนดตามเสียงที่ได้ยิน โดยไม่ต้องหมายใจใคร่รู้ว่าถ้อยคำที่มากระทบโสตประสาทนั้น มีความหมายว่าอย่างไร เอาสติกำหนดตามเสียงไปเป็นสำคัญ ให้จิตดิ่งนิ่งแน่วแน่อยู่กับเสียงที่พระสวด แต่ละบท แต่ละตอน ตั้งแต่ต้นจนจบ หน้าที่ของการฟังสวดมีแค่นั้น-คือ แค่กำหนดตามเสียงเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่จะมาเอาเป็นเอาตายกับการรู้เรื่องที่สวด
@@@@@@@
เวลาที่ใช้ไปกับการฟังสวดก็เพียงครึ่งชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุดก็ไม่เกินชั่วโมง จะเอาเป็นเอาตายเอารู้บรรลุธรรมกันเดี๋ยวนั้นเชียวหรือ เวลาอีก ๒๓ ชั่วโมง ไม่มีเลยหรือที่จะจัดสรรเพื่อการศึกษาบทธรรมที่พระท่านเอามาสวด จะต้องเอารู้กันให้ได้เฉพาะในเวลาที่ฟังสวดเท่านั้นหรือ
ผมจึงขอยืนยันว่า "สวดมนต์" ไม่ว่าจะเป็นสวดพระอภิธรรมงานศพหรือสวดในโอกาสอื่นใด ต้องสวดเป็นภาษาบาลี เหตุผล คือ เพื่อรักษาต้นฉบับพระธรรมคำตรัสสอนไว้
ถ้าอยากรู้เรื่อง ขอแนะนำให้ทำตามคำคนเก่า คือ “ฟังสวดเอาสมาธิ ฟังเทศน์เอาปัญญา” หาโอกาสฟังเทศน์ ก็จะรู้เรื่องในบทสวด-อย่างที่กระหายใคร่รู้จนถึงกับเรียกร้องให้พระสวดให้รู้เรื่อง ก็จะได้ปัญญา
คำว่า “ฟังเทศน์” เป็นสำนวนภาษา เหมือนคำว่า “กินข้าวกินปลา” ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึง "กินอาหาร" ไม่ใช่มุ่งไปที่จะต้องกิน “ข้าว” (rice) กับกินปลา (fish) ตามตัวหนังสือเท่านั้น
“ฟังเทศน์” หมายถึง การศึกษาพระธรรม จะโดยการฟังพระเทศน์ตามคำว่า “ฟังเทศน์” ตรงตัวก็ได้ ฟังคำบรรยายจากท่านผู้รู้อื่นๆ ก็ได้ อ่านหนังสือเอาเองก็ได้ ทำได้สารพัดวิธี ยิ่งเวลานี้ไฮเทคก้าวหน้า อยากรู้ธรรมะข้อไหน คลิกเดียวเท่านั้น จึงไม่ต้องไปคาดคั้น จะเอารู้เรื่องกัน เฉพาะในเวลาฟังพระสวดนั่นเลย
@@@@@@@
ข้อ ๓. เฉพาะกรณีฟังสวดพระอภิธรรม ผมมีคำแนะนำที่ผมปฏิบัติเองมาตลอด นั่นก็คือ พระอภิธรรมบทสุดท้ายในชุดพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ คือ บทปัฏฐาน ที่พระท่านจะขึ้นต้นบทสวดว่า “เห-ตุปัจจะโย”
คำแนะนำของผม ก็คือ เมื่อพระท่านสวดคำว่า “-ปัจจะโย” ครั้งหนึ่ง ก็ให้ท่านกำหนดนับว่า “หนึ่ง” อีกครั้งหนึ่งก็กำหนดว่า “สอง” กำหนดนับตามไปทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “-ปัจจะโย” เมื่อจบ “-ปัจจะโย” สุดท้าย ตอบได้ไหมว่า นับได้กี่-ปัจจะโย
บทอื่นๆ กำหนดจิตตามเสียงสวดเพื่อให้เกิดสมาธิ แต่เฉพาะบทสุดท้ายนี้ กำหนดจิตด้วย กำหนดนับ “-ปัจจะโย” ด้วย เป็นการปฏิบัติธรรมโดยวิธีพิเศษ เอาแค่นับ “-ปัจจะโย” ให้ได้ครบเท่านี้ ก็ได้ประโยชน์เหลือหลายแล้ว ไปฟังสวดเมื่อไร ก็กำหนดแบบนี้ทุกครั้งไป เมื่อทำจนคุ้น จะพบว่าจิตดิ่งนิ่งเป็นสมาธิได้เร็วขึ้น แน่วแน่ขึ้น
ถึงขั้นนั้นก็พัฒนาต่อไปอีกระดับหนึ่ง นั่นคือ กำหนดให้ละเอียดเข้าไปอีกว่า “-โย” ที่เท่าไร เป็นอะไร-โย เช่น
“-โย” ที่หนึ่ง เป็นคำว่า “เห-ตุปัจจะโย”
“-โย” ที่สอง เป็นคำว่า “อารัมมะณะปัจจะโย” (ฟังชัดหรือไม่ชัดไม่ต้องกังวล เอาแค่จับเสียงได้คร่าวๆ ก็พอ)
“-โย” ที่ห้า เป็นคำว่า อะไร-โย
“-โย” ที่สิบ เป็นคำว่า อะไร-โย
“-โย” ที่ยี่สิบ เป็นคำว่า อะไร-โย
ไปจนถึง “-โย” สุดท้าย เป็นคำว่า อะไร-โย รับรองว่า ท่านจะรู้สึกสนุกกับเกมนี้ เป็นการฝึกจิต ฝึกสติ ฝึกความรู้สึกตัว พร้อมไปหมดในตัวเอง ลืมเรื่องจะเอาเป็นเอาตายกับการฟังให้รู้เรื่องไปได้เลย
@@@@@@@
แล้วต่อจากนั้น ท่านจะมีฉันทะ มีอุตสาหะในการที่จะอ่านจะสืบค้นหาความหมาย และหาความรู้ในบทสวดนั้นๆ ก้าวหน้าต่อไปอีก โดยไม่ต้องไปบังคับกะเกณฑ์ให้พระท่านสวดเป็นภาษาไทยเพื่อให้ฟังรู้เรื่องเอาเฉพาะหน้าอีกต่อไป
ข้อสำคัญ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามนี้ ความคิดที่อยากจะคุยแข่งพระก็จะหายไป
ท่านจะรู้สึกสุขสงบ จิตใจผ่องแผ้ว รับสัมผัสประโยชน์จากการไปฟังสวดได้เต็มๆ
งานศพ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสวดพระอภิธรรม ก็จะเป็นพิธีที่มีสาระอย่างแท้จริง
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันไป อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ขอขอบคุณ :-
บทความ : "คำแนะนำเรื่องการฟังสวด"
ผู้เขียน : นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๖ กันยายน ๒๕๖๒ | ๑๑ : ๕๕ น.
admin :
tppattaya2343@gmail.comwebsite :
https://dhamtara.com/?p=17803
ทำไมไม่สวดเป็นภาษาไทยในบรรดาข้อเรียกร้องของคนไทยเกี่ยวกับศาสนพิธี มีข้อหนึ่งที่เรียกร้องกันมาก นั่นคือ พระสวดเป็นภาษาบาลี ฟังไม่รู้เรื่อง ทำไมไม่สวดเป็นภาษาไทย จะได้ฟังรู้เรื่อง การที่บางวัด-เช่นวัดชลประทานฯ เป็นต้น ให้มีการแสดงธรรมแนบไปกับการสวดพระอภิธรรม ก็มีสาเหตุมาจากคำเรียกร้องนี้ คือเพื่อจะให้ผู้มาฟังสวดได้ฟังธรรมะไปด้วย-เพราะฟังสวดไม่รู้เรื่อง
ในอนาคต ไม่แน่ อาจจะมีวัดหรือสำนักที่นิยมไหลตามกระแสผลิตบทสวดเป็นภาษาไทยแล้วก็สวดเป็นภาษาไทยให้ญาติโยมได้ฟังรู้เรื่องกันบ้างก็ได้
เฉพาะงานสวดศพ ที่มีทำกันอยู่แล้วก็คือ สวดแปล แต่ไม่ได้แปลพระอภิธรรมเอามาสวด หากแต่คัดเลือกภาษิตที่ปรารภพระไตรลักษณ์เอามาสวดคำบาลีแล้วก็แปลเป็นไทย
การกระทำเช่นนี้มีผลที่เกิดขึ้น-ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครสังเกต-ก็คือ การสวดพระอภิธรรมเริ่มเบี่ยงเบนไป แทนที่จะสวดพระอภิธรรม กลายเป็นสวดบทอื่น ที่เบี่ยงเบนไปแล้วก็คือ จากเดิมสวด ๔ จบ เวลานี้ลดลงเหลือ ๒ จบ อ้างความจำเป็นต่างๆ เช่นมีงานอื่นที่จะต้องรีบไปทำ วัดที่ยังคงสวด ๔ จบก็พอมี แต่น้อยลงแล้ว
ที่มาแปลกกว่านั้นก็มี คือนิมนต์พระ ๘ รูปขึ้นสวดพร้อมกัน สวด ๒ จบ แล้วอ้างว่าเท่ากับสวด ๔ จบ เพราะพระ ๔ รูปเท่ากับ ๒ จบ พระ ๘ รูปก็เท่ากับ ๔ จบ ต่อไปอาจมีลัทธินิมนต์พระ ๑๖ รูปสวดพร้อมกันจบเดียว แล้วอธิบายว่าเท่ากับสวด ๔ จบ
ทั้งหมดนี้มีเหตุผลสำคัญคือจะรีบเสร็จ จะรีบไปทำธุระอื่น ผมคิดเล่นๆ ว่า ถ้าผู้ตายรู้เหตุผลว่าเป็นอย่างนี้ (จะรีบไปทำธุระอื่น) คงจะรันทดใจพอสมควร
@@@@@@@
ย้อนกลับมาถึงเรื่อง-ทำไมไม่สวดเป็นภาษาไทยจะได้ฟังรู้เรื่อง ผมมีข้อคิดที่เป็นคติของคนเก่า คำคนเก่าท่านพูดกันว่า “ฟังสวดเอาสมาธิ ฟังเทศน์เอาปัญญา” หมายความว่า เวลาฟังพระสวด ไม่ว่าจะงานศพหรืองานบุญอะไรก็ตาม ท่านให้ฟังเอาสมาธิ คือตั้งสติกำหนดตามเสียงที่พระสวดซึ่งเป็นคำบาลีนั้นให้ทันทุกคำ
พระท่านสวดคำว่า “นะ” เราก็กำหนดรู้ทันว่าได้ยินเสียง “นะ”
พระท่านสวดคำว่า “โม” เราก็กำหนดรู้ทันว่าได้ยินเสียง “โม”
ยังไม่ต้องไปใส่ใจใคร่รู้ว่า “นะโม” แปลว่าอะไร “นะโม” จะแปลเป็นไทยว่าอะไรก็ช่าง ปล่อยผ่านไปก่อน เวลานี้ทำหน้าที่เพียงกำหนดรู้ทันว่าพระสวดคำว่า “นะโม”
ต่อไป พระท่านสวดคำว่า ตัส-สะ-ภะ-คะ-วะ-โต-อะ-ระ-หะ-โต …..ก็กำหนดตามไปให้ทันทุกคำ ไม่รู้ความหมาย ไม่รู้คำแปล ก็ปล่อยผ่านไป เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาเป็นเอาตายกับคำแปล หรือจะต้องรู้เรื่องให้ได้ แต่เป็นเวลาที่จะต้องตั้งสติกำหนดตามเสียงที่พระสวดให้รู้ทัน ฟังทันได้หมดทุกคำ ให้จิตเกาะติดไปกับคำพระสวดตั้งแต่ต้นจนจบ จะหลุดไปบ้างก็ไม่เป็นไร ดึงจิตกลับมา ให้อยู่กับคำสวดของพระให้ได้มากที่สุด
กระบวนการดังกล่าวมานี้ คือ “ฟังสวดเอาสมาธิ” ถ้าทำตามนี้ พระท่านจะสวดคำบาลีฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย เพราะ ณ ขณะนั้นเราไม่ได้ฟังเพื่อจะให้รู้เรื่อง แต่เราฟังเพื่ออาศัยเสียงของพระเป็นอุปกรณ์ฝึกจิตให้เกิดสมาธิ
พระท่านสวดคำบาลี มีความหมายในทางที่ดี ข้อนี้เป็นอันว่าเราปลอดภัย คือ พระท่านไม่ได้เอาคำหยาบคายต่ำช้ามาสวดให้เราฟัง หน้าที่ของเรา ณ ขณะนั้นก็คือส่งกระแสจิตติดตามคำที่พระท่านสวด แบบสะกดรอยตามไปให้ทันทุกคำ หรือให้ทันได้มากที่สุด บุญของเราอยู่ตรงนั้น
@@@@@@@
ส่วนกุศลที่จะเกิดจากการรู้ความหมายของคำสวดเอาไปว่ากันอีกทีหนึ่ง-เมื่อมีโอกาส ดังที่คำคนเก่าว่า “ฟังเทศน์เอาปัญญา” คือถ้าอยากรู้ความหมายของคำที่พระสวด เราก็ไปฟังเทศน์ เพราะเทศน์หรือการแสดงธรรมเป็นการอธิบายให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ ตอนนี้แหละซัดกันให้เต็มที่
ตอนฟังสวดอยากรู้อยากเข้าใจความหมายของคำที่สวด อยากมาก จนถึงกับเรียกร้องให้สวดเป็นภาษาไทย ตอนฟังเทศน์นี่แหละเป็นทีของเราแล้ว อยากรู้อะไร ซัดเข้าไปเลย
พระท่านไม่ได้เทศน์เรื่องที่เราอยากรู้นี่ อ๋อ จะไปยากอะไร หนังสือเทศน์ หนังสือธรรม ช่องทางที่หามาอ่านมาศึกษามีอยู่ให้ครืดไปหมด นั่งกระดิกขาอยู่ที่ไหนก็อ่านได้ เลือกเอาสิ ทำไมจะต้องตั้งเงื่อนไข-ต้องรู้ให้ได้ขณะที่กำลังฟังสวดนั่นแหละ เวลาอื่นก็ไม่เอา จะเอาเวลานั้นเท่านั้น
แล้วก็-เคยได้ยินคำบ่นไหม พระไตรปิฎกแปลก็อ่านไม่รู้เรื่อง แปลคำบาลีก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ตรงกับความหมาย มันน่าจะแปลให้คนฟังเขาเข้าใจได้ง่ายๆ เชื่อเถอะ สมมุติว่าพระท่านตามใจโยม สวดเป็นภาษาไทย ก็จะต้องมีเสียงโอดครวญอีกว่า แปลแบบนี้ฟังยาก ทำไมไม่แปลให้ฟังง่ายๆ เป็นเรื่องอีก
@@@@@@@
แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น วัดนี้แปลอย่างนี้ วัดโน้นแปลอย่างโน้น ใครชอบคำแปลของใครก็ลอกเอาไปสวดกันไป คำบาลีคำเดียวกัน ธรรมะข้อเดียวกัน แต่คำแปลมีร้อยอย่างพันอย่าง สนุกเขาละ อาจจะมีคนลุกขึ้นมาเสนอว่า-ก็ให้คณะสงฆ์จัดการแปลให้เป็นฉบับเดียวกัน สวดให้เหมือนกันทั่วทุกวัดสิ จะไปยากอะไร ยากหรือไม่ยาก น้ำท่วมหลังเป็ดโน่น คณะสงฆ์ท่านจะทำหรือเปล่า ถ้าตามใจโยมแบบนั้น ต่อไปพระไทยก็สวดมนต์เป็นภาษาไทยกันหมดทั้งประเทศ
แล้วภาษาไทยนั้นพอล่วงกาลผ่านเวลาไปสักพักหนึ่ง ก็จะเริ่มมีปัญหา คนสมัยโน้นฟังภาษาไทยของคนสมัยนี้ไม่รู้เรื่อง คำไทยคำเดียวกัน พอต่างสมัยกันหน่อยเดียว เข้าใจไปคนละเรื่อง ทีนี้ก็อาจจะ-ครึ่งศตวรรษ คือ ๕๐ ปีที เปลี่ยนคำสวดภาษาไทยกันที สนุกไปอีกแบบ และที่แน่ๆ ภาษาบาลี-ภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ ก็จะถูกเก็บเข้ากรุ ลั่นกุญแจสิบชั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนต้องรู้กันอีกแล้ว
พอถึงตอนนั้น ใครไปเจอคำบาลีว่า “นะโม” อาจจะมีคนแปลว่า “นมโต” แล้วก็มีคนเชื่อว่าเป็นคำแปลที่ถูกต้อง พอจะหาเหตุผลเจอไหมครับว่า-ทำไมพระจึงไม่สวดเป็นภาษาไทย
ขอขอบคุณ :-
บทความ : ทำไมไม่สวดเป็นภาษาไทย โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔ | ๑๑ : ๑๒ น.
29 พฤษภาคม 2021 | Admin ชมรมธรรมธารา
URL :
https://dhamtara.com/?p=15524