ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม “พุทธทาสภิกขุ” จึงเปรียบพระรัตนตรัยเป็นเสมือนภูเขาหิมาลัย “กั้น” พระนิพพาน.  (อ่าน 2000 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

พุทธทาสภิกขุ ที่วัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์) สุราษฏร์ธานี (ภาพจาก www.buddhadasa.org)


ทำไม “พุทธทาสภิกขุ” จึงเปรียบพระรัตนตรัยเป็นเสมือนภูเขาหิมาลัย “กั้น” พระนิพพาน

มีบทความเรื่องหนึ่งเขียนโดยพระธรรมโกศาจารย์ หรือ “พุทธทาสภิกขุ” ชื่อว่า “พระรัตนตรัย เป็นเสมือนภูเขาหิมาลัยกั้นพระนิพพาน” เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2497 พอเห็นชื่อเรื่องก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ในเมื่อ “พระรัตนตรัย” หรือ 3 ดวงแก้วอันประเสริฐ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นเสาหลักของพระพุทธศาสนา แล้วจะเป็นสิ่งขวางกั้นพระนิพพานได้อย่างไร?

บทความดังกล่าวไม่เพียงเป็นที่มาของความสนใจ สงสัยใคร่รู้ของคนทั่วไปในยุคนั้น แต่ยังทำให้ท่านพุทธทาสถูกโจมตีอย่างหนักจากพระสงฆ์ด้วยกัน บุคคลที่โจมตีท่านก็เป็นถึงเปรียญ 6 ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ และมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงคุณพระ

ข้อกล่าวหาที่ท่านโดนในครั้งนั้นนับว่าร้ายแรงทีเดียว คือถูกหาว่าเป็นมิจฉาทิฐิ และเป็นคอมมิวนิสต์


พระธรรมโกศาจารย์ (ภาพจาก www.buddhadasa.org)


ไขปรัชญาพุทธทาสภิกขุ

ศาสตราจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิตสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ผู้เขียนบทความ “ท่านพุทธทาส นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก” (วารสารราชบัณฑิต : ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 ก.ค.-ก.ย 2549) มีโอกาสได้สนทนากับท่านพุทธทาสที่วัดปทุมคงคา ได้กราบเรียนถามว่า ทำไมพระรัตนตรัยจึงเปรียบเป็น “ภูเขาหิมาลัย” กั้นนิพพานไปเสียได้ เมื่อได้รับคำชี้แนะจึงนำมาเสนอไว้ในบทความข้างต้น

ครั้งนั้น ท่านพุทธทาสย้อนถามกลับว่า เคยนั่งเรือข้ามฟากไหม.?
อ. จำนงค์ตอบไปว่า เคยข้ามฟากอยู่เสมอ
ท่านถามต่อว่า แล้วเมื่อไปถึงฝั่ง คุณต้องแบกเรือขึ้นไปด้วยไหม
ราชบัณฑิตก็เรียนตอบกลับว่า เมื่อถึงฝั่งก็ขึ้นจากเรือ ทิ้งเรือไว้ในแม่น้ำ

ท่านพุทธทาสอธิบายว่า
   “ข้อนี้ฉันใด พระรัตนตรัยก็ฉันนั้น คือพระรัตนตรัยเปรียบเสมือนเรือที่จะพาข้ามฟากไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุนิพพาน ก็ต้องอาศัยพระรัตนตรัยอยู่ตราบนั้น
    แต่เมื่อเราถึงฝั่งพระนิพพานก็จำต้องทิ้งแม้แต่พระรัตนตรัย ถ้ายังยึดพระรัตนตรัยอยู่ก็เป็น ‘อุปาทาน’ คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นก็แสดงว่ายังมี ‘ตัณหา’ อยู่ ก็ชื่อว่ายังมี ‘อวิชชา’
    ถ้าเรายังมี อวิชชา ตัณหา อุปาทานอยู่จะถึงนิพพานได้อย่างไร เวลาที่จะบรรลุนิพพานจึงจำต้องทิ้งแม้แต่พระรัตนตรัย”

อ. จำนงค์ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจทันที ให้ความเห็นว่า
    "ผู้ที่วิจารณ์ท่านพุทธทาสนั้น แม้จะเป็นเปรียญ 6 ประโยค แต่ความรู้ด้านธรรมะเห็นจะลึกซึ้งสู้ท่านที่เป็นเปรียญ 3 ประโยคไม่ได้"



ท่านพุทธทาส (กลาง) คณะสงฆ์ และฆราวาส


พุทธทาสภิกขุมักอธิบายธรรมะแบบปรัชญา จึงทำให้คนสงสัยอยู่เสมอ สำนวนหรือวาทะของท่านจะมีเอกลักษณ์คือทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์ไปในทาง “ติ” ก่อน แล้วจึงอธิบายให้ “กระจ่าง” ในภายหลัง

ด้วยคำสอนที่ปัญญาชนฟังแล้วเข้าใจง่าย สิ่งนี้เองเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงด้านความรู้ทางพระพุทธศาสนาในระดับสากล

อ่านเพิ่มเติม :-

    • อาหารมื้ออร่อยที่สุดของระธรรมโกศาจารย์คืออาหารชนิดใด?
    • วาทะพุทธทาส การทำให้ประชาชนน้ำตาตก เป็นบาปมหันต์ของข้าราชการ
    • วาทะพุทธทาส-ทำบุญปีใหม่ต้องไม่งมงาย…ต้องลืมหูลืมตาสว่างไสว แจ่มแจ้งขึ้น






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ธนกฤต ก้องเวหา
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 2 ธันวาคม 2567
website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_144132
อ้างอิง : จำนงค์ ทองประเสริฐ. ท่านพุทธทาส นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก. วารสารราชบัณฑิต ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 ก.ค.-ก.ย. 2549
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2024, 07:21:29 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ