ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ความพอใจยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ชื่อว่า สนฺตุฏฺฐิ”  (อ่าน 921 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ความหมายเชิงสังคมของสันโดษ

พระอรรถถาจารย์ได้นิยามความหมายของ “สันโดษ” ว่า “ความพอใจยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ชื่อว่า สนฺตุฏฺฐิ” (สนฺตุฏฺฐิ นาม อิตรีตรปฺปจฺจยสนฺโตโส) 

คำนิยามนี้หมายความว่า ตนมีและได้ปัจจัยอย่างไร ก็ให้ยินดีพอใจในปัจจัยตามที่มีตามที่ได้นั้น ไม่ให้ปรารถนาเกิน (อตฺริจฺโฉ) หรืออยากได้มากเกิน (อติโลโภ) ไปกว่านั้น

นอกจากนั้น ท่านยังได้วิเคราะห์ศัพท์ว่า “สนฺตุฏฺฐิ” มาจากคำว่า “ส + ตุฏฺฐิ”
เฉพาะคำว่า “ส” ใช้ในความหมาย ๓ อย่าง คือ
    “สก” (อันเป็นส่วนของตน)
    “สนฺต” (ที่มีอยู่, เท่าที่มีอยู่) และ
    “สม” (สม่ำเสมอ, ราบเรียบ)

@@@@@@@

ดังนั้น ลักษณะของภิกษุผู้สันโดษ คือ ผู้ยินดีพอใจในปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยารักษาโรค อันเป็นส่วนของตน (สก) เท่าที่ตนมีอยู่ (สนฺต) และด้วยการวางท่าทีทางจิตสม่ำเสมอราบเรียบ (สม) ไม่หวั่นไหวเพราะได้ปัจจัยที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ดังคำนิยามของท่านที่ว่า

๑) ผู้ยินดีพอใจด้วยปัจจัยของตน (สเกน ตุสฺสโก) : ดังข้อความที่ว่า “ภิกษุไม่แสดงวิการ (อาการผิดปกติ เช่น ลิงโลดหรือห่อเหี่ยว) ทั้งในเวลารับ ทั้งในเวลาบริโภค ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยปัจจัย ๔ นั้น ที่ดีหรือไม่ดี ซึ่งทายกถวายแล้ว โดยเคารพหรือไม่เคารพก็ตาม พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้สันโดษด้วยปัจจัยของตน”

๒) ผู้ยินดีด้วยปัจจัยที่มีอยู่ (สนฺเตน ตุสฺสโก) : ดังข้อความที่ว่า “ภิกษุยินดีอยู่ด้วยปัจจัย ๔ นั้น ซึ่งมีอยู่เท่านั้น ไม่ปรารถนาปัจจัยอื่นไปจากปัจจัยนั้น ละความเป็นคนมักมากเสีย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้สันโดษด้วยปัจจัยที่มีอยู่”

๓) ผู้ยินดีโดยสม่ำเสมอ (สเมน ตุสฺสโก) : ดังข้อความที่ว่า “การละความยินดีและความยินร้ายในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ชื่อว่า สมํ (สม่ำเสมอ) ภิกษุยินดีอยู่ในอารมณ์ทั้งปวง โดยความสม่ำเสมอนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ผู้สันโดษโดยสม่ำเสมอ”


@@@@@@@

จากคำนิยามที่ยกมา จะเห็นว่า หัวใจสำคัญของสันโดษ คือ การตีกรอบแห่งความรู้สึกพอใจยินดีให้อยู่ภายในขอบเขตแห่งปัจจัยของตนหรือที่ตนมีอยู่ ถ้ายินดีเกินเลยขอบเขตนี้ไป ท่านเรียกว่า “ปรารถนาเกิน” (อตฺริจฺโฉ) หรือ “โลภเกิน” (อติโลโภ)

ถามว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าภิกษุปรารถนาเกินหรือโลภเกินกว่าปัจจัยของตน.?

แน่นอนว่า ความปรารถนาเกินก็บ่งชัดอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ความปรารถนานั้นได้ล้ำแดนเข้าไปอยู่ในขอบเขตปัจจัย ๔ ที่ไม่ใช่ของตนหรือที่ตนไม่ควรมีควรได้ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยของเพื่อนพระภิกษุด้วยกันหรือปัจจัยของฆราวาสที่เขาไม่ได้ถวายก็ได้

ผลกระทบที่จะตามมา คือ ความปรารถนาเกินจะเป็นเหตุให้เกิดการแย่งชิงกันในเรื่องปัจจัย ๔ ภายในชุมชนสงฆ์เอง และจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสงฆ์กับชุมชนฆราวาสด้วย เพราะจะเป็นเหตุให้ภิกษุเข้าไปสร้างภาระการพึ่งพาหรือเบียดเบียนปัจจัย ๔ จากชุมชนฆราวาสหนักยิ่งขึ้น





ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
ที่มา : สารนิพนธ์ เรื่อง "สันโดษกับความรับผิดชอบต่อสังคม" โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร,ดร.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 11, 2025, 07:44:58 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ