ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรมศิลป์บูรณะ ‘พระพุทธสิหิงค์’ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วังหน้า ใช้เวลา 4 เดือน  (อ่าน 937 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



กรมศิลป์บูรณะ ‘พระพุทธสิหิงค์’ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วังหน้า คาดใช้เวลา 4 เดือน

หลังพบสภาพปัจจุบันของพระพุทธสิหิงค์เกิดความชำรุด พื้นผิวหมองคล้ำ มีรอยขูดขีด รอยถลอก พบสนิมคอปเปอร์ซัลเฟต กระจายทั่วพื้นผิว มีรอยแตกร้าว บางจุดสีพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ พระเนตรแตกหลุดบางส่วน

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่วังหน้า ก่อนดำเนินการอนุรักษ์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร





นายพนมบุตร กล่าวว่า กรมศิลปากรได้จัดทำโครงการอนุรักษ์พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยใช้วีธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ เสริมความมั่นคงแข็งแรง และปรับสภาพพื้นผิวให้มีความกลมกลืน เงางาม ด้วยวิธีการและสารเคมีที่เหมาะสม ปลอดภัยต่อโบราณวัตถุและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ โดยไม่เกิดผลกระทบต่อเนื้อโลหะและวัสดุดั้งเดิม ให้พระพุทธสิหิงค์กลับมามีสภาพสวยงาม คงหลักฐานความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด และป้องกันการเสื่อมสภาพในอนาคต

ซึ่งพระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานปัทม์ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ มีพระรัศมีคล้ายเปลวเพลิง กำหนดอายุในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20–พุทธศตวรรษที่ 21 รูปแบบศิลปะสุโขทัย-ล้านนา สร้างจากโลหะผสมของทองแดง พื้นผิวเป็นสีทอง ด้วยวิธีการกะไหล่ทอง หรือเรียกว่าเทคนิคเปียกทอง ตั้งแต่พระรัศมีจนถึงฐาน พระเนตรใช้เทคนิคคล้ายการลงยาสี

สภาพปัจจุบันของพระพุทธสิหิงค์เกิดความชำรุด พื้นผิวหมองคล้ำ มีรอยขูดขีด รอยถลอก พบสนิมคอปเปอร์ซัลเฟต ลักษณะเป็นจุดสีดำนูนขนาดเล็ก กระจายทั่วพื้นผิว มีรอยแตกร้าว บางจุดสีพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ พระเนตรแตกหลุดบางส่วน จึงเกิดแนวคิดที่จะคืนความสมบูรณ์งดงามของพระพุทธสิหิงค์ด้วยวิธีการกะไหล่ทอง แต่การกะไหล่ทองจะต้องใช้น้ำ ความร้อน กรดเข้มข้น ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวดั้งเดิม โดยเฉพาะพื้นผิวโลหะที่มีความชำรุด แตกร้าว สึกกร่อนอยู่เดิม หากถูกความร้อน สารละลายกรดต่างๆ จะมีโอกาสทำให้ชำรุดเสียหายเพิ่มมากขึ้น ตามรายงานการสำรวจสภาพพระพุทธสิหิงค์และผลกระทบของการกะไหล่ทองของกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมื่อช่วงต้นปี 2567







นายพนมบุตร กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงได้มอบหมายกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ ทำการอนุรักษ์ซ่อมแซมพระพุทธสิหิงค์ ฐาน และ ฉัตร ด้วยการรักษาสภาพพื้นผิว ทำความสะอาดและกำจัดสนิม เสริมความมั่นคงแข็งแรง อุดซ่อมรอยแตกร้าวเท่าที่จำเป็น และปรับสภาพพื้นผิว เติมส่วนที่หายไป ด้วยวิธีการ วัสดุและสารเคมีที่เหมาะสม ส่งผลกระทบกับพื้นผิวดั้งเดิมให้น้อยที่สุด และคงไว้ซึ่งความเป็นของแท้ดั้งเดิม

พร้อมทั้งให้ตรวจสอบ เก็บข้อมูลปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณก๊าซ มลพิษที่ก่อให้เกิดสนิมบนพื้นผิว รวมถึงกิจกรรมที่มีโอกาสส่งผลกระทบกับการเสื่อมสภาพของพระพุทธสิหิงค์ รวมถึงจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล หลักฐาน ขั้นตอนการอนุรักษ์พระพุทธสิหิงค์ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไปในอนาคต คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 4 เดือน

อย่างไรก็ตาม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์องค์จำลอง มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการะในระหว่างดำเนินการบูรณะพระพุทธสิหิงค์ สำหรับผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนบูรณะองค์พระพุทธสิหิงค์ สามารถร่วมบริจาคโดยบูชาวัตถุมงคลพระพุทธสิหิงค์ ได้ที่ ฝ่ายพัสดุ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง ชั้น 3 กรมศิลปากร เทเวศร์ สอบถามโทร. 0-2126-6559 หรือ facebook page พระพิฆเนศ 108 ปี กรมศิลปากร






Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/4357934/
ข่าว > การศึกษา-ศาสนา | 3 ก.พ. 2568 • 15:30 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2025, 06:13:26 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ