« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2025, 09:43:22 am »
0
.
สรุปสาระสำคัญ : ลำดับของวิสุทธิ ๗
ความหมดจดของการปราศจากกิเลสอย่างละเลียดทางกาย จิตเป็นเหตุให้เกิดความบริสุทธิ์แห่งปัญญาที่นำไปสู่มรรคผลนิพพาน โดยขั้นตอนแห่งวิสุทธิ ๗ คือ
๑) ศีลวิสุทธิ
เจตนาที่งดเว้นจากความชั่วและทุจริต ในการสำรวมระวังที่จะไม่ประพฤติล่วงละเมิดทางกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ปฏิบัติอยู่ในสังวรศีล เป็นความบริสุทธิ์หมดจดในศีลของตนที่เรียกว่า จตุปาริสุทธิศีล คือ ปาโมกขสังวรศีล อินทรีย์สังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยสันนิสสิตศีล คือ
เจตนาที่จะงดเว้นจากความชั่วและทุจริต สำรวมระวังในการที่จะไม่ล่วงละเมิด โดยการงดเว้นไม่ล่วงละเมิดกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ และการงดเว้นจากมโนทุจริต ๓ เรียกว่า เป็นศีลวิสุทธิ
พร้อมทั้งความสำรวมระวังกาย วาจา ใจ เรียกว่า สังวรศีล
เป็นการสำรวมระวังให้เกิดความบริสุทธิ์ ได้แก่ จตุปาริสุทธิศีล
๒) จิตตวิสุทธิ
เป็นจิตที่อันบริสุทธิ์สะอาดหมดจดปราศจากโลภะ โทสะ โมหะนิวรณ์ธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมองไม่สามารถที่เกิดขึ้นได้ทุกขณะที่จิตกำลังปฏิบัติสมาธิเข้าไปเพ่งจนแนบแน่นในอารมณ์กรรมฐาน อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิที่ได้ในเวลาปฏิบัตินั้น เป็นสมาธิขั้นต้นและจะใช้เป็นจุดตั้งต้นในประโยชน์ต่อการปฏิบัติให้ได้ผลดี เพราะมีสภาวะสำรวมควรรู้ยิ่งชื่อว่า จิตตวิสุทธิ
๓) ทิฏฐิวิสุทธิ
เป็นความเห็นทีปรากฏขึ้นด้วยวิปัสสนาญาณโดยมีนามปริเฉทญาณเป็นญาณที่กำหนดรู้รูปนาม เป็นปัญญาที่รู้เห็นรูปนามเป็นเพียงแค่รูปนามพร้อมทั้งละสมมติบัญญัติโดยปราศจาก บุคคล ตัวตน เราเขา ไม่มีความเห็นที่เห็นตัวคนสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายนั้นเป็นเพียงแค่สมมติขึ้นเท่านั้น เป็นแค่การบัญญัติขึ้นโดยตามความเป็นจริงแล้วมีแค่รูปนามขันธ์เท่านั้น
คนที่ปฏิบัติได้ถึงสำเร็จญาณและปัญญาที่เห็นย่อมเข้าใจได้ว่ ามนุษย์ทั้งหลายนั้นมีเพียงแค่ขันธ์ ๕ หรือรูป ตัว ตนบุคคล เรา เขา ไม่มีอยู่เป็นเพียงขันธ์ ๕ ประกอบรวมตัวกันไว้เท่านั้น ความเห็นนี้เรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิเป็นความเห็นที่หมดจดความบริสุทธิ์ของการเห็นที่ถูกต้องในการปฏิบัติ
๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ
การพิจารณาลงไปถึงเหตุปัจจัยที่ได้แยกออกแล้วว่า กายกับใจแต่ละอย่างนี้มีเหตุปัจจัยสร้างปรุงกันมาอย่างไร จึงมองเห็นลึกลงอีกว่า อวิชชา ตัณหาอุปาทาน กรรมอาหาร เหล่านี้เป็นต้น ในอดีตที่ล่วงผ่านมาแล้วนั้นรูปนามทุกๆ รูปนามมีเหตุและผลซึ่งกันและกันอย่างที่กล่าวมา และรูปนามทั้งหลายนั้นยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดไป
การที่จะสิ้นความสงสัยว่า เดี๋ยวนี้เราเป็นอะไร เคยเป็นเช่นไรมา และจะเป็นอะไรต่อไปในกาลครั้งหน้า หรือความสงสัยว่าเรามาจากที่ใดจะไปสู่ที่ใด ความสงสัยต่างๆ เหล่านี้จะสิ้นไป เพราะผู้นั้นได้รู้เห็นปัจจัยของรูปนามอย่างแจ้งชัด
๕) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปัญญาที่เข้าไปกำหนดรู้ลักษณ์ในธรรมทั้งหลาย เช่น รูปมีลักษณะเสื่อมสลายไป มีเวทนาในการเสวยอารมณ์เป็นความรู้เห็น ดังนี้ คือ
ญาตปริญญาเป็นการกำหนดรู้สิ่งที่ปรากฏขึ้นอยู่
ส่วนปัญญาที่เป็นวิปัสสนาโดยมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ โดยการยกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ขึ้นสู่สามัญลักษณะโดยการพิจารณา รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง การพิจารณาเช่นนี้เรียกว่า ดีรณปริญญาณ
แต่วิปัสสนาที่มีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ เป็นไปด้วยการละความหมายรู้ความที่รู้ว่าเที่ยง เป็นต้น ในธรรมทั้งหลายชื่อว่า ปหานปริญญา
เป็นหนทางในการหมดจดอันบริสุทธิ์ในทางแสงสว่าง เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง การใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้นั้น ก็ไม่ใช่ทางปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่การกำหนดรู้รูปนามตามความเป็นจริงโดยไม่ใสใจสิ่งนั้น จึงเป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้องการเห็นเช่นนี้เรียกว่า มัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ
๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
อารมณ์ของวิปัสสนา คือ ไตรลักษณ์ในรูปนามเป็นตัวรู้ เมื่อปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรจนวิปัสสนาเกิดปัญญาที่ปราศจากอุปปกิเลสจนถึงอนุโลมญาณจัดเข้าในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิรวมวิปัสสนาญาณไว้ถึง ๙ ญาณ ได้แก่ อุทยัพพยญาณที่ ปราศจากวิปัสสนูปกิเลส ภังคญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ และอนุโลมญาณ คือ
เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณก็โน้มน้อมแล่นมุ่ง ตรงสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไปเป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ
ต่อจากอนุโลมญาณ ก็จะเกิดโคตรภูญาณ ญาณครอบโคตร คือ ญาณที่เป็นหัวต่อ ระหว่างภาวะปุถุชน กับภาวะอริยบุคคลมาคั่นกลาง แล้วจึงเกิดมรรคญาณ ให้สำเร็จความเป็นอริยบุคคลต่อไป โคตรภูญาณนี้ อยู่ระหว่างกลางไม่จัดเข้าในวิสุทธิ ไม่ว่าข้อ ๖ หรือข้อ ๗ แต่ให้นับเข้าเป็นวิปัสสนาได้ เพราะอยู่ในกระแสของวิปัสสนา
๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ
เป็นปัญญาชั้นสูงสุดของการเจริญวิปัสสนาจนสามารถเห็นอริยสัจทั้ง ๔ ครบถ้วน ดั้งแต่ศีลวิสุทธิถึงปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินั้น รู้อริสัจเพียงแค่ ๒ สัจจะ รู้ทุกขสัจจกับสมุทัยสัจจ ส่วนญาณทัสสนวิสุทธิเป็นโลกุตตรวิสุทธิ เพราะว่ารู้แจ้งอริยสัจจ์ครบทั้ง ๔
ดังนั้น วิสุทธิทั้ง ๗ จึงเป็นปัจจัยสิ่งกันและกันตามลำดับ เป็นเป้าหมายยังกาย ยังวาจา ยังใจให้เข้าถึงจะ...
- สำรวจทบทวนดูมรรค ๑
- สำรวจทบทวนดูผล ๑
- สำรวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ละได้แล้ว ๑
- สำรวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ ๑
- สำรวจทบทวนดูพระนิพพาน ๑
ด้วยการเกิดขึ้นของชวนจิตเหล่านั้น เพราะว่า พระอริยบุคคลท่านนั้น...
- สำรวจทบทวนดูมรรคว่า ข้าพเจ้ามาด้วยมรรคนี้แน่แล้ว ๑
- จากนั้นก็สำรวจทบทวนดูผลอานิสงส์ดังนี้ข้าพเจ้าได้รับแล้ว ๑
- จากนั้นสำรวจทบทวนดูกิเลสที่ละได้แล้วว่า กิเลสทั้งหลายชื่อนี้ๆ ข้าพเจ้าละได้แล้ว ๑
- จากนั้นสำรวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ต้องฆ่าด้วยมรรค ๓ เบื้องสูงว่า กิเลสทั้งหลายชื่อนี้ๆ ของข้าพเจ้ายังเหลืออยู่ ๑
- และในที่สุดก็สำรวจทบทวนดูพระอมตนิพพานว่า พระธรรมนี้ ข้าพเจ้าแทงตลอดโดยอารมณ์แล้ว ๑ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
ที่มา : วิทยานิพนธ์ เรื่อง "หลักวิสุทธิกับการเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์วิสุทธิมรรค" โดย พระเทพ โชตฺตินฺธโน (ถาจ) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย