ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อแม่ยังเป็นปุถุชน.!! ไฉนกล่าวว่า "เป็นอรหันต์ของลูก".?!  (อ่าน 7624 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



อาหุไนยบุคคล (บาลีวันละคำ 3,713)



พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก

อาหุไนยบุคคล อ่านว่า อา-หุ-ไน-ยะ-บุก-คน ประกอบด้วยคำว่า อาหุไนย + บุคคล




 :25: :25: :25:

(๑) “อาหุไนย”

บาลีเป็น “อาหุเนยฺย” อ่านว่า อา-หุ-เนย-ยะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง) + หุ (ธาตุ = ให้, บูชา, เซ่นไหว้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) + เอยฺย ปัจจัย

    (ก) : อา + หุ = อาหุ + ยุ > อน = อาหุน แปลตามศัพท์ว่า “การมอบให้” “การบูชา” “การเซ่นไหว้” หมายถึง ของบูชายัญ, ของเซ่นสรวง; ความเคารพ, การบูชา (oblation, sacrifice; veneration, adoration)
    (ข) : อาหุน + เอยฺย = อาหุเนยฺย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ควรแก่การมอบให้” “ผู้ควรแก่การบูชา” “ผู้ควรแก่การเซ่นไหว้” หมายถึง เกี่ยวกับการสังเวย, ควรเซ่นสรวง, ควรบูชาหรือสังเวย, ควรเคารพ, ควรบูชายัญ, ควรบวงสรวง (sacrificial, worthy of offerings or of sacrifice, venerable, adorable, worshipful)

“อาหุเนยฺย” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อาหุไนย”

คำว่า “อาหุไนย” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554

@@@@@@@

(๒) “บุคคล”

บาลีเป็น “ปุคฺคล” อ่านว่า ปุก-คะ-ละ รากศัพท์มาจาก

     (1) ปุ (นรก) + คลฺ (ธาตุ = เคลื่อน) + อ (อะ) ปัจจัย, ซ้อน คฺ : ปุ + คฺ + คลฺ = ปุคฺคลฺ + อ = ปุคฺคล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เคลื่อนไปสู่นรก”
     (2) ปูติ (ของบูดเน่า) + คลฺ (ธาตุ = กิน) + อ (อะ) ปัจจัย, รัสสะ อู ที่ ปู-(ติ) เป็น อุ แล้วลบ ติ (ปูติ > ปุติ > ปุ), ซ้อน คฺ : ปูติ > ปุติ > ปุ + คฺ + คลฺ = ปุคฺคลฺ + อ = ปุคฺคล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้กินอาหารคือของบูดเน่า”
     (3) ปุคฺค (อาหารที่ยังอายุของสัตว์ให้เต็ม) + ลา (ธาตุ = กิน) + อ (อะ) ปัจจัย, ลบ อา ที่ ลา (ลา > ล) : ปุคฺค + ลา = ปุคฺคลา > ปุคฺคล + อ = ปุคฺคล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้กินอาหารที่ยังอายุของสัตว์ให้เต็มเป็นไป” (คือต้องกินจึงจะมีชีวิตอยู่ได้)
     (4) ปูร (เต็ม) + คล (เคลื่อน), รัสสะ อู ที่ ปู-(ร) เป็น อุ แล้วลบ ร (ปูร > ปุร > ปุ), ซ้อน คฺ ระหว่าง ปูร + คล : ปูร > ปุร > ปุ + คฺ + คล = ปุคฺคล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ทำหมู่สัตว์โลกให้เต็มและเคลื่อนไปสู่ธรรมดาคือจุติและอุบัติ” (คือเกิดมาทำให้โลกเต็มแล้วก็ตาย)

“ปุคฺคล” ในบาลีหมายถึง
    (1) ปัจเจกชน, บุคคล, คน (an individual, person, man)
    (2) สัตว์, สัตว์โลก (being, creature)

“ปุคฺคล” ใช้ในภาษาไทยว่า “บุคคล” (อ่านว่า บุก-คน, ถ้ามีคำอื่นมาสมาสข้างท้ายอ่านว่า บุก-คะ-ละ-, บุก-คน-ละ-)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกไว้ว่า
“บุคคล, บุคคล– : (คำนาม) คน (เฉพาะตัว); (คำที่ใช้ในกฎหมาย) คนซึ่งสามารถมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เรียกว่า บุคคลธรรมดา; กลุ่มบุคคลหรือองค์กรซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา และให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เรียกว่า นิติบุคคล. (ป. ปุคฺคล; ส. ปุทฺคล).”

ต่อมา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ปรับแก้คำนิยามเหลือเพียง
“บุคคล, บุคคล– : (คำนาม) คน (เฉพาะตัว); (คำที่ใช้ในกฎหมาย) บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล. (ป. ปุคฺคล; ส. ปุทฺคล).”





ประสมคำ

อาหุเนยฺย + ปุคฺคล = อาหุเนยฺยปุคฺคล แปลว่า “บุคคลผู้ควรแก่การมอบให้” “บุคคลผู้ควรแก่การบูชา” “บุคคลผู้ควรแก่การเซ่นไหว้”

“อาหุเนยฺยปุคฺคล” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อาหุไนยบุคคล” (อา-หุ-ไน-ยะ-บุก-คน)

คำว่า “อาหุไนยบุคคล” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554

@@@@@@@

ขยายความ : ในพระไตรปิฎกมีคาถาแสดงคุณของบิดามารดาบทหนึ่งว่า

    พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร
    ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร 
    อาหุเยฺยา จ ปุตฺตานํ
    ปชาย อนุกมฺปกา  ฯ

    มารดาบิดาทั้งหลายชื่อว่าเป็นพรหม
    เป็นบุรพาจารย์
    และเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย
    เป็นผู้เอ็นดูประชาคือบุตร

_____________________________________________
ที่มา : พรหมสูตร ติกนิบาตร อังคุตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่ม 20 ข้อ 470

@@@@@@@

มีคำอธิบายว่า

อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานนฺติ ปุตฺตานํ อาหุนปาหุนอภิสงฺขตอนฺนปานาทีสุ อรหนฺติ อนุจฺฉวิกา ตํ ปฏิคฺคเหตุํ ฯ ตสฺมา อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานนฺติ วุตฺตา ฯ

คำว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ หมายความว่า ย่อมควรได้รับข้าวน้ำ เป็นต้น ที่บุตรจัดมาเพื่อบูชา เพื่อต้อนรับ คือ เป็นผู้เหมาะสมเพื่อจะรับข้าวและน้ำเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ (และเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย) ดังนี้

_________________________
ที่มา : มโนรถปูรณี ภาค 2 หน้า 158

@@@@@@@

คำว่า “เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย” นี้ มีผู้นิยมนำมาพูดกันว่า “บิดามารดาเป็นพระอรหันต์” ทั้งนี้เพราะคำว่า “อาหุเนยฺย” เป็นคำแสดงคุณสมบัติข้อหนึ่งของพระอรหันต์ ดังปรากฏอยู่ในบท “สังฆคุณ” ที่ขึ้นต้นว่า “สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ”

เมื่อพูดว่า “บิดามารดาเป็นพระอรหันต์” ก็มักจะมีผู้แย้งว่า ไม่ถูกต้อง เพราะบิดามารดาเป็นฆราวาส ยังมีกิเลสอยู่ จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร

อันที่จริง ผู้พูดว่า “บิดามารดาเป็นพระอรหันต์” นั้น มิได้มีเจนาจะบอกว่า บิดามารดาสิ้นกิเลสแล้วเหมือนพระอรหันต์ เพียงแต่จะบอกว่า บิดามารดาเป็นผู้ควรแก่การบูชาเซ่นสรวงเช่นเดียวกับพระอรหันต์ และเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับบุตรทั้งหลายเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกับคนทั่วไปที่ไม่ใช่บุตร เพราะมีคำว่า “ปุตฺตานํ” กำกับอยู่ชัดแจ้ง ผู้แย้งจึงควรเข้าใจเจตนาของคำพูดว่า “บิดามารดาเป็นพระอรหันต์”

@@@@@@@

ดูก่อนภราดา.! หลายคนกว่าจะยอมรับว่าพ่อแม่มีคุณ ก็ต่อเมื่อ..ไม่มีพ่อแม่จะให้ตอบแทนคุณเสียแล้ว






Thank to : https://dhamtara.com/?p=24814
#บาลีวันละคำ (3,713) | 12-8-65
12 สิงหาคม 2022 | admin2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 17, 2024, 07:10:36 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พ่อแม่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๓ สถาน
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

โดยเฉพาะสำหรับบุตรธิดานั้น ท่านเป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อให้กำเนิดแล้วก็ได้เลี้ยงดูมา เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ ให้ความอบอุ่นในยามที่บุตรธิดาต้องการความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และช่วยส่งเสริมให้กำลังใจในคราวที่จะสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และให้มีความเพียรพยายามในการที่จะดำเนินชีวิตที่ดีงามสืบต่อไป

โดยสรุป ก็คือ
    - ท่านได้ทำหน้าที่เป็นพรหมของบุตร
    - เป็นบูรพาจารย์ของบุตร และ
    - เป็นอาหุไนยบุคคล หรือพระอรหันต์ของบุตร ซึ่งเป็นไปตามคติของพระพุทธศาสนา ที่ยกย่องมารดาบิดาว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อบุตรธิดา


@@@@@@

   (๑) มารดาบิดาเป็น พรหมในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร  คือ ทำให้ลูกเกิดมาเห็นโลกนี้ อย่างที่พูดว่าได้มาเห็นเดือนเห็นตะวัน แล้วก็เลี้ยงดู ให้ลูกเติบโตมา โดยมีคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ ประการ

   (๒) มารดาบิดาเป็น บูรพาจารย์ในฐานะที่เป็นครูต้น หรือครูคนแรก  เป็นผู้ให้การศึกษาขั้นเบื้องต้นของชีวิต คือสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตในเบื้องต้น ตั้งแต่การกินอยู่ หลับนอน การขับถ่าย การยืนเดินนั่งนอน สิ่งเหล่านี้คนทั่วไปทุกคนได้เล่าเรียนจากครูคนแรกคือบิดามารดา ถ้าไม่มีครูต้นนี้แล้วก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้แต่ในปีแรกแล้วก็ไม่รู้จักที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมต่อไปด้วย ครูคนแรกนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

     เมื่อครูคนแรกนี้ สอนความรู้เบื้องต้นในการดำเนินชีวิตแล้ว จึงส่งต่อลูกให้แก่ครูคนต่อๆ มา ดังที่เรามีการจัดตั้งเป็นโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย แต่คนทั่วไปมักจะมองข้ามความสำคัญของครูอาจารย์คนแรก แท้จริงนั้นความรู้ในการดำเนินชีวิตที่เป็นพื้นฐานนั่นแหละ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

     นอกจากสอนความรู้ที่เป็นรูปธรรมแล้ว พ่อแม่ก็ยังถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมอีกมากมาย เช่น คุณธรรม ความรู้สึก อารมณ์ ความนึกคิด ลักษณะนิสัยใจคอ เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตของบุคคลผ

     เพราะฉะนั้น ครูคนแรกหรือครูต้นที่ท่านเรียกในทางพุทธศาสนาว่าบูรพาจารย์นี้ จึงมีความสำคัญอย่างยวดยิ่ง และท่านผู้นั้นก็คือ บิดามารดานี่เอง

   (๓) นอกจากนั้นมารดาบิดาก็ได้ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์ของบุตร ตามที่ท่านใช้ศัพท์ว่า "อาหุไนยบุคคล" อาหุไนยบุคคลเป็นศัพท์ที่ท่านใช้เรียกพระอรหันต์ พ่อแม่เป็นผู้มีใจบริสุทธิ์ต่อลูก เป็นผู้มีจิตใจที่รู้สึกต่อลูก เหมือนกับเป็นผู้ปราศจากกิเลส ท่านมีความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่นำไปสู่การให้ ไม่ใช่ความรักที่จะเอา ทำให้ให้ได้โดยไม่ต้องหวังผลตอบแทน พ่อแม่มีเมตตากรุณาที่แท้จริง ไม่ได้หวังผลประโยชน์จากบุตรธิดา ดังนี้เป็นต้น

     ความมีใจบริสุทธิ์กับทั้งพร้อมที่จะให้และอภัยแก่ลูกนี้ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ท่านยกย่องพ่อแม่ให้เป็นพระอรหันต์ของลูก

@@@@@@@

เนื่องจากคุณธรรมและการทำหน้าที่ในฐานะเป็นพระพรหม เป็นบูรพาจารย์ และเป็นพระอรหันต์ของลูกนี้ จึงทำให้ครอบครัวมาระลึกถึงคุณความดีของท่านผู้ล่วงลับโดยประการต่างๆ แล้วจัดพิธีบำเพ็ญกุศลตามลำดับมา





ขอขอบคุณ :-
บทความ : จากหนังสือ "จะสุขแท้ต้องเป็นไท : ต้องสุขเองได้ จึงจะช่วยโลกให้เป็นสุข" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) | พระธรรมเทศนา ที่พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) แสดงในการบำเพ็ญ กุศลอุทิศ นางกิมวา แซ่อุ้ย ในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตอนค่ำ ก่อนวันฌาปนกิจศพ (๙ พ.ค. ๒๕๓๖)
website : https://www.watnyanaves.net/en/book-reading/117/2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 17, 2024, 07:33:35 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ