ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สวดมนต์ ๓ ยุค : ก่อนพุทธกาล สมัยพุทธกาล หลังพุทธกาล  (อ่าน 1108 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



สวดมนต์ ๓ ยุค : ก่อนพุทธกาล สมัยพุทธกาล หลังพุทธกาล



 :25: :25: :25:

ความเป็นมาของการสวดมนต์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา

ความเป็นมาของการสวดมนต์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ผู้วิจัยสามารถแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา คือ

    1) การสวดมนต์ก่อนพุทธกาล
    2) การสวดมนต์ในสมัยพุทธกาล
    3) การสวดมนต์ในสมัยหลังพุทธกาล

มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

@@@@@@@

1. การสวดมนต์ก่อนพุทธกาล

ธรรมเนียมการสวดมนต์ หรือ การสาธยายมนต์ มีมาก่อนสมัยพุทธกาล โดยได้รับอิทธิพลความเชื่อในพระเวท (Vedism) หรือแบบลัทธิพราหมณ์ (Brahmanism) ที่เข้ามีอิทธิพลต่อการดําเนินชีวิต และเป็นกฎหมายขนบธรรมเนียมประเพณีที่พึงปฏิบัติ ทั้งที่เป็นความเชื่อที่ได้ยินมาโดยตรงจากพระเจ้า และที่จดจําสืบต่อกันมา (ที่จําได้) (ศรีสุรางค์ พูล ทรัพย์, 2537 : 13)

โดยอ้างว่า คําที่นํามาแต่งนั้นได้มาจากการสั่งสอนหรือการอนุญาตของพระพรหม ซึ่งเป็นพระเจ้าสูงสุดอยู่บนสรวงสวรรค์ ได้รับการยอมรับว่า พราหมณ์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเสมือนตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้สวดบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์สรรเสริญเทพเจ้า หรือเป็นกวีที่ได้รับการดลบันดาลจากเทพเจ้าให้แต่งบทสวดพระเวท

แต่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีการระบุว่า ฤาษียุคโบราณเป็นผู้แต่งคัมภีร์พระเวท และเป็นปฐมาจารย์และบูรพาจารย์ผู้สอนคัมภีร์พระเวทให้แก่ พราหมณ์**

@@@@@@@

สรุปได้ว่า การสวดมนต์นั้นมีมาตั้งสมัยก่อนพุทธกาล เมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลก จึงรับเอาวัฒนธรรมการสวดสาธยายหรือการท่องบนเพื่อจดจําคําสอนของศาสดามาด้วย ดังจะเห็นได้จากพระอริยสาวกสมัยพุทธกาลหลายรูปก่อนจะหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นพราหมณ์ผู้จบไตรเวท เมื่อเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาจึงมีทักษะใน

____________________________
**ฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษียมตัคคิ ฤาษีเวสสามิตตะ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ เป็นผู้แต่งมนตร์ เป็นผู้บอกมนตร์ที่พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม ; ม.ม. (ไทย) 13/427/537


การจดจําคําสอนพุทธวจนะเป็นอย่างดี ต่อเมื่อมีหน้าที่เป็นครูอาจารย์สอนพุทธบริษัทจึงทําหน้าที่ได้เป็นอย่างดี จึงกล่าวได้ว่า การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาน่าจะที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มาบ้าง ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้เพราะศาสนาพราหมณ์เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับการบูชาเทพเจ้าต่างๆ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ทําหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมโดยอ้างคําสอนที่ได้รับการถ่ายทอดมาโบราณจารย์ และปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเคร่งครัด ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด




2. การสวดมนต์ในสมัยพุทธกาล

ความเป็นมาของการสวดมนต์นั้นเริ่มต้นมาจากความพยายามในการจดจําคําสั่งสอนของพระพุทธองค์ของบรรดาพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาล กล่าวคือ ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนั้น พระสาวกแต่ละรูปแต่ละองค์จะช่วยกันจดจําพระธรรมคําสอนนั้น แล้วถ่ายทอดสู่ศิษยานุศิษย์ของตนโดยระบบจากครูสู่ศิษย์ กล่าวคือ

ครูฟังมาจากพระพุทธเจ้า นํามาเล่าให้ศิษย์ฟังศิษย์จําคําบอกเล่าของครู แล้วนําไปสวดสาธยายจนจดจําได้คล่องปาก ขึ้นใจ รักษาไว้แล้วจึงถ่ายทอดต่อให้คนอื่นๆ ในสํานักในเวลา ต่อมาเราเรียกกระบวนการทรงจําพระธรรมคําสั่งสอนแบบนี้ว่าเป็นระบบ“มุขปาฐะ” คือ ระบบจากปากสู่ปาก

ครั้นเวลาต่อมาจึงค่อยๆ มีการพัฒนาเป็นการแบ่งความรับผิดชอบกันทรงจําอย่างชัดเจน ในชั้นต้นนี้ ไม่มีประวัติเขียนเอาไว้ว่า มีการเขียนเป็นตัวอักษร มีแต่การทรงจําและบอกกล่าวถึงต่อกันมา และการทรงจํานั้นส่วนใหญ่ก็น่าจะทรงจํากันโดยอรรถ คือ เนื้อความ ไม่ได้ทรงจําพยัญชนะหรือถ้อยคําไว้อย่างครบถ้วน โดยมีการประชุมสงฆ์ จัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะ แล้วรับทราบทั่วกันในที่ประชุมนั้น ว่าตกลงกันอย่างนี้ แล้วก็มีการท่องจํานําสืบต่อๆ กันมา

@@@@@@@

ในชั้นเดิมการสังคายนาปรารภเหตุความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา จึงจัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะไว้ใน ครั้งต่อๆ มา ปรากฏมีการถือผิด ตีความหมายผิด ก็มีการชําระวินิจฉัยที่ถือผิดความหมายผิดนั้น ชี้ขาดว่าที่ถูกควรเป็นอย่างไร แล้วทําการสังคายนาโดยการทบทวนระเบียบเดิมบ้าง จัดระเบียบใหม่ในบางข้อบ้าง

ในชั้นหลังๆ เพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานข้อผิดในใบลานก็เรียกกันว่า “สังคายนา” ไม่จําเป็นต้องมีเหตุการณ์ แต่ความจริงเมื่อพิจารณารูปศัพท์แล้ว การสังคายนาก็เท่ากับการจัดระเบียบ ปัดกวาดให้สะอาด ทําขึ้นครั้งหนึ่งก็มีประโยชน์ครั้งหนึ่ง เหมือนการทําความสะอาดการจัดระเบียบที่อยู่อาศัย (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2554)

การสวดมนต์จึงเป็นเรื่องที่เนื่องมาจากการที่ได้สดับฟังคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงสั่งสอนด้วยพระโอษฐ์ และก็มีผู้จดจํากันไว้ จําได้ก็มาสวดสั่งสอนกันและก็สังคายนา ในครั้งแรกๆ ก็ยังไม่จารึกเป็นตัวอักษร ก็มีการสวดขึ้นพร้อมๆ กันในข้อพระธรรมข้อพระวินัยนั้นๆ ซึ่งได้ประชุมรับรองกันแล้ว เพื่อให้มีความจําเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ติดต่อกัน ธรรมเนียมสวดมนต์จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมา และสามารถรักษาพระธรรมวินัยได้อย่างสมบูรณ์ประการหนึ่ง





3. การสวดมนต์ในสมัยหลังพุทธกาล

หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหาเถระผู้เป็นหลักในการทําปฐมสังคายนา ก็พยายามรักษาความเป็นไปของพระพุทธศาสนาให้มีสภาพเหมือนกับครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพระธรรมวินัย การสืบต่อคําสอน ศาสนพิธีหริอพิธีกรรมต่างๆ ก็ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม

อย่างไรก็ตาม พบว่า พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา หรือกิจกรรมเชิงพระพุทธ ศาสนาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศศรีลังกา เมื่อครั้งทําสังคายนาครั้งที่ 3 กิจกรรมของชาวพุทธที่ถูกกล่าวถึงมาก คือ การเข้าวัดมาศึกษาปฏิบัติธรรม รักษาศีล ศึกษาธรรมและการไหว้พระสวดมนต์ที่วัด

นอกจากนี้จากหลักฐานเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ชาวพุทธศรีลังกา เป็นชาวพุทธโดยสายเลือด ไม่ได้เป็นชาวพุทธตามสําเนาทะเบียนบ้านแบบคนไทย จึงมีความรัก ความหวงแหน และความผูกพันในพระพุทธศาสนามาก

@@@@@@@

สาเหตุที่ชาวพุทธศรีลังกาหวงแหนพระพุทธศาสนามาก เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกเบียดเบียนบีบคั้นจากศาสนาอื่น ดังกรณีนโยบายการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของโปรตุเกสด้วยวิธีการที่รุนแรง มีการทําลายวัดเจดีย์ เผาทําลายคัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนา หรือแม้กระทั่งการทําลายพระสงฆ์ (ดนัย ปรีชาเพื่มประสิทธิ์, 2555)

เมื่อหลุดพ้นจากอิทธิพลของต่างศาสนา จึงส่งให้ชาวพุทธในประเทศศรีลังการักและหวงแหนพระพุทธศาสนามาก วิถีชีวิตชาวพุทธในลังกายังเป็นพุทธที่บริสุทธิ์ ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด สวดมนต์ไหว้พระอย่างสม่ําเสมอ





ความเป็นมาของการสวดมนต์ในสังคมไทย

พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ.236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช

สําหรับประวัติการเข้ามาของความนิยมเรื่องการสวดมนต์ในสังคมไทยนั้น พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) (2549) ได้ให้คําอธิบายว่า

การสวดมนต์เข้ามาสู่สังคมไทยภายหลังจากได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาเถรวาทตามคติของลังกาวงศ์ สังคมไทยกับความเชื่อเรื่องการสวดมนต์นั้น เราจะพบว่า แม้ว่าสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงมากอย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่มีต่อการสวดมนต์นั้น ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงและได้รับการสืบทอดกันมาโดยตลอด จากรุ่นสู่รุ่น

@@@@@@@

โดยภาพรวมของการสวดมนต์ในสังคมไทย ด้านความเชื่อต่อการสวดมนต์ มีดังนี้

    1) เชื่อว่าการสวดมนต์เป็นการรักษาคําสอน (มุขปาฐะ)
    2) เชื่อการสวดมนต์ทําให้ได้บุญ มีสุคติเป็นที่หวัง
    3) เชื่อว่าการสวดมนต์สามารถคุ้มครองตนเองให้ปลอดภัยได้
    4) เชื่อว่าการสวดมนต์สามารถแก้ไขปัญหาสังคม เช่น โรคระบาดได้
    5) เชื่อว่าการสวดมนต์ทําให้มีลาภสักการะได้

ซึ่งความเชื่อต่างๆ ดังกล่าวทั้งหมดนั้นเอง ที่ยังคงทําให้สังคมไทยยังคงรักษาวัฒนธรรมทางความเชื่อในรูปแบบการสวดมนต์ไว้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง





ขอบคุณที่มา :-
สารนิพนธ์ เรื่อง "พัฒนาการรูปแบบการสวดมนต์ในสังคมไทยปัจจุบัน"
โดย พระครูโอภาสธรรมพิทักษ์ (เสียม เตชธมฺโม) เจ้าคณะอําเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
วารสาร มจร พุทธปํญญาปริทรรศน์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน 2559)
ขอบคุณภาพจาก pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 30, 2025, 09:31:57 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ