ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำบาปแล้วล้างบาป..ได้หรือไม่.?  (อ่าน 4218 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ทำบาปแล้วล้างบาป..ได้หรือไม่.?
« เมื่อ: ธันวาคม 26, 2024, 07:00:24 am »
0
.



ทำบาปแล้วล้างบาป..ได้หรือไม่.?
โพสต์โดย พุทธรักษา | วันที่  8 มี.ค. 2552

ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถาม บางศาสนาที่มีการล้างบาป เขาก็จะหายบาป แต่ศาสนาพุทธถือว่า เมื่อทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว ถ้าคนที่นับถือศาสนาที่ล้างบาปได้นั้นได้ตายลง โดยได้ทำบาปนั้นไปแล้ว แต่ก่อนตายได้ไถ่บาปให้พระเจ้าของเขาหมดแล้ว เขาจะต้องตกนรก หรือว่า จะต้องได้รับผลของบาปตามคำสอนของศาสนาพุทธหรือไม่.? เพราะเหตุใด.?

และอีกประการหนึ่ง คนที่นับถือศาสนาพุทธ ทำบาปแล้ว เกิดกลัวบาป จึงหันไปนับถือศาสนาที่ล้างบาปได้ แล้วไถ่บาปก่อนตายเขาจะพ้นจากบาป ที่ทำแล้วนั้นได้หรือไม่.?

ในเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงศาสนาใดๆ กล่าวกันแต่ "ความจริง" ดีกว่า ว่า บาป บุญ คืออะไร
บาป คือ อกุศลจิต และอกุศลกรรม เมื่อกระทำความชั่ว
บุญ คือ กุศลจิต และกุศลกรรม เมื่อกระทำความดี

การกระทำใดๆ นั้น เมื่อได้กระทำไปแล้วก็ไม่อาจที่จะเรียกร้อง ให้กลับคืนมาได้ ไม่ว่าการกระทำนั้น จะเป็นบุญ หรือบาป สมมติว่า เราตีเด็ก เด็กนั้นเจ็บ แล้วเราก็ขอโทษเด็ก ถึงเด็กจะไม่ถือโทษ คือ ยกโทษให้เราแต่เด็กก็ถูกตี เจ็บไปแล้ว เราเรียกเอากลับคืนไม่ได้

อาการตีและอาการเจ็บอันเกิดจากการตีนั้น กลับมาไม่ได้ ฉันใด การกระทำชั่วก็ตาม การกระทำดีก็ตาม เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ก็ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ ฉันนั้น

@@@@@@@

การกระทำชั่ว คือ บาป เมื่อมีกระทำลงไปแล้ว ผลของการกระทำชั่วนั้นต้องมี ลบล้างไม่ได้ ความดีและความชั่ว ไม่ใช่สิ่งของที่จะสามารถหยิบยื่นให้ใครๆ ก็ได้เมื่อต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบทิ้งไปได้เมื่อไม่ต้องการ

ทั้งนี้เพราะว่า ความดีความชั่วนั้นเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ที่มีรูปร่าง สัณฐาน แต่นามธรรมคือ ความดีความชั่วสะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้น เมื่อทำไปแล้ว ก็ไม่สูญหายไปไหน

เพราะเหตุที่ผลของบุญและบาปนี้ ไม่ได้หายไปไหน ผู้ที่ได้กระทำกรรมนั้นๆ แล้วจึงต้องรับทุกข์บ้าง สุขบ้าง คละเคล้ากันไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ตลอดชีวิต ไม่มีสักคนเลย ที่จะมีแต่สุข หรือมีแต่ทุกข์ อย่างเดียว

เพราะว่า ทุกคนล้วนเคยกระทำทั้งบุญและบาปมากมายนานแสนนาน ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ถ้าหากไถ่บาปได้ เราก็คงมีแต่ความสุข ไม่มีทุกข์เลย แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นเลย

ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ก็ยังคงได้รับผลของบาป คือ ความทุกข์ กันอยู่ทั้งนั้น มากน้อยตามแต่การสะสม การกระทำบาปของผู้นั้น เช่นที่เราได้ประสบพบเห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน แม้แต่คนที่นับถือศาสนาที่มีการล้างบาป ไถ่บาปได้ ก็ยังได้รับความทุกข์ เช่นเดียวกับคนในศาสนาอื่นๆ

ส่วนเรื่องการตกนรก หรือ ไม่ตกนรกนั้น ขึ้นอยู่กับว่า บาปที่ทำแล้วให้ผลในชาติต่อไปหรือไม่ ถ้าให้ผลนำเกิดก็ตกนรกได้ แต่ถ้ายังไม่ให้ผลก็ยังไม่ตกนรกในชาติต่อไป แต่อาจจะไปตกนรกในชาติต่อๆ จากชาติหน้าไปก็ได้  เมื่อบาปนั้นเป็นเหตุปัจจัยให้ผลนำเกิด




ด้วยเหตุนี้ การกระทำต่างๆ ที่ผู้ใดได้กระทำไปแล้ว จึงไม่สามารถที่จะเรียกคืนมาได้ หรือล้างไปเสียได้ ผลของการกระทำนั้นจึงยังอยู่แก่ผู้กระทำกรรมนั้น โดยมีการสะสมและสืบต่อไว้ในจิต เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ก็แสดงผลตามควรแก่เหตุ หากว่าผู้นั้นยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ ไม่ว่าผู้นั้นจะนับถือศาสนอะไร หรือ ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็ตาม

พระพุทธศาสนานั้นสอนแต่ความจริง ซึ่งเป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เป็นสัจจะ ทุกกาล ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หรืออำนาจของผู้ใดทั้งสิ้น ทุกชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม คือ การกระทำที่ตนได้ทำไว้ และจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็เพราะการกระทำของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเป็นทายาทของกรรม คือ ผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด(เป็นผู้นำเกิด) มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เมื่อทำกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ ก็ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมดีและกรรมชั่วนั้นด้วยตัวเอง นี่เป็นความจริง ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

บุญและบาป จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใดๆ เลย แม้แต่ศาสดาผู้สอนศาสนาเองก็ไม่อาจลบล้าง "ความจริง" นี้ได้ ศาสดาใดเข้าถึงความจริง ศาสดานั้นก็สอนความจริงแก่สาวก ศาสดาใดเข้าไม่ถึงความจริง ศาสดานั้นก็ไม่อาจสอน "ความจริง" แก่สาวกของตนได้


@@@@@@@

จริงอยู่ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนกระทำดี แต่ว่าจะดีแค่ไหน ดีอย่างไร ดีได้ถึงที่สุดหรือไม่ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งควรพิจารณาด้วยปัญญา ความจริงแล้วพระพุทธศาสนามิได้สอนเพียงว่าไม่พึงทำบาปเพียงเท่านั้น แต่ยังสอนให้รู้หนทางที่จะไม่ต้องทำบาปอีกเลย แต่มิใช่ด้วยการล้างบาปหรือด้วยการไถ่บาปที่ได้กระทำแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ศาสนาพุทธสอนให้ละคลายบาปอกุศลธรรมด้วย "ปัญญา" โดยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ จนกว่าปัญญาจากการอบรมเจริญวิปัสสนาภาวนาจะคมกล้า สมบูรณ์พร้อม สามารถดับกิเลสได้ โดยสิ้นเชิง และไม่เกิดอีกเลย เป็นผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ หมดจด ปราศจากิเลส ก็คือ ผู้ที่บรรลุอรหัตตผล เป็นพระอรหันตขีณาสพ

นี่คือ วิธีละบาปในพระพุทธศาสนา "เป็นที่สุด แห่งความดีทั้งปวง"

ข้อความบางตอนจาก "คุยกันวันพุธ" เล่มที่ ๑๙" ฝั่งนี้ - ฝั่งโน้น" โดย คณะสหายธรรม





ขอบคุณที่มา : https://www.dhammahome.com/webboard/topic/11550
บ้านธัมมะ > กระดานสนทนา > กระทู้สนทนาธรรม 2552
ขอบคุณภาพจาก pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 26, 2024, 09:20:39 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ