ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ที่มา : นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ  (อ่าน 8767 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



นะโม ตัสสะ (บาลีวันละคำ 4,096)

นะโม ตัสสะ ไม่ใช่ นะโมตัสสะ ต่างกันตรงไหน.? เป็นคำบาลี 2 คำ คือ “นะโม” คำหนึ่ง “ตัสสะ” คำหนึ่ง

@@@@@@@

(๑) “นะโม”

เขียนแบบบาลีเป็น “นโม” อ่านว่า นะ-โม รูปคำเดิมเป็น “นม” (นะ-มะ) รากศัพท์มาจาก นมฺ (ธาตุ = นอบน้อม) + อ (อะ) ปัจจัย : นมฺ + อ = นม แปลว่า การนอบไหว้, ความนอบน้อม, ความเคารพ (homage, veneration)

หลักความรู้ทางไวยากรณ์ :-

คำว่า “นโม” ในทางไวยากรณ์จัดว่าเป็นคำพิเศษ ตำราบางเล่ม (เช่น อภิธานปฺปทีปิกาฏีกา คาถาที่ 426 หน้า 298) บอกว่า เป็น อะ-การันต์ คือรูปคำเดิมเป็น “นม” (นะ-มะ) แจกด้วยวิภัตตินาม เปลี่ยนรูปเป็น “นโม” แต่ก็เป็น โอ-การันต์ด้วย คือรูปคำเดิมเป็น “นโม” อยู่แล้ว จะแจกด้วยวิภัตติหรือไม่แจกก็เป็น “นโม” อยู่นั่นเอง

รูปคำ “นโม” ปกติแปลกันว่า “อันว่าความนอบน้อม” แปลอย่างนี้บ่งว่า “นโม” เป็นปุงลิงค์ แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกพจน์

แต่ในที่บางแห่ง (เช่น คัมภีร์มโนรถปูรณี [อรรถกถาอังคุตรนิกาย] ภาค 2 หน้า 158) มีคำว่า “นโม กเรยฺย” แปลว่า “พึงทำซึ่งความนอบน้อม” กรณีเช่นนี้“นโม” ใช้เป็นทุติยาวิภัตติ

ที่ว่ามานี้เป็นหลักไวยากรณ์ ผู้ไม่มีพื้นมาก่อนฟังไว้พอเป็นแนว

“นโม” เขียนแบบคำอ่านเป็น “นะโม”

@@@@@@@

(๒) “ตัสสะ”

เขียนแบบบาลีเป็น “ตสฺส” อ่านว่า ตัด-สะ รูปศัพท์เดิมเป็น “ต” (ตะ) เป็นศัพท์จำพวก “สัพพนาม”  “สัพพนาม” (สรรพนาม) ในบาลีมี 2 ประเภท คือ

(1) “ปุริสสัพพนาม” (ปุริสสรรพนาม) คือ คำแทนชื่อ มี 3 บุรุษ คือ

     1. ปฐมบุรุษ หมายถึงผู้ที่เราพูดถึง เช่น เขา มัน (he, she, they; it) บาลีใช้ศัพท์ว่า “ต” (ตะ) นิยมเรียก “ต-ศัพท์”
     2. มัธยมบุรุษ หมายถึงผู้ที่เราพูดด้วย เช่น แก เจ้า มึง (you) บาลีใช้ศัพท์ว่า “ตุมฺห” (ตุม-หะ) นิยมเรียก “ตุมฺห-ศัพท์”
     3. อุตตมบุรุษ หรือ อุดมบุรุษ หมายถึงเราซึ่งเป็นผู้พูด เช่น ฉัน ข้า กู (I, we) บาลีใช้ศัพท์ว่า “อมฺห” (อำ-หะ) นิยมเรียก “อมฺห-ศัพท์”

(2) “วิเสสนสัพพนาม” (วิเสสนสรรพนาม) คือ คำคุณศัพท์ทำหน้าที่ขยายคำนาม ในบาลีมีหลายคำ เช่น ย (ใด) อญฺญ (อื่น) ปร (อื่น) กตร (คนไหน, สิ่งไหน)

     ในที่นี้ “ต” เป็น “วิเสสนสัพพนาม” แปลว่า “นั้น” นิยมใช้ใน 2 ฐานะ คือ
     ๑. ใช้หมายถึง บุคคลสัตว์สิ่งของที่พูดถึงมาแล้ว และต้องการกล่าวถึงอีก หรือต้องการย้ำว่า หมายถึง ผู้นั้นตัวนั้นสิ่งนั้นแน่นอน ก็ใช้ ต-ศัพท์แทน
     ๒. เป็นคำที่คู่กับ “ย” (ยะ) แปลว่า “ใด” นิยมเรียกคู่กันว่า “ยะ–ตะ” มีสูตรที่นักเรียนบาลีต้องจำได้ คือ “มีใด ต้องมีนั้น” คือ ถ้าความท่อนแรกมี “ย” ความท่อนหลังต้องมี “ต” เรียกกันว่า “รับยะ รับตะ”

ในบทนะโมนี้ ต-ศัพท์ใช้ในฐานะตามข้อ ๑. คือ กล่าวย้ำว่า มุ่งถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นอย่างแน่นอน


@@@@@@@

ในที่นี้คำว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า” คำบาลีว่า “ภควโต” (ภะคะวะโต) แจกด้วยวิภัตตินามที่สี่ (จตุตถีวิภัตติ) “ต-ศัพท์” ทำหน้าที่ขยาย “ภควโต” จึงเปลี่ยนรูปเป็น “ตสฺส” ตามกฎที่ว่า คำขยาย (วิเสสนะ) ต้องประกอบลิงค์ วจนะ วิภัตติ ตามคำที่ตนขยาย





อภิปรายขยายความ :-

“นะโม ตัสสะ” เป็นบทนมัสการพระพุทธเจ้า เรียกรู้กันทั่วไปว่า “บทนะโม” ข้อความเต็มๆ เป็นดังนี้

เขียนแบบบาลี : นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
เขียนแบบคำอ่าน : นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

แปลโดยพยัญชนะ :-
นโม = อันว่าความนอบน้อม
(อตฺถุ = จงมี)
ภควโต = แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
อรหโต = ผู้เป็นพระอรหันต์ (ผู้ไกลจากกิเลส)
สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ตสฺส = พระองค์นั้น

แปลโดยโดยอรรถ :-
ขอนอบน้อม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

@@@@@@

ที่ยกคำว่า “นะโม ตัสสะ” มาเขียนเป็นบาลีวันละคำ ก็เนื่องจากได้เห็นในที่หลายแห่งเขียนคำนี้ติดกันเป็น “นะโมตัสสะ”

ขอได้โปรดทราบทั่วกันว่า “นะโมตัสสะ” เขียนติดกันแบบนี้เป็นการเขียนที่ผิด เพราะ “นะโม” เป็นคำหนึ่ง “ตัสสะ” เป็นอีกคำหนึ่ง เป็นคำบาลี 2 คำ และคำบาลีนั้นเขียนแยกกันเป็นคำๆ แบบเดียวกับภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น คำขึ้นต้นบทนะโม จึงต้องเขียนแยกกันเป็น “นะโม ตัสสะ” ไม่ใช่ติดกันเป็น “นะโมตัสสะ”

“นะโม ตัสสะ” ถูก ✔
“นะโมตัสสะ” ผิด ✘

ผู้ที่เผยแพร่คำนี้ตามเว็บไซต์ต่างๆ ถ้าจะกรุณาลบคำที่ผิดออกไป และเอาคำที่ถูกต้องมาขึ้นไว้แทน นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบแล้ว ยังเป็นการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคม นับเป็นมหากุศลอันควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่ง

ดูก่อนภราดา.! : เขียนผิดก็ไม่ตกนรกนะจ๊ะคนสวย : แต่ไม่ตกนรกด้วย เขียนถูกด้วย ดีกว่า






ขอขอบคุณ :-
บทความ : บาลีวันละคำ (4,096) โดยครูทองย้อย | 30-8-66
27 มิถุนายน 2024 | suriyan bunthae
URL : https://dhamtara.com/?p=28243
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่มา : นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2024, 07:11:19 am »
0
.



ความหมายและที่มาของบทสวด นมัสการพระพุทธเจ้า บทนะโม ตัสสะฯ

เคยสังเกตไหมว่า เวลาสวดมนต์บทอะไรก็ตาม มักจะมีการสวดขึ้นต้นว่า นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 รอบ แล้วบทสวดนี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร
 
@@@@@@@

บทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
"ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น"

อะระหะโต
"ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส"

สัมมาสัมพุทธัสสะ
"ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"

(3 รอบ)



ภาพ : Shutter Stock


ความเป็นมาและความสำคัญ ของบทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า

ในการสวดมนต์บทนมัสการพระพุทธเจ้า หรือบท​นะโมตัสสะ มักจะถูกยกขึ้นเป็นปฐมพจน์ของการสวดมนต์ เรียกว่า เป็นคำแรกที่เราจะกล่าวถึงพระพุทธเจ้าก่อนคำใด ๆ โดยมีการอ้างถึงหลากหลายที่มา ดังนี้

@@@@@@@

ที่มาแรก : ในหนังสือฎีกานะโม

อ้างว่า เทพเจ้า ๕ องค์ คือ สาตาคิรียักษ์ อสุรินทร์ราหู ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ท้าวสักกะ ท้าวมหาพรหม เป็นผู้กล่าว นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นครั้งแรกในพระพุทธศาสนา  โดย

    - สาตาคิรียักษ์ เป็นผู้กล่าวคำว่า นะโม
    - อสุรินทร์ราหู เป็นผู้กล่าวคำว่า ตัสส
    - ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เป็นผู้กล่าวคำว่า ภะคะวะโต (กล่าวพร้อมกันทั้ง ๔ องค์)
    - ท้าวสักกะจอมเทพ คือ พระอินทร์เป็นผู้กล่าวคำว่า อะระหะโต
    - ท้าวมหาพรหม ผู้เป็นใหญ่ในพรหมโลกเป็นผู้กล่าวคำว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ

เหตุที่กล่าว ก็เพื่อแสดงความนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
@@@@@@@

ที่มาที่สอง : พระเทพวิสุทธิเวที วัดมหาพฤฒาราม ให้ข้อสังเกตในหนังสือนโมเทศนาและชัยมงคลเทศนาว่า

ตามที่ฎีกานะโม ระบุว่าเทพ ๕ องค์เป็นผู้กล่าวนะโมเป็นคนแรกนั้น ไม่ได้ระบุหลักฐานว่านำมาจากคัมภีร์หรือพระสูตรอะไร และกล่าวที่ไหน เมื่อไร จึงเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือ และสันนิษฐานว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าจะเป็นผู้ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง โดยทรงบัญญัติบทว่า นะโม นี้ พร้อมกับบท ไตรสรณคมน์ (พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯเปฯ) ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ในคราวทรงอนุญาตให้พระอรหันต์สาวกเป็นอุปัชฌาย์ในครั้งแรก เพื่อให้ทำการบวชกุลบุตรเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ ด้วยอุปสมบทวิธี คือ ติสรณคมนูปสัมปทา ในคราวเริ่มประกาศพระพุทธศาสนาครั้งแรก

@@@@@@@

ที่มาที่สาม : หนังสือธรรมะในพระพุทธมนต์ โดย พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) พระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย

มีเหตุการณ์การใช้คำว่า นะโม ดังนี้

    - พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กล่าวธรรมเจติยปริยาย แสดงความเลื่อมใสแล้วเปล่งอุทานว่า นะโม

    - พรหมายุพราหมณ์อยู่ ณ เมืองตักศิลา ฟังคำสรรเสริญพระพุทธคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ส่งอุตตรมาณพศิษย์ผู้ใหญ่ให้ไปสืบดูให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าทรงคุณธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงดังคำร่ำลือหรือไม่ เมื่ออุตตรมาณพสืบได้ความจริง แล้วกลับมาเล่าให้ฟัง พรหมยุพราหมณ์ก็เกิดความเลื่อมใส ทันใดนั้นลุกจากอาสนะทำผ้าห่มเฉวียงบ่าประนมมือหันไปสู่ทิศที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่เปล่งวาจาว่า นะโม

    - นางธนัญชานีพราหมณ์ผู้เป็นโสดาบัน ในวันที่เลี้ยงพราหมณ์ พราหมณ์ผู้สามีขอให้งดกล่าวคำว่า นะโม นั้นเสีย นางยกภาชนะใส่ข้าวก้าวเท้าพลาดล้มลงและตกใจอุท่านว่า นะโม



ภาพ : Shutter Stock


อานิสงส์การสวดบทนมัสการพระพุทธเจ้า

    1. น้อมใจจนให้เกิดความกตัญญูกตเวที รู้อุปการคุณที่พระพุทธเจ้ามีต่อตน ให้รู้สึกว่าตนได้ดิบได้ดี อยู่เย็นเป็นสุข ไกลทุกข์เดือดร้อน ก็เพราะมีพระพุทธเจ้าสอนไว้ ให้มีใจปฏิบัติตาม

    2. ให้รู้สึกว่าได้คบหาสมาคมกับพระพุทธเจ้าด้วยใจ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าครั้งใด พระพุทธเจ้าก็ปรากฏที่ใจทุกครั้ง

    3. ให้การปฏิบัตินั้นสำเร็จเป็นปฏิบัติตามพระพุทธองค์ ย่อมได้เป็นผู้เบิกบาน หายงมงาย ชนเหล่าใดระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดมบรมศาสดา ตื่นอยู่ด้วยดีในกาลทุกเมื่อ

 
 
 



แหล่งข้อมูล :-
- หนังสือธรรมะในพระพุทธมนต์ โดย พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) พระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย
- ที่มาของบทสวด นะโม 3 จบ สืบค้นจาก https://guru.sanook.com/8686/ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 61
ขอขอบคุณ :-
website : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/65723-dhart-
Posted By มหัทธโน | 26 ก.พ. 61
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

พระอินทร์และสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในสมุดภาพไตรภูมิ (ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิฉบับหลวงสมัยกรุงธนบุรี)


5 เทวะ ที่ซ่อนอยู่ในบทนมัสการพระ “นโม ตสฺส ภควโต…” หรือบท “นโม 3 จบ”

บทนมัสการ “นโม 3 จบ” เป็น บทสวดมนต์ ที่ชาวไทยพุทธคุ้นเคยเป็นอย่างดี แน่นอนว่าบทสวดนี้เกี่ยวข้องกับ พระพุทธเจ้า เป็นปฐม แต่เชื่อว่าน้อยคนจะรู้ความหมายและที่มาแท้จริง เรื่องนี้มีตำนานอ้างอิงถึงอยู่บ้าง ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยว่าเกี่ยวข้องกับ “เทวะ” หรือเทพเจ้าในคติพุทธศาสตร์ถึง 5 เหล่าด้วยกัน

    “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส”

คือ บทสวดมนต์ ก่อนเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ ในพุทธศาสนา เพราะต้องกล่าวบทนี้ก่อนเสมอ เรียกว่า “ตั้งนโม 3 จบ” เป็นบทถวายความเคารพแด่ พระพุทธเจ้า มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นพระผู้ทรงพระภาค เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอนมัสการพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

หากถอดเป็นคำ ๆ จะแปลความได้ดังนี้

“นโม” แปลว่า นอบน้อม

“ตสฺส” แปลว่า พระองค์นั้น (สรรพนามที่หมายถึงพระพุทธเจ้า)

“ภควโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาคุณ ที่ทรงเผยแผ่พระธรรมอันประเสริฐที่ได้ตรัสรู้

“อรหโต” แปลว่า อรหันต์ คือผู้ละกิเลสได้แล้ว เพื่อรำลึกถึงพระบริสุทธิคุณ หรือภาวะบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระพุทธเจ้า

และสุดท้าย “สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” หรือสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ให้รำลึกถึงพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นการเข้าถึงความจริง หรือภาวะบรรลุ “โพธิญาณ” ของพระพุทธเจ้านั่นเอง



จิตรกรรมพระพุทธเจ้าโปรดพระราชบิดา จิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (ภาพจาก หนังสือ จิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กรมศิลปกร พ.ศ. 2557)


จะเห็นว่าบทการนมัสการเน้นไปที่ “พระคุณ” ไม่ใช่ “พระองค์” แน่ล่ะ เพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว จึงต้องนมัสการพระคุณเพื่อให้พุทธศาสนิกชนไม่ต้องว้าเหว่วุ่นวายใจ ให้รู้สึกว่าแม้พระพุทธเจ้าจะล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว แต่พระคุณยังดำรงอยู่ หาได้ล่วงลับตามไปด้วย

ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้แต่งบทนมัสการนี้ แต่มี “เรื่องเล่า” เกี่ยวกับบทสวดนี้อยู่เรื่องหนึ่ง ความว่า

“พราหมณ์สองผัวเมีย มีความเลื่อมใสต่างกัน ผัวเลื่อมใสในลัทธิพราหมณ์ เมียเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า คราวหนึ่ง ผัวเชิญพวกพราหมณ์มาเลี้ยงอาหารในการมงคล เมียก็ช่วยตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี นางยกสำรับมาเพื่อให้ผัวเลี้ยงพราหมณ์ เหยียบพื้นพลาดเซไปก็พลั้งออกมาว่า
     ‘นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส’

พวกพราหมณ์ที่ได้รับชิญมา ฟังแล้วพากันพูดว่า ตัวกาลกรรณีเกิดขึ้นในบ้านนี้แล้ว พากันลุกไปหมด พราหมณ์ผู้ผัวโกรธเมียเป็นไฟ ด่าว่าเมียยกใหญ่ สุดท้ายบอกว่า
    ‘ดีละ จะไปเล่นงานสมณโคดมของแกให้จนทีเดียว’ รีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยความโกรธ

    พอไปถึงก็ตั้งคำถามทันทีว่า ‘ฆ่าอะไร ถึงจะอยู่เป็นสุข’
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบทันทีว่า ‘ฆ่าความโกรธ ถึงจะอยู่เป็นสุข’
    เพียงเท่านี้ พราหมณ์ผู้มีอุปนิสัยก็เห็นจริง เกิดความเลื่อมใส ว่าบทนมัสการได้ด้วยตนเอง และฟังบทนมัสการของผู้อื่นด้วยใจชื่นบาน”

@@@@@@@

นอกจากนี้ หากอ้างอิงตามตำนานพระพุทธศาสนา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ. ๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เล่าไว้ในหนังสือ ตำนานพระปริตร โดยว่าตามโบราณาจารย์กล่าวไว้อีกที ระบุว่า ผู้เริ่มกล่าวบทนมัสการคือเหล่าเทวะ โดย 5 บท (วรรค) มีเทวะ 5 องค์ (หรือหมู่) เป็นผู้ตั้งแต่ง ประกอบด้วย

1. “นโม” มี สาตาคิรียักษ์ เป็นผู้ตั้ง โดยสาตาคิรียักษ์เป็น “เทวดาชาวเขา” อยู่ที่เขาสาตาคิรี จัดเป็นภุมมเทพเทวดาที่อยู่บนแผ่นดินในมหาสมัยสูตร ว่ากันว่ามีถึง 3,000 องค์ แต่ในที่นี้อ้างไว้เป็นเอกพจน์ แปลว่าผู้ตั้ง “นโม” คือหัวหน้าหรือผู้เป็นใหญ่ในหมู่สาตาคิรียักษ์

2. “ตสฺส” มี อสุรินทราหู เป็นผู้ตั้ง ราหู คือชื่อ ส่วน อสุรินทะ คือยศ หมายถึงจอมอสูร (อสูรก็เป็นเทวะพวกหนึ่ง) มีกายทิพย์ ราหูเป็นอริกับสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ และจันทรเทพหรือพระจันทร์ แต่เป็นมิตรกับจอมพิภพอสูรชื่อท้าวเวปจิติ

3. “ภควโต” มี จาตุมหาราช เป็นผู้ตั้ง คือเทวะหมู่ เป็นท้าวมหาราชทั้ง 4 แห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก สวรรค์ชั้นแรกจาก 6 ชั้น ท้าวมหาราชมีหน้าที่ครองโลกทั้ง 4 ทิศ บ้างจึงเรียก ท้าวจตุโลกบาล ได้แก่ ท้าวธตรฐ อธิบดีแห่งเหล่าคนธรรพ์ ครองทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก อธิบดีแห่งเหล่ากุมภัณฑ์ ครองทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ อธิบดีแห่งเหล่านาค ครองทิศตะวันตก และ ท้าวกุเวร (เวสวัณ) อธิบดีแห่งเหล่ายักษ์ ครองทิศเหนือ

4. “อรหโต” มี ท้าวสักกเทวราช เป็นผู้ตั้ง เราจะคุ้นอีกนามของท่านคือ พระอินทร์ มากกว่า แต่ยังมีชื่ออีกมากมาย ทั้ง ท้าวสหัสนัยน์ สหัสเนตร มัฆวาน วาสพ บุรินทท แต่ชื่อที่เรียกทั่วไปในพระคัมภีร์คือ “สกฺโก เทวราช” ท้าวสักกเทวราชเป็นเจ้าพิภพดาวดึงส์ (ปกครองถึงเหล่าจาตุมหาราชด้วย) ในทางพุทธศาสนา พระอินทร์เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

5. “สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” มี ท้าวมหาพรหม เป็นผู้ตั้ง จัดเป็นเทวะชั้นสูง สถิตแยกจากเทวะสามัญที่สถิตอยู่ใน “เทวโลก” โดยภพของพระพรหมเรียก “พรหมโลก” ผู้ให้ทานรักษาศีลจะได้เกิดในเทวโลก แต่ผู้ได้ฌาณสมาบัติจะได้เกิดในพรหมโลก ซึ่งแยกเป็นอีก 2 ภพ คือ รูปภพ (มีกาย) สำหรับผู้มีรูปฌาน กับอรูปภพ (ไร้รูปกาย) สำหรับผู้ได้อรูปฌาณ



ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ (ภาพจาก หนังสือมรดกเมืองสระบุรี, องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี)


สมเด็จพระมหาธีราจารย์ อธิบายว่า “ผู้ตั้ง นโมฯ ตามที่นำมานี้ ไม่ทราบอธิบายของท่านว่าตั้งกันอย่างไร เพราะเทวะที่กล่าวถึงนั้น บางชื่อก็เป็นหมู่ บางชื่อก็มีเดี่ยว”

แปลว่าเทวะทั้ง 5 จำพวกนี้ ปรากฏเป็นเรื่องเล่าเพียงเป็นผู้แต่ง แต่เอ่ยคำสวดอย่างไร ลำดับอย่างไรนั้นไม่ทราบ อนุมานได้เพียงต่างคนต่างกล่าวนมัสการตามอัธยาศัย ตามศรัทธาของตน แล้วจึงมีผู้จดจำนำมาผสมเข้ากันเป็น “บทนมัสการ” หรือ นโม 3 จบ สืบต่อกันมา

ส่วนเหตุผลที่ต้องเอ่ยบทนมัสการ 3 จบนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์อ้างอิงจากโบราณาจารย์ว่า เพื่อนมัสการ พระพุทธเจ้า ให้ครบประเภททั้ง 3 ประการ ได้แก่
    - พระวิริยาธิกพุทธเจ้า (วิริยะ)
    - พระสัทธาธิกพุทธเจ้า (ศรัทธา) และ
    - พระปัญญาธิกพุทธเจ้า (ปัญญา)
ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เรานับถือ (พระโคตมพุทธเจ้า) คือ พระปัญญาธิกพุทธเจ้านั่นเอง

แต่บางท่านก็อธิบายว่า การเปล่งบทนมัสการ 3 จบ เพื่อกำหนดจิตใจให้สงบ เกิดสมาธิ เหมือนเชือก 3 เกลียว ย่อมแน่นและเหนียวกว่าเชือก 1-2 เกลียว ฉันใดก็ฉันนั้น…

อ่านเพิ่มเติม :-

    • สวรรค์แบบพุทธที่เทวดาตกชั้นได้ จาก “ฉกามาพจร” ในไตรภูมิพระร่วง
    • “สุขาวดี” คืออะไร? ทำอย่างไรจึงจะได้เข้าสู่แดนสวรรค์อันบริสุทธิ์ของชาวพุทธ
    • นัยสำคัญของการท่องจำ-สวดมนต์ (ที่ถูกวิธี) จากคุณหญิงใหญ่ สตรีรุ่นแรกผลิตผลงานเชิงพุทธ





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ธนกฤต ก้องเวหา
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 1 มีนาคม 2567
website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_128295
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2024, 07:05:13 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ