.
สมาธิสั้นในผู้ใหญ่ กระทบต่อการใช้ชีวิตรอบด้าน แต่รักษาได้โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder) นอกจากเกิดขึ้นกับเด็กหรือวัยเรียนแล้ว โรคนี้ก็ส่งผลกระทบต่อวัยผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยพบว่าผู้ที่เป็นสมาธิสั้นในวัยเด็ก 60-70% ยังคงมีอาการบางอย่างหลงเหลืออยู่เมื่อโตขึ้น และมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในหลายด้าน
โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. มีอาการสมาธิสั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่ได้รับการรักษามาเป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ที่มีโรคสมาธิสั้นประเภทนี้ จะสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ อาจมีอาการสมาธิสั้นหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถควบคุมตัวเองได้
2. มีอาการสมาธิสั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคสมาธิสั้นประเภทนี้ยังสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ แต่อาจมีพัฒนาการช้าหรือมีอารมณ์ซึมเศร้า ต้องรับประทานยาเป็นประจำและต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
3. มีอาการสมาธิสั้นตั้งแต่เด็กแบบไม่รู้ตัว ไม่ได้รับการรักษาจนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการสมาธิสั้นจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การทำงาน รวมไปถึงการเข้าสังคม
@@@@@@@
อาการสมาธิสั้นในผู้ใหญ่
มักจะมีอาการแตกต่างจากวัยเด็ก และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตหลายด้าน โดยอาการหลักๆ ประกอบด้วย
สมาธิสั้นในผู้ใหญ่ กระทบต่อการใช้ชีวิตรอบด้าน แต่รักษาได้
- วอกแวกง่าย ฟังอะไรจับใจความไม่ค่อยได้
- ทำงานไม่เสร็จทันเวลาที่กำหนด
- ไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้
- ทำงานผิดพลาดบ่อย
- หาอะไรไม่ค่อยเจอ
- ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมเริ่มทำงาน
- ไปทำงานสายเป็นประจำ
- หุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ
- อารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย หายเร็ว
- มีปัญหากับคนรอบข้างบ่อยๆ
- เบื่อง่าย คอยอะไรนานๆ ไม่ค่อยได้
- เครียด หงุดหงิดง่าย
- บางคนมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และนอนไม่หลับ
ผู้ใหญ่ที่มีอาการสมาธิสั้นมักจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด ลืมนัดสำคัญ หรือมีปัญหาในการจดจ่อกับงานที่ต้องใช้สมาธิเป็นเวลานาน ขณะเดียวกันก็มีปัญหาในด้านการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว เนื่องจากไม่สามารถรับฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ หรือมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ เป็นต้น
โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่รักษาได้
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ต้องอาศัยการประเมินอย่างละเอียดโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาประวัติตั้งแต่วัยเด็ก ร่วมกับการประเมินอาการปัจจุบันและผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การรักษามักใช้แนวทางแบบผสมผสาน ทั้งการใช้ยา การทำจิตบำบัด และการฝึกทักษะการจัดการตนเอง เช่น
1. วางแผนและจัดการเวลาให้เป็นนิสัย ให้ตัวเองวางแผนชีวิตและการทำงานให้ดีขึ้น รวมถึงเป้าหมายที่ต้องทำงานให้เสร็จไปทีละชิ้นเพื่อฝึกนิสัย และลดความกังวลด้วยการจดรายการที่ต้องทำ เขียนโน้ตเตือน หรือวางกรอบเวลาให้ชัดเจน
2. นอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของตัวเองให้ได้ เช่น กำหนดเวลานอนให้เป็นปกติ กำหนดเวลาเข้านอน และรักษาพื้นที่การนอนหลับให้สบาย สงบ เอาทุกสิ่งที่จะรบกวนการนอนออกจากห้องนอนไป
3. ลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากเกินไปทำให้สมองทำงานหนัก เพิ่มความว้าวุ่นใจ และลดประสิทธิภาพโดยรวม ดังนั้นหลังใช้งานเสร็จควรวางอุปกรณ์เหล่านี้ลงเพื่อให้ตัวเองได้พักจากสิ่งต่างๆ ลดความฟุ้งซ่านลง
4. จัดการความกังวลอย่างเป็นเวลา สิ่งที่ควรจัดการ คือ พยายามจัดการความกังวลให้จบลงเร็วที่สุดไม่ลากยาวจนรบกวนเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทำต่อไป
5. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยให้รับมือกับความเครียดและความวิตกกังวลได้ดี อีกทั้งยังช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วย
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันช่วยให้เราเข้าใจโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่มากขึ้น และมีแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพ การรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ที่มีอาการสมาธิสั้นจัดการกับอาการได้ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากสงสัยว่าตนเองมีอาการที่เข้าข่ายสมาธิสั้นควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรับการประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การยอมรับและเข้าใจว่าสมาธิสั้นเป็นภาวะที่พบได้ในผู้ใหญ่ จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะนี้ให้ดียิ่งขึ้น
Thank to :
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/283869228 ม.ค. 2568 , 19:18 น. | ไลฟ์สไตล์ > สุขภาพและความงาม > ไทยรัฐออนไลน์
ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาล BMHH, ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล