.
ทำขวัญนาคให้ลูกของแม่-นางนาค
ประเพณีบวชสมัยก่อนใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน คือวันแรกทำขวัญ วันที่สองบวช วันที่สามฉลองพระ
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไป บางรายทำขวัญตอนสายแล้วบวชตอนบ่ายวันเดียวกัน แต่บางรายไม่ทำขวัญ เมื่อโกนหัวก็แห่เข้าโบถส์บวชเลยก็ได้
ตามประเพณีเก่า วันแรกทำขวัญนาคตอนกลางคืน เพราะว่าพรุ่งนี้คือวันบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา นับเป็นวันสำคัญ คำทำขวัญนาคบอกว่า
“…พ่อนาคเอ่ย วันพรุ่งนี้แล้วพ่อจะบรรพชาสิ้นมัวหมอง ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ห่มครองเป็นภิกษุสงฆ์ นับเข้าเป็นญาติโดยตรงกับพระศาสนา อันหมู่มารร้ายนานาจงแพ้พ่าย…”
ฉะนั้น วันนี้ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น ทำขวัญ ฯลฯ เพื่อให้ผู้จะบวชในวันพรุ่งนี้รำลึกถึง
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญและควรแก่การรำลึกถึงก็คือความเป็นมนุษย์ คำทำขวัญบอกว่า
“…พ่อนาคเอ่ย อันการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้นับว่ายาก โดยอเนกจำนวนส่วนมากมักไปต่ำ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะอดีตอกุศลกรรมนำส่ง ให้ลงไปสู่ภูมิต่ำในอบายเหลือจะนับ นี่เป็นเพราะผลแห่งกุศลจึงได้กลับเกิดมาเป็นคน”
แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือเป็นคนมีบุญ ได้พบพระพุทธศาสนา นับว่าพ่อนาคมีบุญมากจึงจะได้บวช ดังคำทำขวัญพรรณนาว่า
“การที่จะได้พบพระพุทธศาสน์ก็ยิ่งล้นยากแสนยาก แม้ครั้งพุทธกาลก็มีอยู่มากเดียรถีย์ จึงนับว่าพ่อนาคนี้พ่อมีบุญ ได้เป็นหน่อเนื้อเชื้อพุทธางกูรอริยวงศ์ พ่อจึงมิได้ไปใหลหลงให้เนิ่นนาน”
“คนมีบุญ” ที่จะได้บวชต้องเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แต่พื้นฐานทางสังคมของภูมิภาคอุษาคเนย์ให้ความสำคัญผู้หญิงสูงกว่าผู้ชาย เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมจำเป็นต้องปรับประเพณีมิให้ขัดแย้งกัน นั่นก็คือยกย่อง “คนมีบุญ” นั้นแท้ที่จริงมีปฏิสนธิแล้วถือกำเนิดมาจากผู้หญิงผู้เป็นแม่นั่นเอง
ถ้าพิจารณาอีกทางหนึ่ง ประเพณีทำขวัญนาคก็คือ พิธีให้ความสำคัญแก่ผู้เป็นแม่ เพราะวันพรุ่งนี้เมื่อนาคเข้าโบสถ์แล้วแม่จะหมดหน้าที่ ความสำคัญจะโอนไปอยู่ที่พ่อซึ่งเป็นผู้ชาย
@@@@@@@
พิธีทำขวัญที่ให้ความสำคัญผู้เป็นแม่ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ มีคำทำขวัญพรรณนาเป็นลำดับดังนี้
เรื่องปฏิสนธิ
…พ่อนาคเอ่ย
เมื่อพ่อนาคจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา
วิญญาณพ่อจะเวียนมาอยู่ตามทิศ
ครั้นเมื่อแม่เอนกายสนิทลงหลับไหล
ปฏิสนธิวิญญาณจึงเข้าสู่ได้ทางจมูก
ถ้าเป็นหญิงก็เข้าถูกทางเบื้องซ้าย
หากแต่ว่าพ่อนี้เป็นชายทางเบื้องขวา
ปฏิสนธินี้จึงบันดาลให้มารดานิมิตฝัน
ถ้าหากได้แก้วอันแพรวพรรณก็เป็นชาย
หากได้แหวนเครื่องอาภรณ์ท่อนสไบกลายเป็นหญิง
…ว่าครุวนาดังน้ำล้างเนื้อ
ก่อตั้งขึ้นนับเป็นเยื่อหน้าผากก่อน
ต่อจากนั้นจึงค่อยแตกตอนเบญจสาขา
มีรูปร่างครบอาการมาสามสิบสอง
นั่งผินหลังให้ทางหน้าท้องของมารดา
ประดุจวานรที่หวาดผวากลัวฝน
เข้าหลบลี้หนีซ่อนตนในโพรงพฤกษา
@@@@@@@
ตามคำโบราณท่านกล่าวมาเป็นดังนี้
บัดนี้ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวอีกทีถึงปัจจุบัน
เพื่อให้รู้ทั่วกันประดับไว้
แพทย์พิสูจน์ว่าสตรีนั้นมีไข่ได้โปรดฟัง
ไข่นั้นตั้งอยู่ที่รังที่ปีกมดลูก
มีเอ็นยึดดังผูกไว้สองข้าง
ตัวมดลูกนั้นมีรูปร่างคล้ายค้างคาว
ปลายที่สุดคือปากมดลูกนั้นเล่าจรดช่องคลอด
ปีกทั้งสองข้างคือที่ก่อหวอดตั้งรังไข่
ยามเมื่อสตรีเจริญวัยสู่ความสาว
ครั้นเมื่อประจำเดือนมานั้นเล่าเกิดรังไข่
ไข่จะสุกทุกคราวไปยี่สิบแปดวัน
พอสุกแล้วก็เลื่อนหลั่นลงมากลางมดลูก
รออยู่ที่จะผสมให้เกิดลูกกับเชื้อชาย
เมื่อไม่ได้ผสมก็ฝ่อไหลไปกับประจำเดือน
เป็นที่สุดหยุดเคลื่อนตั้งต้นใหม่
อันเชื้อของฝ่ายชายแพทย์มุ่งมอง
เมื่อนำมาส่องด้วยกล้องจึงเห็นครบ
ว่ามีรูปร่างเหมือนลูกกบมีหางยาว
เมื่อจะผสมก็ว่ายเข้าทางมดลูก
พบเมล็ดไข่ที่สุกก็กัดหาง
แล้วจึงแฝงตัวฝังในเมล็ดไข่
จึงเกิดแววขึ้นข้างในแต่โดยพลัน
แล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นทุกคืนวันกลายเป็นหัว
ต่อมาก็เกิดลำตัวหุ้มภายใน
@@@@@@@
เมื่อตั้งครรภ์แล้วก็ถึงเวลาแพ้ท้อง จนกระทั่งคลอด หมอขวัญจะพรรณนาเป็นขั้นเป็นตอน มีตัวอย่างตอนคลอดดังนี้
พอมีลมกัมมัชวาตมาพัดพาเป็นยามปลอด
พ่อร้อยชั่งพ่อก็คลอดเคลื่อนออกมา
เป็นเพศชายร่างโสภางามยิ่งนัก
แม่นี้ให้แสนนึกรักดังดวงใจ
เอาลงอ่างอาบน้ำใสแล้วขัดสี
ขมิ้นดินสอพองขยี้ชโลมถู
แล้วก็นำพ่อลงใส่อู่เปลที่นอน
ยามเมื่อเจ้าร้องไห้อ้อนทำโยเย
แม่ก็แกว่งไกวเปลแล้วเห่กล่อม
หากเมื่อยามพ่องามละม่อมเจ้าผวา
แม่ก็กอดเจ้าเข้าไว้แนบอุราอกสัมผัส
ในเมื่อเจ้านี้เป็นหวัดได้รัดรุม
แม่ก็จะหายาเอาสุมให้ผ่อนคลาย
จนพ่อเติบโตเจริญวัยถึงเพียงนี้
@@@@@@@
จากนั้นก็เชิญขวัญ เบิกบายศรี แล้วทำพิธีเวียนเทียนด้วยการขับร้องและบรรเลงเพลงนางนาค
พิธีทำขวัญแต่ก่อนร่อนชะไรไม่ซับซ้อน เป็นพิธีพื้นๆ ง่ายๆ ในหมู่บ้านที่มีแต่ฝูงเครือญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น
ครั้นนานวันเข้าก็ถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมให้ซับซ้อนขึ้น โดยรับคติทางศาสนาที่รู้จักกันครั้งนั้นเข้ามาประสมประสาน เช่น พิธีพราหมณ์ ฉะนั้นจึงมีบายศรีเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไป แล้วมีแว่นเวียนเทียนเป็นเครื่องประกอบ
บายศรี เป็นคำเขมรปนสันสกฤต หมายถึงข้าวขวัญ จัดไว้ในกระทงใบตอง ภายหลังจึงหมายรวมถึงกระทงใส่เครื่องสังเวยในพิธีทำขวัญ
การจัดบายศรีเป็นอย่างพราหมณ์ที่รับเข้ามาในพิธีพุทธ แล้วรวมกับพิธีผีที่เป็นระบบความเชื่อท้องถิ่น เหตุนี้ในพิธีทำขวัญนาคจึงให้ความสำคัญแก่บายศรีและเวียนเทียน
เมื่อจะเวียนเทียน นอกจากหมอขวัญผู้เป็นประธานพิธีแล้ว บรรดาญาติมิตรและเพื่อนบ้านจะต้องเข้าร่วมในสถานพิธีทำขวัญด้วย
ครั้นได้ฤกษ์หรือเวลาที่นัดหมาย หมอขวัญจะเริ่มพิธีคือจุดเทียนที่แว่น แล้วส่งให้ผู้เข้าร่วมพิธีที่นั่งล้อมวงอยู่และส่งต่อๆ กันไปให้แว่นเทียนเวียนรอบผู้รับทำขวัญเป็นทักษิณาวรรตจนครบ ๓-๕-๗ หรือ ๙ รอบ ตามแต่จะนิยม
@@@@@@@
มีกลอนเสภาขุนช้างขุนแผนของสุนทรภู่ ตอนกำเนิดพลายงาม บรรยายพิธีทำขวัญเวียนเทียนตอนหนึ่งว่า
แล้วจุดเวียนเทียนวงส่งให้บ่าว
มันโห่กราวเกรียวลั่นสนั่นไหว
คอยรับเทียนเวียนส่งเป็นวงไป
แล้วดับไฟโบกควันให้ทันที
เมื่อเริ่มพิธีเวียนเทียนนี่แหละ ดนตรีก็เริ่มบรรเลงและขับร้องทำเพลงนางนาค แต่ปัจจุบันนิยมเรียกว่าเพลงเรื่องทำขวัญ เพราะมีการปรับปรุงลำดับเพลงให้มีหลายๆ เพลงบรรเลงต่อเนื่องกันไปจนกว่าจะเสร็จพิธี จะได้ไม่เบื่อ
ตามปกติขนบของวงดนตรีไทยโดยเฉพาะวงปี่พาทย์ ไม่ว่าจะบรรเลงเพลงเรื่องหรือเพลงชุดใดๆ ที่เกี่ยวกับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ จะต้องบรรเลงเพลงสาธุการเป็นเพลงแรก เพราะเป็นเพลงสัญลักษณ์ของการน้อมนมัสการพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือเป็นสิริมงคล จากนั้นจึงบรรเลงเพลงอื่นๆ เรียงลำดับไปตามแบบแผนที่กำหนดมาแต่โบราณ
มีแต่เพลงชุดทำขวัญนี้เท่านั้นไม่เริ่มด้วยเพลงสาธุการ แต่เริ่มด้วยเพลงนางนาคเป็นเพลงแรก เพื่อให้หมายถึงการแสดงความอ่อนน้อม และวิงวอนร้องขอความมั่นคงและมั่งคั่งหรือความอุดมสมบูรณ์จาก “นาค” หรือ “เจ้าแม่” ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินและแผ่นน้ำให้แก่ผู้รับทำขวัญ
@@@@@@@
อ่านเพิ่มเติม :-
• “เหรา” ในพิธีแย่งศพ(มอญ) และนัยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในตำนาน “พระทองนางนาค” เขมร
• โหราศาสตร์ กับข้อห้าม แต่งงานวันพุธ-เผาผีวันศุกร์-ขึ้นบ้านใหม่วันเสาร์ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 6 กรกฎาคม 2560
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_10523