ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มีอะไรให้ทำมากมาย แต่ทำไมยัง ‘เบื่อ’ : การอยู่ร่วมกับความเบื่อ เป็นเรื่องปรกติ  (อ่าน 1371 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



มีอะไรให้ทำมากมาย แต่ทำไมยัง ‘เบื่อ’ ว่าด้วยการอยู่ร่วมกับความเบื่อให้ เป็นเรื่องปกติ

Summary

    • นักจิตวิทยากล่าวว่า อาการเบื่อทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว ไม่สบายใจ หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ข้อดีของอาการเบื่อคือการกระตุ้นให้เราออกไปทำอะไรบางอย่าง ทำให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้า

    • ความเบื่อหน่ายไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะปัจจัยทางจิตวิทยาเท่านั้น แต่เชื่อมโยงกับวิวัฒนาการทางสังคม เมื่อโลกอุตสาหกรรมทำให้มนุษย์เข้างานอย่างมีระเบียบวินัย ‘เวลาว่าง’ กลายเป็นสิ่งจำเป็นให้คนได้มีเวลาแยกตัวออกจากงานบ้าง

    • ช่วงเวลาเดียวกัน ทุนนิยมสมัยใหม่ทำให้ความบันเทิงและสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นทวีคูณ ทำให้เรามีอะไรทำตั้งมากมาย แต่ยิ่งความตื่นตาตื่นใจถูกผลิตมากขึ้นเท่าไหร่ ความคาดหวังว่าชีวิตจะต้องสนุกสนานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่มีอะไรตอบโจทย์ เราจึงรู้สึกเบื่อ

    • เทคโนโลยียังทำให้เราอดทนกับอาการเบื่อได้น้อยลง นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้เราลองสำรวจความต้องการที่แท้จริงก่อนเลือกวิธีแก้เบื่อด้วยการหยิบมือถือมาดูซ้ำๆ




 :96: :96: :96:

วันๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว ไปทำงาน พบเจอเรื่องราวสารพัดให้ปวดหัว พอตกบ่ายซื้อน้ำหวานกินแก้เครียด ทำงานจุกจิก แล้วไปกินข้าวเย็น สุดท้ายก็กลับบ้าน ชีวิตวิ่งเป็นวงกลมตลอด 5 วัน จึงต้องรอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่น่าจะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่บางครั้งก็เลือกที่จะนอนอย่างเดียวเพราะมันเหนื่อย หรือถ้าได้ออกไปข้างนอก ก็อาจทำได้อยู่ไม่กี่ครั้งเพราะเงินหมดก่อนจนต้องกลับบ้านมานอนไถฟีดไอจี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ดูยูทูบ วนเวียนไปให้ครบทุกแพลตฟอร์มเพียงเพื่อจะได้บ่นกับตัวเองว่า “ทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้?”

หรือพอจะลองระบายสิ่งที่รู้สึกให้ใครสักคนฟังว่าเราเบื่อมากแค่ไหน เขาก็มักจะพยายามให้คำแนะนำต่างๆ (ด้วยความหวังดี) เช่น ดูหนังเรื่องนี้ ฟังเพลงนั้น ไปเวิร์กช็อปนี่สิ ดูมีอะไรให้ทำมากมาย แต่ทำไมก็ยังเป็นเรื่องน่าเบื่ออยู่ดี?

แล้วจะว่าไปมันก็น่าเบื่อเสียจริงที่ต้องพร่ำบ่นเรื่องนี้ซ้ำๆ ถึงอย่างนั้น ผู้คนมากมายในสังคมนี้ก็ยังคงเผชิญหน้ากับอาการเบื่อหน่ายเช่นกัน อาจแตกต่างในเชิงเรื่องเรื่องและระดับกันไป

งานศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาชื่อว่า Bored in the USA: Experience Sampling and Boredom in Everyday Life ปี 2016 ประเมินว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์ประสบกับความเบื่อหน่ายอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 10 วัน

นอกจากนี้ ในหนังสือ ‘Out of My Skull: The Psychology of Boredom’ เจมส์ ดังเคิร์ต นักประสาทวิทยา และจอห์น ดี. อีสต์วูด นักจิตวิทยา ยังระบุถึงการศึกษาเรื่องความเบื่อตามระดับวัย ที่พบว่า ความเบื่อหน่ายจะเพิ่มขึ้นในช่วงวัยเด็กและเพิ่มสูงสุดในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น จากนั้นก็ลดลงจนเมื่ออายุ 50 ปี ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในช่วงวัย 60 ปี โดยเฉพาะในผู้หญิง

แม้ว่าความเบื่อหน่ายจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่นักวิจัยพบว่า หากมันสะสมเรื้อรังอาจกลายเป็นแนวโน้มของโรคซึมเศร้า การติดสารเสพติด และวิตกกังวลได้ นั่นคือเหตุผลที่เราสงสัยว่า บนโลกนี้มีอะไรให้ทำมากมาย แต่ทำไมคนเราถึงเบื่อ ความรู้สึกเบื่อเกิดจากอะไรได้บ้าง ทำไมความซับซ้อนของสังคมและภาวะมากล้นของเทคโนโลยีทำให้เรายิ่งเบื่อมากกว่าเดิม เราจะเข้าใจความเบื่ออย่างลึกซึ้งขึ้นได้ยังไง แล้วมีวิธีใดที่เราจะสามารถอยู่ร่วมกับความเบื่อได้ด้วยใจที่สันติ





‘ความเบื่อ’ คืออะไร แบบไหนที่เรียกว่า ‘เบื่อ’ บ้าง.?

ดูเหมือนอะไรๆ ก็จะกลายเป็น ‘ความเบื่อ’ ได้หมด หากเราลองสำรวจว่าที่ผ่านมาเคยรู้สึกเบื่อกับอะไรบ้าง เบื่องาน เบื่อการใช้ชีวิตวนลูป เบื่อกินข้าว เบื่อเล่นโทรศัพท์ เบื่อรถติด และอีกสารพัดความเบื่อ

ในข้อเท็จจริงคือ คนเราตีความคำว่า ‘เบื่อ’ ไม่เหมือนกัน เพราะมีสาเหตุไม่เหมือนกัน และคำอธิบายของอาการนี้ก็มีเยอะมากๆ ในระดับที่นักจิตวิทยามองว่า เวลาที่เราพูดคำว่า ‘เบื่อ’ กับคนรอบข้าง เราและเขาก็อาจจะเข้าใจคนละระดับความรู้สึก และจัดการกันคนละวิธีได้เช่นกัน

ถึงอย่างนั้น นักคิดและนักวิชาการก็พยายามอธิบายความรู้สึกนี้ให้ทุกคนเห็นเป็นรูปเป็นร่างมาตั้งแต่อดีต เช่น เลโอ ตอลสตอย นักเขียนชาวรัสเซีย เคยนิยามความเบื่อในวรรณกรรมเรื่อง แอนนา คาเรนินา ว่า ‘ความปรารถนาในความปรารถนา’ เมื่อรู้สึกเบื่อเรา ‘ต้องการ’ สิ่งที่ ‘น่าสนใจ’ หรืออะไรก็ตามที่เราปรารถนา มันจึงเป็นความปรารถนาที่ต้องการความปรารถนา ซึ่งอดัม ฟิลลิปส์ นักจิตวิเคราะห์ก็กล่าวเช่นกันว่า ความเบื่อเหมือนภาวะที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง มีอะไรบางอย่างเร่ิมต้นแล้วแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงเกิดอารมณ์กระสับกระส่ายที่ประกอบด้วยความปรารถนาไร้เหตุผลและขัดแย้งที่สุด เพราะมันคือความปรารถนาที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ (หรือก็คือความปรารถนาที่อยากจะปรารถนาแบบที่ตอลสตอยกล่าว)

เจมส์ ดังเคิร์ต นักประสาทวิทยา และจอห์น ดี. อีสต์วูด นักจิตวิทยา เปรียบเทียบอาการเบื่อกับภาวะที่เรามักพูดว่า ‘นึกไม่ออกว่าเรียกว่าอะไร มันติดอยู่ที่ปาก’ ซึ่งเป็นความรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป แม้ว่าเราจะบอกไม่ได้ว่าคืออะไรก็ตาม นักวิชาการทั้งสองยังย้ำว่าความเบื่อก็เป็นความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจาก ‘อยากทำอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่อยากทำอะไรเลย’ มันไม่ใช่อารมณ์แบบที่เราคุ้นเคย แต่เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ต่อเนื่องที่เราอยากมีส่วนร่วมกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่พบสิ่งใดที่ทำให้เราพอใจ




โดยที่ในอารมณ์เบื่อยังผสมผสานด้วยความรู้สึกสองอย่าง–ความเฉื่อยชาและความกระวนกระวาย กล่าวคือ เราเฉยเมยต่อสิ่งที่มีอยู่ แต่ก็กระวนกระวายที่ต้องการจะหาสิ่งใหม่ นี่คือสิ่งที่ทำให้ความเบื่อหน่ายแตกต่างจากความเกียจคร้าน การขาดความอยากรู้ หรือการนิ่งเฉย

นอกจากนี้ ความเบื่อยังประกอบด้วยความหงุดหงิดในบางที หากสิ่งที่เจอซ้ำๆ เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจ เช่น เบื่อรถติด เบื่อฝนตก เบื่องาน แต่ความรู้สึกประเภทนี้มักเข้าใกล้กับความไม่พอใจ หากรู้สึกมากขึ้นอารมณ์ก็จะระบายออกมาเป็นความโกรธ

เพื่อให้มองเห็นที่มาของอาการ ‘เบื่อ’ ได้มากขึ้น เราขอยกการศึกษาของเอริน เวสต์เกต นักจิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา ที่ได้กล่าวว่า ความเบื่อในยุคสมัยใหม่อาจมีปัจจัยอยู่สองอย่างด้วยกัน หนึ่ง–ความหมายที่ขาดหายไป สอง–ความสนใจที่ขาดหายไป กล่าวคือ กิจกรรมบางอย่างที่คุณสนใจแต่ไม่มีความหมาย เช่น ไถฟีดโซเชียลมีเดียเพราะคิดว่ามันน่าสนใจ แต่เมื่อเลื่อนไปเรื่อยๆ มันไม่ได้ให้ความหมายอะไรต่อจากนั้นแล้ว หรือกิจกรรมที่มีความหมายแต่คุณไม่สนใจ เช่น การทำงานให้เสร็จ การทำความสะอาดบ้าน

ลองสังเกตว่า กิจกรรมบางอย่างที่คุณทำซ้ำๆ แต่คุณก็ไม่เคยเบื่อมันเลย เช่น ฟังเพลงศิลปินคนโปรดทุกวัน สิ่งนี้ตอบโจทย์ทั้งการมีความหมายและความสนใจของคุณตามแนวคิดของนักจิตวิทยาสังคม





ทำความเข้าใจ ‘ความเบื่อ’ ผ่านหลากหลายสาขาวิชา

การทำความเข้าใจความเบื่อจากหลากหลายมุมมองจะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเผชิญ และมีข้อมูลในภาพกว้างที่ช่วยให้เรารู้ได้ว่าตัวเองอยู่ในจุดไหนของความเบื่อ

สองทศวรรษที่ผ่านมา นักวิชาการศึกษาภาวะอาการเบื่อมานักต่อนัก “ความเบื่อหน่ายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก โดยมีสาขาครอบคลุมไปถึงปรัชญา มานุษยวิทยา วรรณกรรม ศาสนา และเทววิทยา” อีสต์วูด หนึ่งในนักเขียนหนังสือ Out of My Skull: The Psychology of Boredom กล่าว

ความเบื่อหน่ายจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะปัจจัยทางประสาทวิทยาหรือจิตวิทยาเท่านั้น แต่เชื่อมโยงกับวิวัฒนาการทางสังคมอย่างแยกไม่ขาด

ในทางประวัติศาสตร์ ลาร์ส สเวนเซน ระบุในหนังสือปรัชญาของความเบื่อหน่าย (A Philosophy of Boredom) เอาไว้ว่า ปรากฏการณ์ความเบื่อส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับชนชั้นสูงและนักบวชมากกว่าชาวบ้านทั่วไป  ในศตวรรษที่ 5 เคยมีบันทึกของนักบวชที่เขียนถึงความรู้สึกไม่สบายตัวและทรมานใจที่ต้องทำกิจวัตรวนลูปไปจนถึงความรู้สึกอันยาวนานของการจ้องมองพระอาทิตย์ตกดิน แต่พวกเขาเรียกอาการนี้ว่า ‘ความเกียจคร้าน (acedia)’

อาการเบื่อจึงกลายเป็นอารมณ์ที่เอาไว้บอกสถานะทางสังคมในอดีตเช่นกัน ก่อนที่ความรู้สึกเหล่านี้จะกระจายออกสู่วงกว้างจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

โดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ที่มีความใกล้ชิดกับความเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด





เริ่มตั้งแต่โลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม คนต้องตอกบัตรเข้างานที่ทำวนซ้ำๆ อย่างซ้ำซากจำเจ กฎระเบียบการเข้างานที่ต้องทำอย่างมีวินัย คนเหล่านี้จึงต้องการ ‘เวลาว่าง’ ที่มีอิสระออกจากงานเพื่อมีเวลาได้ ‘พักผ่อน’ หรือ ‘เติมเต็มตัวเอง’

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทุนนิยมสมัยใหม่ก็ได้ทำให้ความบันเทิงและการบริโภคเพิ่มขึ้นทวีคูณ ในขณะเดียวกันก็บ่อนทำลายและทำให้ผู้คนหลงลืมพื้นที่ความหมายทางจิตวิญญาณ ซึ่งเคยผูกพันกับมนุษย์มาก่อน

มาร์กาเร็ต ทัลบอต นักเขียนจากนิวยอร์กเกอร์กล่าวว่า ยิ่งทุนนิยมผลิตความตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความคาดหวังว่าชีวิตจะต้องสนุกสนานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นยังรวมไปถึงตัวเราเองก็ต้องมีความน่าสนใจด้วย ความน่าเบื่อตามมาได้เมื่อเราเริ่มกระสับกระส่ายแล้วว่า ‘ไม่มีอะไรใหม่และน่าสนใจในชีวิตเลย’

ถึงอย่างนั้น ธีโอดอร์ อดอร์โน นักปรัชญาชาวเยอรมัน ก็ได้วิพากษ์ไว้ว่า อันที่จริงอาการเบื่อก็อาจจะเกิดจากปัญหาของการที่ ‘เวลาว่าง’ หรือ ‘การพักผ่อนหย่อนใจ’ นั้น ‘ผูกติด’ อยู่กับการทำงานเคร่งครัดนั่นแหละ เพราะเราดำรงอยู่ภายใต้การบีบบังคับให้คนทำงานตามวันเวลาที่กำหนด ส่วนวันหยุดก็ขึ้นอยู่กับวันทำงานเหล่านั้น ทั้งหมดนี้จึงทำให้เราไม่มีอิสระ เราจึงรู้สึกเบื่อ

@@@@@@@

ส่วนเดวิด เกรเบอร์ นักมานุษยวิทยา ผู้เขียนหนังสือ Bullshit Jobs : The Rise of Pointless Work, and What We Can Do about It กล่าวว่า อันที่จริงในสังคมสมัยใหม่ที่มีงาน ‘ไร้สาระ’ เต็มไปหมด เช่น เลขาหน้าห้อง, คนเปิดประตูรถ, นักบริการทางการเงิน อาชีพเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงประโยชน์อย่างเป็นชิ้นเป็นอันและไร้จุดหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง ‘ความเบื่อ’ ไปจนถึงความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการยังคงถกเถียงกันในประเด็นนี้ต่อไป เพราะมีกลุ่มที่มองว่าความเบื่อก็เป็นอาการทั่วไปของมนุษย์ ไม่เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในสังคมสมัยใหม่นัก มาร์กาเร็ต ทัลบอต นักเขียนจากนิวยอร์กเกอร์แสดงความเห็นว่า ลองนึกภาพย้อนไปยุคกลาง คงมีชาวบ้านนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าชามข้าวบาร์เลย์ รู้สึกเบื่อกับชีวิตและนึกถึงงานเฉลิมฉลองประจำปีของหมู่บ้านก็ได้ ฉะนั้น ความเบื่อก็คงเหมือนกับความรู้สึกทั่วไปอย่างความคิดถึง ความเสียใจ หรือความรัก

นักเขียนอย่างปีเตอร์ ทูเฮย์ เจ้าของหนังสือ Boredom: A Lively History เสนอแนวคิดว่า เราจำเป็นต้องแยกแยะระหว่างความเบื่อหน่ายธรรมดาที่เรามีโอกาสประสบพบเจอเป็นครั้งคราว กับ ความเบื่อหน่ายเชิงปรัชญาแบบอัตถิภาวนิยม หรืออาการเบื่อที่เชื่อมโยงกับคำถามถึงความหมายในการใช้ชีวิตและการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกว่างเปล่าและแปลกแยกที่แผ่ขยายไปเกินกว่าความเหนื่อยล้าทางจิตใจชั่วขณะ และอาจไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในพจนานุกรมทางอารมณ์ของใครหลายคนมาก่อน จนกระทั่งนักปรัชญา นักเขียนนวนิยาย และนักวิจารณ์สังคมช่วยกันกำหนดนิยามของความรู้สึกดังกล่าวเมื่อ 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมา





โลกเทคโนโลยีที่กระตุ้นให้เราทนความเบื่อไม่ได้

เวลาที่เราบอกว่า ‘เบื่อจัง’ คำตอบที่มักได้รับกลับมาอย่างรวดเร็วคือ ‘เบื่อทำไม’ ‘ไปหาอะไรทำสิ มีอะไรให้ทำเยอะแยะ’ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ตอบสนองความรู้สึกเราได้ ทำให้เราเลือกที่จะเงียบไปในหลายๆ ครั้ง เพราะไม่อยากดูเป็นคนน่าเบื่อ

แซนดี แมนน์ นักจิตวิทยา กล่าวในหนังสือ The Science of Boredom ว่า ผู้คนลังเลที่จะยอมรับความเบื่อหน่าย มันเป็นความเครียดรูปแบบใหม่ เช่นเดียวกับในอดีตที่ผู้คนลังเลที่จะยอมรับว่า ‘เครียด’ แต่ทุกวันนี้การบอกใครต่อใครว่าเครียดดูจะเป็นสิ่งยอมรับมากกว่า เพราะความหมายโดยนัยของมันคือการอธิบายสภาพชีวิตว่าคุณกำลังงานยุ่งหรือมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น

แต่การบอกว่า ‘เบื่อจังเลย’ มีภาพลักษณ์ของความเป็นเด็กที่อาจจะโดนผู้ใหญ่บ่นว่า คนที่เบื่อนั่นแหละน่าเบื่อ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการที่จะนึกถึงเป้าหมายอื่นในชีวิตไปจนถึงการขาดแพชชั่นในการมองหาสิ่งที่เข้ามาเติมใจตัวเองด้วยซ้ำ

ในอดีต เหล่านักคิดทั้งหลายก็มองว่าอาการเบื่อเป็นอารมณ์ที่ไม่มีเสน่ห์เสียจริง ลองนึกภาพนักเขียนต้องพรรณนาถึงเรื่องราวและความสวยงามของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะความเศร้า ความโหยหา ความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวและซ่อนความฉลาดของการตกตะกอนเอาไว้ แต่พวกเขามักติดขัดทุกครั้งที่ต้องอธิบายถึง ‘อาการเบื่อ’

อาร์เธอร์ โชเปนเฮาเออร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน และเซอเรน เคียร์เคอกอร์ นักปรัชญาชาวเดนมาร์กถือว่าความเบื่อหน่ายเป็นภัยร้ายแรงอย่างหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่ นวนิยายในศตวรรษที่ 19 จึงถือกำเนิดขึ้นบางส่วนเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย

กลับมาที่ยุคปัจจุบัน อาการเบื่อก็ดูจะกลายเป็นสิ่งที่นิยามคนพูดไปโดยปริยาย แม้มันจะไม่ใช่เรื่องผิดที่คนจะรู้สึก แต่ทุกวันนี้การมองความเบื่อในแง่บวกก็ยังเป็นเรื่องยากในสังคม การวิจัยของเจมส์ แดนเคิร์ต และจอห์น ดี อีสต์วูดยังเผยให้เห็นว่าความเบื่อหน่ายถูกเข้าใจผิดอย่างกว้างขวาง บางครั้งอาจจะถูกมองไม่ดีจนดูไม่ยุติธรรมเสียด้วยซ้ำ





เมื่อมองว่าอาการเบื่อไม่ใช่เรื่องดี ความผิดพลาดที่หลายคนทำคือการพยายามหนีจากความรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยการรีบวิ่งไปหาวิธีแก้เบื่อจากโซเชียลมีเดีย ความเบื่อหน่ายจึงซับซ้อนมากขึ้น เมื่อเราอยู่ในยุคเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกอย่างของชีวิต เราทนกับอาการเบื่อได้น้อยลง เช่น ตอนรอคิวร้านอาหารชื่อดัง เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นจนกลายเป็นว่าเราเล่นทุกช่วงเวลา ผลลัพธ์ของมันคือ เราสมาธิสั้นขึ้น

ภาวะของการทนความเบื่อไม่ได้ ยืนยันด้วยงานวิจัย Don't leave me alone with my thoughts ตีพิมพ์ในปี 2014 งานวิจัยที่ดูเหมือนจะตลกแต่ก็ศึกษาอย่างจริงจัง คือ ทำการทดลองด้วยการให้คนเข้าไปนั่งอยู่คนเดียวในห้องและคิดอะไรบางอย่าง แม้จะเกิดขึ้นเพียง 15 นาที แต่ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า พวกเขายอมโดนไฟฟ้าช็อตดีกว่าจะนั่งนิ่งๆ อยู่คนเดียวนานขนาดนี้ บางส่วนกล่าวว่า พวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อไม่ให้ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้อีก

แดนเคิร์ตและอีสต์วูด กล่าวว่า ความเบื่อหน่ายส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการขาดความสนใจ อะไรก็ตามที่ทำให้มีสมาธิยากขึ้น หรืออะไรที่ทำให้เรามีส่วนร่วมเพียงผิวเผินก็จะทำให้ความเบื่อหน่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งภาวะความเบื่อของคนสมัยนี้อาจมีปัจจัยร่วมอยู่สองอย่างด้วยกัน คือ เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ได้มีคู่แข่งกลุ่มอื่นที่จะมาแย่งความสนใจจากเรา (ถ้าจะกล่าวถึงความบันเทิงอย่างหนัง เพลง หนังสือ มันก็เข้าไปอยู่ในเทคโนโลยีแล้วเรียบร้อย) และพวกเราเองก็เริ่มไม่มีความสามารถในการควบคุมความสนใจและรู้จักอยู่กับความเบื่อด้วย เพราะเราไม่ค่อยได้ใช้งานมัน

ข้อเสียอีกอย่างของการที่เราอยู่ในยุคที่ดูมีอะไรเรียกร้องความสนใจเรามากมาย คือ ภาวะล้นเกินของข้อมูล อีสต์วูดกล่าวว่า บางทีการมีอะไรมากไปก็ทำให้เราเบื่อได้เช่นกัน เขากล่าวว่า “การใช้อินเทอร์เน็ตบรรเทาความเบื่อก็อาจรู้สึกเหมือนกับการพยายามดื่มน้ำจากท่อดับเพลิง” เพราะมันทำให้เรื่องแย่ลงไปมากกว่าเดิมด้วย

“มันต้องใช้เวลาและความสนใจในการเลื่อนดูอินสตาแกรมหรือเล่นเกมแคนดี้ครัช แต่สุดท้ายแล้วคุณจะไม่รู้สึกพอใจอยู่ดี เพราะคุณไม่ได้เลือกค้นหาว่า 'สิ่งที่ฉันต้องการทำจริงๆ คืออะไร?' มันจึงเป็นวงจรที่เลวร้าย คุณได้รับการมีส่วนร่วมบางอย่าง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ” ดังเคิร์ต นักประสาทวิทยากล่าว




แล้วเราควรทำอย่างไรได้บ้าง เมื่อมีอะไรให้ทำมากมาย แต่เรารู้สึกเบื่อ.?

จากหนังสือ Out of My Skull: The Psychology of Boredom นักประสาทวิทยา และนักจิตวิทยาแนะนำว่า อันดับแรก เราอย่าเพิ่งกลัวความเบื่อ มันเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน หลายครั้งอาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังขาดการมีส่วนร่วม และต้องการกิจกรรมที่จะทำให้เรารู้สึกพอใจ หรือบางครั้งเราอาจจะรู้สึกอะไรบางอย่างมากเกินไปจนต้องเรียนรู้ที่จะลดความรู้สึกพอใจเพื่อปรับอาการเบื่อ อย่าเพิ่งเชื่อว่าวิธีการแก้เบื่อที่ดีที่สุดคือการกำจัดไปทั้งหมด เพราะนักจิตวิทยากล่าวว่าสิ่งนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

ประเด็นของนักจิตวิทยามองคือ การพึ่งพาวิธีการแก้การเบื่อจากภายนอกทันทีทำให้เราลดทอนความรู้สึกถึงการเป็นผู้เขียนชีวิตของตัวเอง หากความเบื่อหน่ายมีสาเหตุมาจากการขาดความหมาย เราจะไม่สามารถรักษาความสนใจในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ได้หากเราไม่สนใจหรือไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่จริงๆ ฉะนั้นแล้ว ความเบื่อจึงช่วยชี้นำเราไปสู่การตระหนักรู้ถึงศักยภาพของเรา นั่นคือการหยุดและหันกลับมาฟังตัวเองจริงๆ

นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้เริ่มต้นถามความรู้สึกตัวเองก่อน เรารู้สึกเบื่อใช่ไหม เราเบื่ออะไร สิ่งไหนทำให้เราเบื่อ หรือว่าจริงๆ เรารู้สึกอย่างอื่นแต่กำลังห้ามมันไว้จนทำให้เรารู้สึกเบื่อที่ต้องไปสนใจอย่างอื่น อย่าเพิ่งตัดจบความรู้สึกเหล่านี้ด้วยการหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจ แค่เพียงอยู่นิ่งๆ กับมันอย่างใจเย็นและไม่ตัดสินว่ามันคือความผิด นี่คือขั้นตอนเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานะภายในตัวเองเพื่อบรรเทาความไม่สบายใจและเปิดทางไปสู่การกระทำที่พึงพอใจได้

เมื่อเราค้นหาที่มาของความเบื่อได้แล้วก็ถึงเวลาของการเลือกทางที่ใช่สำหรับการแก้ปัญหานั้นจริงๆ เช่น หากเบื่อกิจวัตรประจำวัน แต่มันเป็นงานสำคัญ เราจะปรับวิธีคิดกับงานเหล่านี้อย่างไร หรือจริงๆ ที่เราเบื่อกิจวัตรประจำวัน เพราะเราเหนื่อยจากงานอื่นๆ ถ้าอย่างนั้นเราจะเลือกจัดสรรเวลาหรือหาทางแก้อย่างไรให้เราสามารถจัดลำดับอารมณ์ที่ซ้อนทับกันได้

นอกจากนี้ นักจิตวิทยายังแนะนำว่าอาจลองค้นหาจุดมุ่งหมายของการทำอะไรบางอย่าง เพราะความเบื่อไม่ใช่การไม่มีสิ่งที่ต้องทำ แต่เป็นการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาคุณค่าในตัวเลือกต่างๆ ที่มี การมีคำตอบต่อคำถามที่ว่าทำไมเราต้องทำสิ่งนั้นจะทำให้น่าเบื่อน้อยลง เช่น เราเบื่องานที่ทำ แต่เหตุผลที่ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะมันมีผลต่อการดำรงชีพของเรา หรือแม้ว่างานนี้มีส่วนน่าเบื่อก็จริง แต่มันก็อาจมีส่วนอื่นๆ ที่ยังมีคุณค่าอยู่ เราจึงต้องทำต่อไป แต่ถ้าหากเรามองหาคุณค่าจากมันไม่ได้จริงๆ นั่นก็อาจจะหมายความว่า ความเบื่อกำลังกระตุ้นให้เรามองหาทางเลือกงานใหม่ๆ อยู่ก็ได้






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/104966?_gl=1*1g8aw41*_gcl_au*MTk1ODQxMTQ5OC4xNzMyNTc4MTkx*_ga*MTQzMTg2ODg4Ny4xNzMwMzUxNTAy*_ga_DZ4R94D9QV*MTczMjc3NTY0MS4xNC4xLjE3MzI3NzU2NjEuNDAuMC4w
Thairath Plus › Everyday Life | Live & Learn › Culture
24 พ.ย. 67 | creator : สุดารัตน์ พรมสีใหม่
อ้างอิง : newyorker.com, nytimes.com, theguardian.com, nytimes.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2024, 09:30:37 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ