ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความเป็นไทย ‘ที่แท้’ มีหลายชาติพันธุ์  (อ่าน 831 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ความเป็นไทย ‘ที่แท้’ มีหลายชาติพันธุ์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2025, 06:05:25 am »
0
.



สุจิตต์ วงษ์เทศ : ความเป็นไทย ‘ที่แท้’ มีหลายชาติพันธุ์

กลุ่มชาติพันธุ์จะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ต้องชำระแก้ไขประวัติศาสตร์ไทยให้ตรงตามหลักฐานวิชาการ

เพราะประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักของรัฐบาลถูกสร้างขึ้นสนองการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” แล้วกีดกันด้อยค่าชาติพันธุ์อื่นซึ่งมีจำนวนมากกว่าออกจากความเป็นไทย ทำให้ต้องผลักดันกฎหมายให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการยอมรับการมีตัวตนในสังคมไทย ดังข่าวต่อไปนี้

“วธ.” ผลักดันร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ สร้างกลไลคุ้มครองดูแลวิถีชีวิต

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า วธ.มีความตั้งใจและพยายามอย่างยิ่งในการผลักดันร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเห็นชอบไป เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ และส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังสามารถปรับปรุงได้ในชั้นกรรมาธิการวุฒิสภาและการพิจารณาร่วมของรัฐสภา ซึ่ง วธ.ได้ติดตามกระบวนการพิจารณาอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญมุ่งหวังให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้แสดงศักยภาพทางวัฒนธรรมที่เป็นพลังสร้างสรรค์ของสังคมไทย

    “วธ.เข้าใจความรู้สึกพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ร่วมกันผลักดันกฎหมายฉบับนี้ร่วมกันมาโดยตลอด แม้ว่าสาระสำคัญบางประการของกฎหมายไม่ผ่านการพิจารณาในชั้นสภาผู้แทนราษฎร แต่ วธ.ยืนยันว่าแนวทางการส่งเสริมสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังมีนโยบายและมาตรการอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม” รัฐมนตรีว่าการ วธ.กล่าว

น.ส. สุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการยอมรับตัวตนและการมีอยู่ในสังคมไทย เป็นโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้แสดงศักยภาพทางวัฒนธรรมเป็นพลังสร้างสรรค์ประเทศ ที่สำคัญมากกว่านั้น กฎหมายฉบับนี้ทำให้เกิดกลไกเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในการเข้ามาดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง ทำให้การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์มีแนวทางที่ชัดเจนและสอดคล้องกับวิถีชีวิต

ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะทำงานร่วมกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ให้เข้าถึงและใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และผลักดันให้การแก้ไขปัญหาของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์มีกลไกที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพ

_________________________________________
(ที่มา : มติชน ฉบับวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 หน้า 11)




เรื่องสำคัญมากที่ วธ. ต้องทำต่อไป คือ ชำระสะสางแก้ไขประวัติศาสตร์ไทย ให้ตรงตามหลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา

ประวัติศาสตร์ในโลกมีหลายแนวคิด เช่น ประวัติศาสตร์ประเทศชาติ, ประวัติศาสตร์เชื้อชาติ เป็นต้น

ประวัติศาสตร์ประเทศชาติ หมายถึง เรื่องราวความเป็นมาของดินแดน และผู้คน ดังนี้

(1.) ดินแดนที่มีภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติหลากหลาย
(2.) ผู้คนที่มีหลากหลายชาติพันธุ์ ตั้งถิ่นฐานเคล้าคละปะปนกัน

ประวัติศาสตร์เชื้อชาติ หมายถึง เรื่องราวความเป็นมาของคนกลุ่มเดียว ดังนี้

(1.) คนที่ถูกสร้างให้เชื่อว่าเชื้อชาติเดียวกัน และมีสายเลือดบริสุทธิ์เหมือนกัน
(2.) กีดกันคนกลุ่มอื่นที่มีจำนวนมากกว่าออกไป

ประวัติศาสตร์ไทย “กระแสหลัก” เป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาติ ซึ่งรัฐบาลหลายสมัยใช้งานตั้งแต่ก่อนมี วธ. กระทั่งทุกวันนี้ มีโครงสร้างหลัก ดังนี้

(1.) เรื่องราวความเป็นมาของคนไทย “ชนชาติไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์”
(2.) มีถิ่นกำเนิดอัลไต-น่านเจ้า
(3.) ถูกจีนรุกราน
(4.) ถอยร่นลงไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยทุกวันนี้
(5.) สถาปนาสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก

@@@@@@@

ปัจจุบันรู้กันทั่วไปว่า “เชื้อชาติ” ไม่มีในโลก จึงส่งผลถึงประวัติศาสตร์ไทย “กระแสหลัก” ของรัฐบาลไทย ไม่มีหลักฐานวิชาการ ซึ่งเป็นเรื่อง “ยกเมฆ” ดังนี้

(1.) เชื้อชาติไทยไม่มี
(2.) ถิ่นกำเนิดอัลไต-น่านเจ้าก็ไม่จริง
(3.) จีนไม่เคยรุกรานไทย
(4.) ไทยไม่เคยถอยร่น
(5.) สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก

รัฐบาลไทยต้องชำระแก้ไขประวัติศาสตร์ไทยให้เป็นไปตามสากล คือ ประวัติศาสตร์ประเทศไทย (ไม่ใช่ประวัติศาสตร์เชื้อชาติไทย) ที่มีคนไทยมาจากชาวสยาม ซึ่งเป็น “ลูกผสม” ของคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” แต่เรียกตนเองว่า “ไทย” หรือคนไทย

ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ประเทศชาติ จะพบว่า คนไทยมีบรรพชนร่วมกับคนหลายชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ และมีความเป็นมาตรงตามหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษวิทยาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว

การกีดกันด้อยค่าและการใช้ความรุนแรงต่อกันย่อมลดลง แล้วมีสันติภาพถาวร






ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/columnists/news_5047787
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 - 17:25 น.   | ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ