ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชาวอุยกูร์คือใคร? รากเหง้าแห่งความขัดแย้ง ระหว่าง จีน-ตะวันตก  (อ่าน 1069 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.
 :96: :96: :96:

ชาวอุยกูร์คือใคร.? รากเหง้าแห่งความขัดแย้ง ระหว่าง จีน-ตะวันตก



Highlight

ชาวซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมเชื้อสายเตอร์กิก (Turkic) ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region - XUAR) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า และมีประชากรราว 12 ล้านคน พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ทำให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างจีนและชาติตะวันตก







SPOTLIGHT พาไปทำความรู้จักกับ ชาวซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมเชื้อสายเตอร์กิก (Turkic) ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region - XUAR) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่า และมีประชากรราว 12 ล้านคน พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ทำให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างจีนและชาติตะวันตก

@@@@@@@

รากเหง้าแห่งความขัดแย้ง

1. ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของซินเจียง
ซินเจียงตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพรมแดนติดกับหลายประเทศในเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และปากีสถาน ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ อีกทั้งซินเจียงยังเป็นเส้นทางสำคัญในโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative - BRI) ซึ่งเชื่อมโยงจีนกับยุโรปและตะวันออกกลาง

2. ซินเจียง : แหล่งทรัพยากรสำคัญ
พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นประมาณ 20% ของผลผลิตฝ้ายทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนต้องการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเบ็ดเสร็จ

@@@@@@@

ความตึงเครียดทางชาติพันธุ์และศาสนา

1. ชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์
ชาวอุยกูร์มีรากทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับประชากรในเอเชียกลาง เช่น ตุรกี คาซัคสถาน และอุซเบกิสถาน พวกเขาพูดภาษาอุยกูร์ ซึ่งเป็นภาษาตระกูลเตอร์กิกและใช้ตัวอักษรอาหรับ ศาสนาหลักของชาวอุยกูร์คือศาสนาอิสลามซุนนี ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมของชาวจีนฮั่นที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน

2. การควบคุมของจีนและนโยบายกลืนชาติพันธุ์
จีนดำเนินนโยบาย "การหลอมรวม" หรือ "Sinicization" เพื่อทำให้วัฒนธรรมของชาวอุยกูร์คล้ายกับชาวจีนฮั่นมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการห้ามใช้ภาษาอุยกูร์ในโรงเรียน การทำลายมัสยิด และการจำกัดเสรีภาพทางศาสนา เช่น การห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอนและห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้ามัสยิด แต่สื่อตะวันตกอย่าง บีบีซี รายงานว่า ในปี 2019 เอกสารของทางการจีนที่รั่วไหล ระบุ ถึงรายละเอียดของการล้างสมองอย่างเป็นระบบ ซึ่งจีนนำมาใช้กับชาวมุสลิมหลายแสนคนเป็นครั้งแรก





การกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชน

1. ค่ายกักกันหรือศูนย์ฝึกอาชีพ.?
รัฐบาลจีนถูกกล่าวหาว่ามีการกักขังชาวอุยกูร์กว่า 1 ล้านคนในค่ายที่จีนเรียกว่า "ศูนย์ฝึกอาชีพ" อย่างไรก็ตาม สื่อชาติตะวันตก เช่น BBC และ The New York Times รายงานว่า ค่ายเหล่านี้เป็นสถานที่ที่ชาวอุยกูร์ถูกล้างสมองและบังคับให้ละทิ้งอัตลักษณ์ของตนเอง

2. การบังคับใช้แรงงาน
มีรายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนว่า จีนบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมฝ้ายและอิเล็กทรอนิกส์ สหรัฐฯ และยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้าจากซินเจียงเพื่อตอบโต้

@@@@@@@

มุมมองที่แตกต่างระหว่างจีนและตะวันตก

1. มุมมองของตะวันตก
ประเทศตะวันตกมองว่าจีนกำลังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ถึงกับกล่าวหาว่าจีนกำลังดำเนินการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม" (Cultural Genocide) ต่อชาวอุยกูร์ การคว่ำบาตรและแรงกดดันจากองค์กรระหว่างประเทศยังคงดำเนินต่อไป

2. มุมมองของจีน
จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และอ้างว่านโยบายของพวกเขามีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและรักษาความมั่นคงของรัฐ จีนยังอ้างว่าการดำเนินมาตรการควบคุมในซินเจียงเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านการก่อการร้ายและการป้องกันแนวคิดสุดโต่ง

@@@@@@@

ความขัดแย้งเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และความมั่นคง ซินเจียงเป็นพื้นที่ที่จีนไม่อาจปล่อยให้หลุดจากการควบคุมได้ ในขณะที่ชาติตะวันตกใช้ประเด็นชาวอุยกูร์เป็นเครื่องมือในการกดดันจีน ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของชาวอุยกูร์ยังคงเป็นอีกหนึ่งความขัดแย้งระหว่างจีนและตะวันตก และอาจยังคงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงต่อไปในอนาคต





Thank to :-
อ้างอิง : BBCThe New York Times
website : https://www.amarintv.com/spotlight/world/507781
Spotlight  > ต่างประเทศ | โดย : พลวัฒน์ รินทะมาตย์ | 1 มี.ค. 68 | 19:45 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



"อุยกูร์" คือใคร.? รากเหง้าประวัติศาสตร์พันปี สู่ความขัดแย้งร่วมสมัย

"อุยกูร์" ชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าลึกในเอเชียกลาง ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลัง "ซินเจียง" ถูกรวมเข้ากับจีน ทั้งนโยบายควบคุมประชากร ศาสนา อัตลักษณ์ จุดชนวนความขัดแย้ง ที่นานาชาติต่างร่วมประณามนี่คือการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม"

ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน

ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า "อุยกูร์คานาเต" (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือ "เขตปกครองตนเองซินเจียง" ของจีน

หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใน "ซินเจียง" และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม

ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนาเทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง





"ซินเจียง" บ้านของอุยกูร์ที่ถูกเปลี่ยนแปลง

ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่า "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู

ในปี 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 และ ครั้งที่สองในปี 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม

ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง

แม้ซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็น "เขตปกครองตนเอง" แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ



ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน


"จีน" ควบคุมประชากร-ศาสนา "อุยกูร์"

หนึ่งในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวอุยกูร์มากที่สุด คือการส่งเสริมให้ชาวฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน อพยพเข้ามาในซินเจียงผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนประชากรของชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยเป็นชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในหลายเมืองใหญ่ เช่น อูรูมชีและคัชการ์ ทำให้ชาวอุยกูร์ดั้งเดิมเริ่มสูญเสียอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมของตน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมประชากรในหมู่ชาวอุยกูร์ เช่น การทำหมันและการคุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ในระยะยาว

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรแล้ว รัฐบาลจีนยังดำเนินนโยบายควบคุมศาสนาอย่างเข้มงวด โดยจำกัดกิจกรรมทางศาสนา เช่น ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และมีการควบคุมเนื้อหาของคุตบะห์ (คำเทศนาในศาสนาอิสลาม) ในมัสยิด การกวาดล้างวัฒนธรรมอุยกูร์ยังรวมถึงการรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา



การประท้วงจีน


"จีน" ปรับทัศนคติ "อุยกูร์"

หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ใน "ค่ายปรับทัศนคติ" ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็น "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน

นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม



การเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกัน


ต่างชาติประณาม "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม"

บทความจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มีหลักฐานว่า แรงงานชาวอุยกูร์จำนวนมากถูกส่งไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศจีนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หลายบริษัทข้ามชาติถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฝ้ายและสิ่งทอ เนื่องจากซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายรายใหญ่ของโลก

สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน

การปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการกระทำของจีนในซินเจียงเข้าข่าย "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม" ขณะที่หลายประเทศในยุโรปและองค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนและคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล

    "ปัจจุบันซินเจียงมีความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจเติบโต รุ่งเรืองทางวัฒนธรรม และศาสนามีความสามัคคี ประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในซินเจียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สงบสุข และมีความสุข"

ความตอนหนึ่งในเอกสาร 131 หน้าที่คณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ ได้ตอบโต้คำกล่าวหาของหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเมื่อปี 2022



วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง


วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง

ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา และการเมืองในซินเจียง พวกเขามีรากเหง้ามายาวนานในเอเชียกลางและเคยมีอาณาจักรของตนเอง ก่อนจะถูกรวมเข้ากับจีนและต้องเผชิญกับนโยบายที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของพวกเขา

และสถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก
และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้





Thank to :-
ที่มา : www.cfr.org, www.hrw.org, www.bbc.com
website : https://www.thaipbs.or.th/news/content/349716
ต่างประเทศ | 27 ก.พ. 68 , 17:14
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2025, 07:16:11 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



อุยกูร์คือใคร.? ทำไมจีนต้องจับเข้าค่ายปรับทัศนคติ และเสี่ยงต่อการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์



Summary

    • ชาวอุยกูร์ (Uyghur - أویغور‎) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียกลาง เคยมีอาณาจักรอุยกูร์โบราณยุคราชวงศ์ถัง และพยายามก่อตั้งสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก แต่ถูกจีนยุคสร้างชาติยึดครองในปี 1949
    • รัฐบาลจีนถูกกล่าวหาว่าสร้างค่ายกักกันเพื่อควบคุมชาวอุยกูร์ด้วยความโหดร้าย บ้างเรียกว่าเป็น ‘ค่ายปรับทัศนคติ’ แต่ทางการจีนบอกว่ามันคือ ‘ค่ายฝึกอาชีพ’ ให้ชาวอุยกูร์มีงานทำ
    • แม้จีนจะไม่ได้ทำการสังหารหมู่ด้วยอาวุธรุนแรง แต่กระบวนการที่จีนออกแบบและปฏิบัติกับชาวอุยกูร์อย่างเป็นระบบและกว้างขวาง มีแนวโน้มที่จะทำให้ชาติพันธุ์อุยกูร์สูญสิ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ซึ่งเท่ากับเป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ




 :96: :96: :96: :96:

เกิดเป็นกระแสข่าวใหญ่เรียกเสียงประณามไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนที่ถูกกักตัวไว้ในไทยตั้งแต่ปี 2557 ให้กับทางการจีน เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ชาวอุยกูร์ที่จีนมีความเสี่ยงโดนถูกจับเข้าค่ายกักกัน บังคับเปลี่ยนศาสนา ลบล้างประเพณี หรือหลายๆ ครั้งมีการใช้คำรุนแรงถึงขั้น ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

@@@@@@@

อุยกูร์คือใคร.?

ชาวอุยกูร์ (Uyghur - أویغور‎) หรืออุ้ยเก๋อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียกลาง มีความสัมพันธ์กับชาวเติร์กยุคก่อน ใช้ภาษาเตอร์กิก นับถือศาสนาอิสลาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพรมแดนติดคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน มองโกเลย และรัสเซีย

ยุคราชวงศ์ถัง ราวปี 744-840 ชาวอุยกูร์เคยมีอาณาจักรอุยกูร์โบราณ (Uighur Khaganate) หลังอาณาจักรล่มสลาย ชาวอุยกูร์จึงกลายเป็นเผ่าเร่ร่อนอยู่ในพื้นที่เตอร์กิสถานตะวันออก บนเส้นทางสายไหม จึงมีการผสมผสานวิถีชีวิตและวัฒนธรรมทั้งจีน เปอร์เซีย และอาหรับ ชาวอุยกูร์จึงเป็นกลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลามซุนหนี่เป็นส่วนใหญ่

อุยกูร์มีความพยายามก่อร่างสร้างสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก เพื่อเป็นดินแดนของตนเองสองครั้ง ระหว่างปี 1933-1949 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมา เจ๋อ ตง ชนะสงคราม ก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ 1 ตุลาคม 1949 เตอร์กิสถานตะวันออกจึงกลายเป็นมณฑลซินเจียงของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ปัจจุบันมีชาวอุยกูร์อยู่ในซินเจียงประมาณ 11 ล้านคน ประเทศเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน ประมาณ 500,000 คน ตุรกีประมาณ 50,000-100,000 คน ยุโรปและอเมริกาเหนือประมาณ 50,000-100,000 คน




ทำไมจีนต้องพยายามกลืนชาติอุยกูร์

ตามหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ ต้องการรวบรวมดินแดนทุกส่วนให้กลายเป็น ‘จีนเดียว’ เพื่อความเป็นปึกแผ่นและมีวัฒนธรรมร่วมกัน ความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะศาสนา ที่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับแนวคิดคอมมิวนิสต์ ชาวอุยกูร์จึงต้องเป็นเป้าของทางการจีน

เส้นทางสายไหมในอดีตปัจจุบันถูกพัฒนาเป็นความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative:  BRI) ซึ่งมณฑลซินเจียงอยู่ในเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเชื่อมจีนไปยังเอเชียกลางและยุโรป

ทางการจีนอ้างว่า ชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน โดยมีขบวนการปลดปล่อยซินเจียงคือ ขบวนการเตอร์กิสถานตะวันออก (East Turkestan Islamic Movemen t: ETIM) เป็นแกนนำ ซึ่งสถานทูตจีนในประเทศไทยเคยกล่าวว่า ชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวอยู่ในไทยส่วนหนึ่งเป็น “คนกลุ่มเล็กๆ ที่ถูกกองกำลังภายนอกล่อลวงไป หนีมาต่างประเทศและเข้าร่วมกับกลุ่ม ETIM”

รัฐบาลจีนจึงอ้างนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายในปี 2014 ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ในปี 2014 จากนั้นในปี 2017 มีการกักขัง ควบคุมชาวอุยกูร์นับล้านคนในค่ายปรับทัศนคติ

กระบวนการที่นานาชาติเรียกว่าเป็น ‘การกลืนชาติ’ ของจีน มีทั้งกักขังในค่ายปรับทัศนคติ เปลี่ยนภาษา เปลี่ยนชื่อเมือง ลบล้างวัฒนธรรม และส่งชาวจีนไปอยู่ในซินเจียงมากขึ้น เพื่อลบล้าง ‘ความเป็นอูยกูร์’ ให้หมดไป

@@@@@@@

จีนทำอะไรเพื่อ ‘ลบล้าง’ ความเป็นอุยกูร์

รัฐบาลจีนถูกกล่าวหาว่าสร้างค่ายกักกันเพื่อควบคุมชาวอุยกูร์ด้วยความโหดร้าย บ้างเรียกว่าเป็น ‘ค่ายปรับทัศนคติ’ แต่ทางการจีนบอกว่ามันคือ ‘ค่ายฝึกอาชีพ’ ให้ชาวอุยกูร์มีงานทำ

มีข้อมูลหลายแหล่งเปิดเผยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันที่ซินเจียง เช่น

- ควบคุมการนับถือศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
- บังคับให้ชาวอุยกูร์เลิกใช้ภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง
- บังคับใช้แรงงาน
- ทำหมันสตรีอุยกูร์
- ใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อควบคุม
- ตั้งข้อหาหนักเพื่อคุมขัง

ส่วนด้านวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น รัฐบาลจีนเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านและเมืองของชาวอุยกูร์ เป็นชื่อที่สะท้อนอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ แทนวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอุยกูร์

Human Rights Watch และองค์กร Uyghur Hjelp ที่มีสำนักงานอยู่ในนอร์เวย์ เปิดเผยเอกสารที่รวบรวมรายชื่อชุมชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 630 แห่ง ถูกเปลี่ยนชื่อโดยรัฐบาลจีนเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2024 โดยพบว่า เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นช่วงที่รัฐบาลจีนปราบปรามชาวอุยกูร์ โดยชื่อที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ระหว่างปี 2009-2023 ถอดถอนความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมออก โดยเฉพาะปี 2017-2019 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

การอ้างถึงศาสนาหรือวัฒนธรรมอุยกูร์ถูกถอดออกไป เช่น คำว่า Hoja ที่เป็นคำนำหน้าครูสอนศาสนาซูฟีของอิสลาม ซึ่งหมู่บ้านที่มีชื่อนี้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างน้อย 25 หมู่บ้าน หรือชื่อหมู่บ้านที่มีคำว่า Haniqa ที่หมายถึงอาคารทางศาสนาแบบหนึ่งของซูฟีก็ถูกเอาออก เช่นเดียวกับคำว่า Mazar ซึ่งหมายถึงศาลเจ้า ก็หายไปจากชื่อ 41 หมู่บ้าน

ทางการจีนยังเปลี่ยนชื่อที่เชื่อมโยงกับอาณาจักรอุยกูร์ เช่น ชื่อผู้นำก่อนหน้าปี 1949 ซึ่งเป็นปีที่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานระบุว่า ตอนนี้ในซินเจียงไม่มีหมู่บ้านที่ชื่อที่มีคำว่า Xelpe หรือ Khalifa และ Meschit ที่แปลว่า ผู้ปกครองหรือมัสยิด

ชื่อใหม่ของสถานที่เหล่านี้เป็นภาษาจีนกลางและแสดงท่าทีที่เป็นบวกต่อรัฐบาลจีน เนื่องมาจากรัฐบาลจีนต้องการให้ชาวอุยกูร์ยอมรับและแสดงออกภายใต้การนำของจีน

ในปี 2018 หมู่บ้าน Aq Meschit มัสยิดสีขาว ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านที่แปลตามอุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ได้ว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกัน’ ในปี 2022 หมู่บ้าน Dutar ซึ่งตั้งชื่อตามเครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาวอุยกูร์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นหมู่บ้าน ‘ธงแดง’

กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบของจีน จึงถูกกล่าวว่า เป็นการกลืนชาติ ทั้งทำลายเผ่าพันธุ์ ความเชื่อ ภาษา วัฒนธรรม ทำลายโอกาส และอนาคต ไม่ให้ชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามหลงเหลืออีกต่อไป

นอกจากนี้ยังมีความพยายามลดการเพิ่มจำนวนของชาวอุยกูร์ในซินเจียง ปัจจุบันมีชาวอุยกูร์อยู่ในซินเจียงประมาณ 11 ล้านคน โดยไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวจีนเริ่มอพยพเข้าไปมากขึ้น ทำให้ชาวอุยกูร์มีประชากรลดลง





โทษจำคุกในค่ายกักกันที่ซินเจียง

ตั้งแต่ปี 2017 มีรายงานว่า ทางการจีนสร้างค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติขึ้นหลายแห่งอย่างรวดเร็ว โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNCHR) เปิดเผยข้อมูลเมื่อปี 2018 ว่า จีนกำลังควบคุมตัวชาวอุยกูร์มากถึง 1 ล้านคนไว้ที่ศูนย์ปรับทัศนคติ

ด้านสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute) ระบุเมื่อปี 2020 ว่า ค่ายปรับทัศนคติที่ว่านี้มีมากกว่า 380 แห่ง และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น

รายงานความยาว 25 หน้าจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยเยล ใช้ข้อมูลจาก ‘ฐานข้อมูลเหยื่อชาวอุยกูร์’ ที่ระบุตัวเลขเหยื่อไว้ 827,725 คน ที่ถูกควบคุมตัวในซินเจียง โดยอ้างอิงจาก ‘เอกสารของตำรวจจีน’ ที่รั่วไหลออกมา

ข้อมูลที่ชื่อว่า เอกสารของตำรวจจีน Xinjiang Police Files ระบุว่า มีชาวอุยกูร์เกือบ 23,000 คน หรือมากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยผู้ใหญ่ของเขตหนึ่ง ถูกควบคุมตัวอยู่ในค่าย หรือในเรือนจำระหว่างปี 2017-2018 หากคำนวณตัวเลขนี้กับภูมิภาคซินเจียงทั้งหมด เท่ากับว่า มีการควบคุมตัวชาวอุยกูร์และผู้ใหญ่ที่เป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมรวมกว่า 1.2 ล้านคน

นอกจากนี้ นักวิจัยยังศึกษาบันทึกของสำนักงานอัยการที่ซินเจียง ตั้งแต่ปี 2017-2021 โดยไม่ได้รวมตัวเลขหลังจากนั้น ทำให้เชื่อว่า ตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้มาก

นักวิจัยพบว่า มี 13,114 คดีที่มีโทษจำคุก และโทษจำคุกเฉลี่ยของคนเหล่านี้อยู่ที่ 8.8 ปี เอามาคูณด้วยตัวเลขชาวอุยกูร์ที่ถูกศาลสั่งฟ้องระหว่างปี 2017-2021 คือราว 500,000 คน ออกมาเป็นโทษจำคุกรวมกันโดยประมาณอย่างน้อย 4.4 ล้านปี ซึ่งตัวเลข ณ ปัจจุบันน่าจะสูงกว่านี้มาก เพราะข้อมูลที่หาได้หยุดไว้ที่ปี 2021 และประวัติอาชญากรรมเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ในซินเจียงไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ

เรย์ฮาน อาซัต ทนายความและผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานหลัก กล่าวว่า “เป็นเหตุการณ์ระดับที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน และหากจีนได้รับอนุญาตให้จำคุกชาวอุยกูร์เป็นเวลา 4.4 ล้านปี ตามคำพิพากษาที่จีนเคยตัดสินไว้ ชาวอุยกูร์จะต้องถูกตัดสินให้ไร้ความสามารถทางชาติพันธุ์อย่างสิ้นเชิง”

นอกจากนักวิจัย เรย์ฮาน อาซัต ทนายความสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ยังทำงานด้านรณรงค์ เพราะน้องชายของเธอ เอคปาร์ อาซัต ถูกควบคุมตัวที่ซินเจียงตั้งแต่ปี 2016

“เมื่อรวมระยะเวลาจำคุกทั้งหมด 4.4 ล้านปี ซึ่งเป็นการประมาณการแบบระมัดระวัง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ประชากรจะดำรงวัฒนธรรมและชุมชนชาติพันธุ์ของตนเองต่อไปได้”

@@@@@@@

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของจีน.?

แม้จีนจะไม่ได้ทำการสังหารหมู่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุคของนาซีหรือเขมรแดง แต่กระบวนการที่จีนออกแบบและปฏิบัติกับชาวอุยกูร์อย่างเป็นระบบและกว้างขวาง มีแนวโน้มที่จะทำให้ชาติพันธุ์อุยกูร์สูญสิ้นในไม่ช้า

กรณีนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่นานาชาติจับตามอง ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง เพราะนั่นคือการทำให้ชนชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งหายไปตลอดกาล ทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและความเชื่อ

ชาติตะวันตกหลายมาตรการเพื่อคว่ำบาตรจีนเรื่องอุยกูร์ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มหาอำนาจขั้วตรงข้ามถึงการกล่าวหาว่าจีนกำลัง ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ขณะที่สหประชาชาติและองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เรียกร้องให้จีนเปิดเผยข้อมูลและยุติการละเมิดสิทธิ






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105224
Thairath Plus › Politics & Society › World › Social Issues
creator : กองบรรณาธิการ | 28 ก.พ. 68
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ