ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จงรักศัตรูของเจ้า จงทําความดีแก่เขา..ผู้จงเกลียดจงชังเจ้า  (อ่าน 104 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



อะไร.? คือ ความรัก | God is Love and Love is God

การที่จะเข้าใจความรักนั้นไม่ง่าย เพราะธรรมชาติอันแท้จริงและความยิ่งใหญ่ของความรักนั้น ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นค่าพูดได้ มันเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่บริสุทธิ์ และละเอียดอ่อนมากยากที่จะระบายออกมาเป็นลักษณะท่าทางและภาษาพูดได้ ผู้ที่มีความรักย่อมรู้ได้โดยการสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น เพราะเกินความสามารถของชิวหาหรือปากกา ที่จะพรรณนาลักษณะความรักนั้นได้

จริงๆ แล้ว ความรักเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งสําหรับพระเป็นเจ้า อย่างที่คัมภีร ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า God is love หมายถึง พระเป็นเจ้า คือ ความรัก, และความรัก คือ พระเป็นเจ้า, การที่จะเอาความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าลงมาสู่มิติของมนุษย์ธรรมดานั้น เป็นไปไม่ได้เลยในการที่จะพรรณนาความงดงามตระการตาของความรักในภาษามนุษย์ได้

คนทุกคนมีความปรารถนาที่จะมีความสุข และความสุขก็คือผลที่ใจมีสมาธิ หรือใจมีอารมณ์เป็นเอกัคคตา ทรัพย์สมบัติของสมาธิและความสุขของใจนั้น เราสามารถจะได้มาโดยทางความรัก, เพราะคุณสมบัติ คือ ความ สงบ ความสุข และความสว่างของใจย่อมมีได้โดยธรรมชาติแห่งความรัก

เมื่อใดก็ตามที่ความรักหายไป เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลกย่อมตกอยู่ในความทุกข์ ความเดือดร้อน และความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทะเลาะวิวาท อันเกิดขึ้นไม่ว่าในครอบครัวในบ้าน ในประเทศ ระหว่างประเทศและภายในชาติเดียวกัน, ดังปรากฏ อยู่ทั่วไปในโลกและในชาติทุกวันนี้


@@@@@@@

พระเป็นเจ้าหรือความรัก ย่อมเห็นสรรพสัตว์เป็นอย่างเดียวกัน ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ในพระเนตรของ พระองค์แล้ว ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีเผ่าพันธุ์ ไม่มีลัทธิศาสนา, ทุกคนเป็นลูกของพระองค์ ใครก็ตามที่เข้าใจความจริงอันนี้ เขาผู้นั้นไม่สามารถที่จะเกลียดชังคนใดคนหนึ่งได้ ดังที่พระเยซู กล่าวว่า “จงรักซึ่งกันและกัน”

เราคงลืมความหมายอันแท้จริงของค่า กล่าวนี้ เราสามารถจะรักกันและกันได้ ก็ต่อเมื่อเราเห็นพระเป็นเจ้าอยู่ในตัว เราทุกคน เราจึงจะรักซึ่งกันและกัน เราไม่ได้รักบุคคล แต่เรารักพระเป็นเจ้าภายในตัวเราแต่ละคน เมื่อเราพบพระองค์ในภายในคนทุกๆ คน ปัญหาเรื่องความสูงความต่ำก็ไม่เกิดขึ้น, ปัญหาเรื่องตัวกูของกูก็ไม่เกิดขึ้น ปัญหาเรื่องความโกรธแค้นก็ไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น การที่จะให้มีความรักซึ่งกันและกันเกิดขึ้นในสังคม เราจะต้องมีความรักดังกล่าวนั้น คือ รักพระเป็นเจ้าซึ่งประทับอยู่ในภายในเรา, และเราก็จะพบว่า เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาองค์เดียวกัน.

ในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูตรัสว่า
     “ท่านคงจะได้ยินคําพูดที่กล่าวสืบๆ กันมาแต่ก่อนว่า ท่านจงรักเพื่อนบ้านของท่าน และจงเกลียดศัตรูของ ท่าน, แต่ข้าพเจ้าจะพูดกับเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า จงให้พรแก่ศัตรูของเจ้า แก่ผู้สาปแช่งเจ้า จงทําความดีแก่เขาผู้จงเกลียดจงชังเจ้า และจงสวดอ้อนวอนให้พระเป็นเจ้าทรงประทานพรแก่พวกเขา ผู้ด่าว่าเจ้าและรบกวนเจ้า".

@@@@@@@

ความรักมีอยู่ ณ ที่ใด ชีวิตก็มีความสดชื่น ณ ที่นั้น , ที่ที่ความรักสูญสิ้นไป ชีวิต ณ ที่นั้นก็ไร้ค่า, จริงๆ แล้ว คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่เป็นคนที่มีความรักที่แท้จริงได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาผู้นั้นมีประกายแสงแห่งความรักแห่งสวรรค์ปรากฏอยู่ในภายในตัวเขา

พระเป็นเจ้าในรูปแบบแห่งความรักย่อมประทับอยู่ในคนทุกๆคน บุคคลทั้งหลายผู้มีนัยน์ตาอันเปิดแล้ว คือ เห็นคนทุกๆ คนว่าเป็นปรากฏการณ์ของพระเป็นเจ้า เหมือนปรากฏการณ์ของแสงอาทิตย์ หรือเหมือนลูกคลื่น ในมหาสมุทร, เขาผู้เห็นเช่นนั้นเท่านั้นย่อมรู้ว่าประกายแห่งความรัก อย่างเดียวเท่านั้นที่ได้ทําให้พวกเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ได้

เมื่อเขาได้รู้แจ้งอย่างนี้แล้ว ใครเล่าจะสูงใครเล่าจะต่ำ หรือคนย่อมดํารงอยู่ในตําแหน่งหรือฐานะต่าง ๆ ของชีวิตและอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้งหมดนี้คน ก็คือคนผู้เป็นลูกของพระเป็นเจ้า ย่อมเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า, ความแตกต่างกันของวรรณะ เชื้อชาติ ประเทศ หรือลัทธิ ศาสนา ไม่มีความสําคัญแต่อย่างใด สําหรับบุคคลผู้มีคุณสมบัติแห่งความรัก เขาย่อมรู้ว่าในสวรรค์มีพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียว ในพื้นโลกมีครอบครัวเดียว คือ ครอบครัวมนุษย์.

มีนักปราชญ์ชาวเปอร์เซียชื่อ เมา นารูม กล่าวไว้ว่า
    “กระแสความรักจากพระเป็นเจ้า ผู้หนึ่งเดียวเท่านั้น ไหลผ่านไปทั่วสากลพิภพ เมื่อท่านเห็นหน้าของบุคคลคนหนึ่ง ท่านคิดอะไรหรือ.? ท่านมองดูเขาผู้นั้นว่าไม่ใช่คนๆ หนึ่งหรือ.? แต่เขาผู้นั้นเป็นกระแสธารแห่งแก่นแท้ของความรัก(พระเป็นเจ้า) ซึ่งกระแสแห่งความรักนั้นแทรกซึมและซึมซาบอยู่ในตัวเขาผู้นั้น".

@@@@@@@

ความรักนั้นมันเป็นตัวของมันเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่หรืออาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย, มันเป็นมหาสมุทรแห่งศรัทธา เป็นความแข็งแกร่ง และเป็นพลังแห่งความอดทน, มันถ่ายทอดความสดชื่น ความเย็น และความสงบสู่หัวใจและชีวิตของผู้มีความรัก ความรักประกอบด้วยคุณค่าอันสูงส่ง และแท้จริง เป็นอมตะ

สิ่งต่างๆ ในโลกปรากฏว่าสวยสดงดงามก็ต่อเมื่อ มันมีความรักอยู่ในหัวใจเท่านั้น โดยกระแสธารแห่งความรัก บรรยากาศทั้งหมดจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความเพลิดเพลิน. ประกายแสงสว่างของพระเป็นเจ้าย่อมเห็นได้ในความรักนั้นเท่านั้น

ความรักเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุดในบรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย, ปราศจากความรักเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหี่ยวแห้งไม่มีอะไรเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรัก. เขาผู้ที่ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจ ไม่ควรเรียกผู้นั้นว่ามนุษย์เลย

นักปราชญ์ของไทยคนหนึ่งคือ สุนทรภู่ ท่านกล่าวว่า
    “ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่   สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
     แม้นเกิดในใต้หล้าสุธาธาร        ขอพบพานพิศวาสมิคลาดคลาย.”





ขอขอบคุณ
ที่มา : วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓ ก.ค.-ก.ย. ๒๕๔๕
บทความเรื่อง “ความรัก” โดย สนั่น ไชยานุกุล (ยกมาแสดงบางส่วน)
ภาคีสมาชิก สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน
บรรยายในการประชุมสํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2025, 10:15:28 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ