ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศีลเสมอแล้วเจอกัน​ ไม่ใช่ความจริง | ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก  (อ่าน 200 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ศีลเสมอแล้วเจอกัน​ ไม่ใช่ความจริง

เวลาที่ใครพูดประโยคนี้ขึ้นมาว่า "ศีลเสมอแล้วเจอกัน" ทำให้ในใจผมคิดอยู่เสมอว่า​ นี่มันกล่าวตู่พระพุทธเจ้าชัดๆ เพราะมีการไปขยายความซ้ำอีกว่า เป็นเพราะตอนนี้ศีลเราเสมอกันแล้วจึงได้มาเจอกัน.. ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงไปตามประโยคนี้​ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตแบบข้างๆ คูๆ​ กลายเป็นว่า การที่คบหาใครเป็นเพื่อน​เป็นแฟนได้​ ร่วมทำธุรกิจกันได้ เพราะต่างมีศีลเสมอกัน​ ในวันนี้นี่เอง

แล้วความจริงในเรื่องการพบการเจอนี่​ ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า​ ธรรมะของพระพุทธเจ้า​ ไม่ควรมาพูดเพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วเอาไปสร้างเป็นคอนเท้น​ ซึ่งถามว่าบาปไหม ตอบว่า ไม่ควรทำเช่นนี้มากกว่า เพราะเป็นการสร้างเจตนาให้คนเข้าใจผิด​

เพียงแค่​ มีศีลเพียงอย่างเดียว​ แล้วทำให้ได้พบเจอกันนั้นไม่เป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น​ เพราะในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏใน..

สมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๑/๕๕/๖๐​

    • เพราะมีศรัทธา​ เสมอกัน
    • เพราะมีจาคะ​ เสมอกัน
    • เพราะมีศีล​ เสมอกัน
    • เพราะมีปัญญา​ เสมอกัน​

จึงทำให้ได้มาพบกัน..และ​ ไม่ใช่เพราะในปัจจุบันนี้มีทั้ง 4 ข้อนี้​ แล้วทำให้เรามาพบเจอกันนะ​ อันนี้ยิ่งเข้าใจผิดแบบยากที่จะให้อภัย​

@@@@@@@

ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา​ ต้องมีมาจากอดีตชาติร่วมกันมาก่อนแล้วเป็นเหตุ​ และ​ ปรากฏเป็นผล​ ทำให้ ณ​ ปัจจุบันได้พบกัน..ต่อมา.. ครั้นปัจจุบันเมื่อพบเจอกันแล้ว​ ยังมี 4 ข้อนี้เสมอกันอีก​ ครั้นเมื่อเราทั้งสองละจากโลกนี้ไปแล้ว​ ในสัมปรายภพ​ ก็ทำให้เราได้พบกันอีก​

เห็นกลไกการทำงานของโลกจิตวิญญาณ​ หรือยัง..

    1. ศรัทธา เสมอกัน​ หมายถึง​ มีความเคารพนับถือไปในสิ่งเดียวกัน​เหมือนกัน​
    2. จาคะ​ เสมอกัน​ หมายถึง ​มีใจสละออก​ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักบริจาคเป็นทาน​
    3. ศีล​เสมอกัน​ หมายถึง​ มีการปฏิบัติตนตามศีลธรรมอันดีงาม​เหมือนกัน
    4. ปัญญา​เสมอกัน​ หมายถึง​ มีความคิด​ความอ่านเหมือนกันในการดำเนินชีวิต​ หรือ​ แก้ไขปัญหาชีวิต​ด้วยปัญญาเหมือนกัน

ทั้ง 4 ข้อ​ เคยทำร่วมกันมาแต่อดีตชาติ​ ถ้าปัจจุบันยังปฏิบัติเหมือนกันอีก​ในสัมปรายภพก็ได้พบกันอีก​อย่างแน่นอน​ เคยเห็นบางคู่รักหรือไม่ ในปัจจุบันมีความคิดเห็นคนละทาง​ อีกคนมีศีลอีกคนไม่เอาศีล​เลย แต่ที่ปัจจุบันมาอยู่ใช้ชีวิตร่วมกันเพราะมีอานิสงส์จากอดีตชาติที่มี 4 ข้อร่วมกันมา​


@@@@@@@

​มีอีกบทหนึ่ง​ ที่ยืนยันได้ว่า​เพราะมี 4 ข้อดังกล่าวมาจากอดีตจึงทำให้มาพบกันในปัจจุบัน​ และทรงเปรียบเทียบคู่ชีวิตที่พบกันว่า หากปัจจุบันพบกันแล้วมีสิ่งเสมอกันกับไม่เสมอกันนั้นด้วย กล่าวคือ​ บางคู่รักที่พบกัน​ เปรียบเหมือน

    1. เทพธิดาอยู่กับเทพบุตร​ คือ​ มีศีลธรรมทั้งคู่ตามหลักสมชีวิสูตร​
    2. เทพธิดาอยู่กับศพ คือ​ ผู้หญิงมีศีลมีธรรม​แต่ผู้ชายไม่มีศีลธรรมใดๆ เลย
    3. เทพบุตรอยู่กับศพ​ คือ​ ผู้ชายมีศีลมีธรรม​ แต่ผู้หญิงหามีธรรมใดๆ ไม่
    4. ศพอยู่กับศพ​ คือ​ ทั้งชายและหญิง​คู่นี้หามีศีลมีธรรมใดๆ เลยไม่​

แต่การที่เขาได้มาพบกันล้วนเป็นเพราะในอดีตชาติมีสมชีวิสูตรมาร่วมกันมาก่อนนั้นเอง​ นี่คือ​ความจริง​ ที่เราท่านควรรู้และเข้าใจถึงความจริงในข้อนี้​ เพื่อมิให้หลงประเด็นคิดว่ามีศีลข้อเดียวแล้วทำให้ได้พบเจอกัน





Thank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/629198
คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ | 05 มิ.ย. 2568 | 03:30 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



สมชีวิสูตรที่ ๑ - ครองรักให้ยั่งยืน

ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียว พึงเป็นผู้
    • มีศรัทธาเสมอกัน
    • มีศีลเสมอกัน
    • มีจาคะเสมอกัน
    • มีปัญญาเสมอกัน

ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่นกุลบิดา

_______________________________________
พระสูตร : สมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๑/๕๕/๖๐
ขอบคุณที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-daily/4513

@@@@@@@

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

[183] สมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคู่ชีวิต, ธรรมที่จะทำให้คู่สมรสชีวิตสมหรือสม่ำเสมอกลมกลืนกัน อยู่ครองกันยืดยาว - qualities which make a couple well matched)
       1. สมสัทธา (มีศรัทธาสมกัน - to be matched in faith)
       2. สมสีลา (มีศีลสมกัน - to be matched in moral)
       3. สมจาคา (มีจาคะสมกัน - to be matched in generosity)
       4. สมปัญญา (มีปัญญาสมกัน - to be matched in wisdom)


องฺ.จตุกฺก. 21/55/80.







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ สุตฺต. องฺ. (๒): จตุกฺกนิปาโต

[๕๕] เอกํ สมยํ ภควา ภคฺเคสุ วิหรติ สุํสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเย ฯ 

อถโข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน นกุลปิตุโน คหปติสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ  อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ ฯ 

อถโข นกุลปิตา จ คหปติ  นกุลมาตา จ คหปตานี เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข นกุลปิตา คหปติ ภควนฺตํ เอตทโวจ ยโต เม ภนฺเต นกุลมาตา คหปตานี ทหรสฺเสว ทหรา อานีตา นาภิชานามิ นกุลมาตรํ คหปตานึ มนสาปิ อติจริตา กุโต ปน กาเยน อิจฺเฉยฺยาม มยํ ภนฺเต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุนฺติ ฯ   

นกุลมาตาปิ โข คหปตานี ภควนฺตํ เอตทโวจ ยโตหํ ภนฺเต นกุลปิตุโน คหปติสฺส ทหรสฺเสว ทหรา อานีตา นาภิชานามิ นกุลปิตรํ คหปตึ มนสาปิ อติจริตา กุโต ปน กาเยน อิจฺเฉยฺยาม มยํ ภนฺเต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุนฺติ ฯ
     
อากงฺเขยฺยุํ เจ คหปตโย อุโภ ชานิปตโย ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํอุโภว อสฺสุ
         สมสทฺธา
         สมสีลา
         สมจาคา
         สมปญฺญา
เต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺติ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺตีติ ฯ

         อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ       สญฺญตา ธมฺมชีวิโน
         เต โหนฺติ ชานิปตโย        อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา
         อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ      ผาสุกํ อุปชายติ
         อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ     อุภินฺนํ สมสีลินํ
         อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน            สมสีลพฺพตา อุโภ
         นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ         โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ

@@@@@@@

[๕๖] อากงฺเขยฺยุํ เจ ภิกฺขเว อุโภ ชานิปตโย ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺ จ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อุโภว อสฺสุ
         สมสทฺธา
         สมสีลา
         สมจาคา
         สมปญฺญา
เต ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺติ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสนฺตีติ ฯ

         อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ       สญฺญตา ธมฺมชีวิโน
         เต โหนฺติ ชานิปตโย        อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา
         อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ      ผาสุกํ อุปชายติ
         อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ     อุภินฺนํ สมสีลินํ
         อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน            สมสีลพฺพตา อุโภ
         นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ        โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
๕. ปฐมสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ ๑


[๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
             
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เภสกฬามฤคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคีระ(๑-) แคว้นภัคคะ ครั้นในเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลปิตาคหบดี ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว ลำดับนั้น นกุลปิตาคหบดีและนกุลมาตาคหปตานี (๒-) พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
             
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ข้าพระองค์นำนกุลมาตาคหปตานีมา ข้าพระองค์ไม่เคยคิดที่จะประพฤตินอกใจนกุลมาตาคหปตานี ไหนเลยจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”

แม้นกุลมาตาคหปตานีก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่นกุลปิตาคหบดีหนุ่มนำหม่อมฉันผู้ยังเป็นสาวมา หม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะประพฤตินอกใจนกุลปิตาคหบดี ไหนเลยจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”
             
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    “คหบดีและคหปตานี ถ้าสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย หวังจะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้ง ๒ ฝ่ายพึง
         มีศรัทธาเสมอกัน
         มีศีลเสมอกัน
         มีจาคะเสมอกัน
         มีปัญญาเสมอกัน
     สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นย่อมได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”

     สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา
     รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม
     เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก
     มีความประพฤติเสมอกันทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน
     ทั้ง ๒ ฝ่าย ประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน
     เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก

                                     ปฐมสมชีวีสูตรที่ ๕ จบ


____________________________________________
(๑-) หมายถึงชื่อนครหลวงแห่งแคว้นภัคคะที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาที่ ๘
(๒-) หมายถึงพราหมณ์ผู้เคยเป็นบิดา เป็นลุง และเป็นอาของพระตถาคตอย่างละ ๕๐๐ ชาติ และพราหมณีผู้เคยเป็นมารดา เป็นป้า และเป็นน้าของตถาคตอย่างละ ๕๐๐ ชาติ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๕๕-๕๖/๓๕๐)

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
๖. ทุติยสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ ๒


[๕๖] ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายหวังที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้ง ๒ ฝ่ายพึง
            มีศรัทธาเสมอกัน
            มีศีลเสมอกัน
            มีจาคะเสมอกัน
            มีปัญญาเสมอกัน
       สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นย่อมได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

      สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา
      รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม
      เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก
      มีความประพฤติเสมอกันทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน
      ทั้ง ๒ ฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน
      เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก

                                   ทุติยสมชีวีสูตรที่ ๖ จบ







อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
๕. สมชีวิสูตรที่ ๑
อรรถกถาปฐมสมชีวสูตรที่ ๕ 

   
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสมชีวสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า เตนฺปสงฺกมิ ความว่า ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปหาเพื่ออะไร.?
ตอบว่า เพื่อทรงอนุเคราะห์. แท้จริง พระตถาคตเมื่อเสด็จไปแว่นแคว้นนั้น ย่อมเสด็จไปเพื่อทรงสงเคราะห์คนทั้งสองนี้เท่านั้น.

ได้ยินว่า นกุลบิดาได้เป็นบิดาของพระตถาคตมาแล้ว ๕๐๐ ชาติ เป็นปู่ ๕๐๐ ชาติ เป็นอา ๕๐๐ ชาติ.
แม้นกุลมารดาก็ได้เป็นมารดามา ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ
คนเหล่านั้นได้ความรักเพียงดังบุตร จำเดิมแต่เวลาตนเห็นพระศาสดา จึงเข้าไปหาแล้วเกิดเป็นโสดาบันด้วยปฐมทัสนะ (การเห็นครั้งแรก) เหมือนแม่โคเห็นลูกโคแล้วติดในลูกโค ร้องอยู่ว่า หนฺตาต หนฺตาต ดังนี้.

ในนิเวศน์ เขาจึงได้จัดอาสนะไว้ถวายแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้าไปหาเพื่ออนุเคราะห์คนเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อติจริตา ได้แก่ ประพฤตินอกใจ.
บทว่า อภิสมฺปรายญฺจ ได้แก่ และในโลกหน้า.
บทว่า สมสทฺธา ได้แก่ เป็นผู้เสมอ เป็นเช่นเดียวกันด้วยศรัทธา.
แม้ในศีลเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.

                                  จบอรรถกถาปฐมสมชีวสูตรที่ ๕

@@@@@@@

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
๖. สมชีวิสูตรที่ ๒


ทุติยสมชีวิสูตรที่ ๖ ทรงแสดงแก่พวกภิกษุอย่างเดียว.

บทที่เหลือในบททั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น.

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ ๖. สมชีวิสูตรที่ ๒ จบ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2025, 02:52:12 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
๓. ปฐมสังวาสสูตร ว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน สูตรที่ ๑


[๕๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จทางไกลระหว่างเมืองมธุรากับเมืองเวรัญชา คหบดีและคหปตานีเป็นจำนวนมากก็ได้เดินทางไกลระหว่างเมืองมธุรา กับเมืองเวรัญชา

สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลงข้างทาง ประทับนั่งที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง คหบดีและคหปตานีเหล่านั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับคหบดีและคหปตานีเหล่านั้นดังนี้ว่า

"คหบดีและคหปตานี การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการนี้ การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ
    ๑. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี
    ๒. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา
    ๓. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี
    ๔. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา"


(๑) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย(๑-) อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างนี้แล

(๒) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็น มลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล

(๓) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ เสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่ อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผีเป็นอย่างนี้แล

(๔) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์

แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล

คหบดีและคหปตานี การอยู่ร่วมกัน ๔ อย่างนี้แล

     @@@@@@@

    • สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน
             
    • สามีเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ(๒-) ปราศจากความตระหนี่ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี
             
    • สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วนภรรยาเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นผีอยู่ร่วมกับสามีเทวดา

    • ส่วนสามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความประพฤติเสมอกัน
      ทั้ง ๒ ฝ่าย รักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน
      ทั้ง ๒ ฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน
      เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก

                                              ปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ จบ


________________________________
(๑-) สุราและเมรัย หมายถึงสุรา ๕ อย่าง คือ สุราแป้ง สุราขนม สุราข้าวสุก สุราใส่เชื้อ และสุราผสม เครื่องปรุง เมรัย ๕ อย่าง คือ เครื่องดองดอกไม้ เครื่องดองผลไม้ เครื่องดองน้ำอ้อย เครื่องดองน้ำผึ้ง และเครื่องดองผสมเครื่องปรุง (ขุ.ขุ.อ. หน้า ๑๗-๑๘)
(๒-) รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ในที่นี้หมายถึง คฤหัสถ์เมื่อเห็นภิกษุเที่ยวบิณฑบาตยืนที่ประตูเรือนของตน เป็นผู้นิ่ง ไม่ออกปากขอ ก็รู้ความหมายได้ว่า ท่านกำลังขอ ซึ่งเป็นการขออย่างพระอริยะ เมื่อรู้แล้วก็คิดว่า พวกเราหุงต้มได้ แต่ภิกษุเหล่านี้หุงต้มไม่ได้ แล้วท่านจะหาภัตได้ที่ไหน จึงจัดแจงไทยธรรมถวายภิกษุนั้น (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๓๖-๓๗/๒๑)






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ สุตฺต. องฺ. (๒) : จตุกฺกนิปาโต

[๕๓] เอกํ สมยํ ภควาอนฺตรา จ มธุรํ อนฺตรา จ เวรญฺชํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ ฯ 

สมฺพหุลาปิ คหปตี จ คหปตานิโย จ อนฺตรา จ มธุรํ อนฺตรา จ เวรญฺชํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺนา โหนฺติ  ฯ

อถโข ภควา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล -นิสีทิ  ฯ

อทฺทสํสุ โข เต -คหปตี จ คหปตานิโย จ ภควนฺตํ อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสินนํ ทิสฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ  อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ ฯ 

เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข เต คหปตี จ คหปตานิโย จ ภควา เอตทโวจ จตฺตาโรเม คหปตโย สํวาสา กตเม จตฺตาโร ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๓.๑} กถญฺจ คหปตโย ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก หติ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี  กาเมสุ มิจฺฉาจารี มุสาวาที สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายี ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ

     ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตินี อทินฺนาทายินี กาเมสุ  มิจฺฉาจารินี มุสาวาทินี สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายินี ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตนเจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๓.๒} กถญฺจ คหปตโย ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตี ฯเปฯ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายี ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
     ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุ มิจฺฉารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสิกปริภาสิกาสมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๓.๓} กถญฺจ คหปตโย เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต กาเมสุ มิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต มุสาวาทา ปฏิวิรโต สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรโต สีลวา กลฺยาณธมฺโม วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
     ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตินี ฯเปฯ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายินี ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๓.๔} กถญฺจ คหปตโย เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ คหปตโย สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต  ฯเปฯ สุราเมรย-มชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรโต สีลวา กลฺยาณธมฺโม วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
     ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา ฯเปฯ สุราเมรยมชฺช- ปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข คหปตโย เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

     อิเม โข คหปตโย จตฺตาโร สํวาสาติ ฯ

     @@@@@@@

     อุโภ จ โหนฺติ ทุสฺสีลา       กทริยา ปริภาสกา
     เต โหนฺติ ชานิปตโย         ฉวา สํวาสมาคตา ฯ

     สามิโก โหติ ทุสฺสีโล        กทริโย ปริภาสโก
     ภริยา สีลวตี โหติ            วทญฺญู วีตมจฺฉรา
     สาปิ เทวี สํวสติ              ฉเวน ปตินา สห ฯ

     สามิโก สีลวา โหติ          วทญฺญู วีตมจฺฉโร
     ภริยา โหติ ทุสฺสีลา          กทริยา ปริภาสิกา
     สาปิ ฉวา สํวสติ              เทเวน ปตินา สห ฯ

     อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ       สญฺญตา ธมฺมชีวิโน
     เต โหนฺติ ชานิปตโย        อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา
     อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ      ผาสุกํ อุปชายติ

     อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ     อุภินฺนํ สมสีลินํ
     อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน           สมสีลพฺพตา อุโภ
     นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ        โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ







อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
๓. สังวาสสูตรที่ ๑
อรรถกถาปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ 
 
     
         
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสังวาสสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า สมฺพหุลาปิ โข คหปตี จ คหปตานิโย จ ความว่า คฤหบดีและคฤหปตานีเป็นอันมาก เมื่อไปทำอาวาหมงคลหรือวิวาหมงคล ก็ได้เดินทางไปทางนั้นเหมือนกัน.
         
บทว่า สํวาสา ความว่า การอยู่ร่วมกันการอยูร่วมเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า ฉโว ฉวาย ความว่า ชื่อว่าชายผี เพราะตายด้วยความตายแห่งคุณ อยู่ร่วมกับหญิงผี เพราะตายด้วยความตายแห่งคุณเหมือนกัน.

บทว่า เทวิยา สทฺธึ ความว่า ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาโดยคุณทั้งหลาย.
บทว่า ทุสฺสีโล คือ สามีเป็นคนไม่มีศีล.
บทว่า ปาปธมฺโม คือ มีธรรมลามก.
บทว่า อกฺโกสกปริภาสโก ความว่า ด่าด้วยเรื่องสำหรับด่า ๑๐ ด่าว่าด้วยแสดงภัยคุกคาม.
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงอย่างนี้.

บทว่า กทริยา ได้แก่ ตระหนี่เหนียวแน่น.
บทว่า ชานิปตโย แปลว่า ภริยาสามี.
บทว่า วทญฺญู ได้แก่ รู้อยู่ซึ่งความหมายคำของยาจก.
บทว่า สญฺญตา ได้แก่ ประกอบด้วยความสำรวมในศีล.
บทว่า ธมฺมชีวิโน ได้แก่ ชื่อว่าธรรมชีวี เพราะตั้งอยู่ในธรรมเลี้ยงชีพ.

บทว่า อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ ความว่า พวกคนเหล่านั้นย่อมได้ประโยชน์ กล่าวคือความเจริญเป็นอันมาก.
บทว่า ผาสุกํ อุปชายติ ความว่า เกิดอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก.
บทว่า กามกามิโน ได้แก่ ผู้ยังมีความใคร่ในกามอยู่.

                                        จบอรรถกถาปฐมสังวาสสูตรที่ ๓   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2025, 02:50:30 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
๔. ทุติยสังวาสสูตร ว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน สูตรที่ ๒


[๕๔] "ภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการนี้ การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ
         ๑. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี
         ๒. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา
         ๓. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี
         ๔. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา"

             
(๑) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครอง
เรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างนี้แล

(๒) สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ มีใจถูกความตระหนี่อันเป็น มลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์อยู่ครองเรือน

ส่วนภรรยาของเขา เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติ ผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล

(๓) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

ส่วนภรรยาของเขา เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีใจถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินครอบงำ ด่าและติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี เป็นอย่างนี้แล

(๔) สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างไร.?

คือ สามีในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน

แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ไม่ด่าและไม่ติเตียนสมณพราหมณ์สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา เป็นอย่างนี้แล
             
ภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วมกัน ๔ ประการนี้แล

@@@@@@@

     •  สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่ายเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน
             
     •  สามีเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี
             
     •  สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ส่วนภรรยาเป็นผู้ทุศีล ตระหนี่ ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ ภรรยานั้นชื่อว่าเป็นผีอยู่ร่วมกับสามีเทวดา

     •  สามีและภรรยาทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก มีความประพฤติเสมอกัน
        ทั้ง ๒ ฝ่ายรักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน
        ทั้ง ๒ ฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้ มีศีลและวัตรเสมอกัน
        เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินบันเทิงใจในเทวโลก

                          ทุติยสังวาสสูตรที่ ๔ จบ







พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ สุตฺต. องฺ. (๒) : จตุกฺกนิปาโต

[๕๔] จตฺตาโรเม ภิกฺขเว สํวาสา กตเม จตฺตาโร ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๔.๑} กถญฺจ ภิกฺขเว ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ ภิกฺขเว สามิโก โหติ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุ มิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาโจ ผรุสวาโจ สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลุ พฺยาปนฺนจิตฺโต มิจฺฉาทิฏฺฐิโก ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ   
     ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตินี อทินฺนาทายินี กาเมสุ มิจฺฉาจารินี มุสาวาทินี ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สมฺผปฺปลาปินี อภิชฺฌาลุนี พฺยาปนฺนจิตฺตา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข ภิกฺขเว ฉโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๔.๒} กถญฺจ ภิกฺขเว ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ ภิกฺขเว สามิโก โหติ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี ฯเปฯ มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
      ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุ มิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา  ปฏิวิรตา ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตา ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตา สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตา อนภิชฺฌาลุนี อพฺยาปนฺนจิตฺตา สมฺมาทิฏฺฐิกา สีลวตี กลฺยาณธมฺมา วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข ภิกฺขเว ฉโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๔.๓} กถญฺจ ภิกฺขเว เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ อิธ ภิกฺขเว สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต กาเมสุ มิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต มุสาวาทา ปฏิวิรโต ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต อนภิชฺฌาลุ อพฺยาปนฺนจิตฺโต สมฺมาทฏฺฐิโก สีลวา กลฺยาณธมฺโม วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
      ภริยา จ ขฺวสฺส โหติ ปาณาติปาตินี ฯเปฯ มจฺเฉรมลปริยุฏฺฐิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข ภิกฺขเว เทโว ฉวาย สทฺธึ สํวสติ ฯ

     {๕๔.๔} กถญฺจ ภิกฺขเว เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ อิธ ภิกฺขเว สามิโก โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต ฯเปฯ วิคตมลมจฺเฉเรน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ อนกฺโกสกปริภาสโก สมณพฺราหฺมณานํ
     ภริยาปิสฺส โหติ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา ฯเปฯ อนกฺโกสิกปริภาสิกา สมณพฺราหฺมณานํ เอวํ โข ภิกฺขเว เทโว เทวิยา สทฺธึ สํวสติ ฯ

      อิเม โข ภิกฺขเว จตฺตาโร สํวาสาติ ฯ

      @@@@@@@@

      อุโภ จ โหนฺติ ทุสฺสีลา       กทริยา ปริภาสกา
      เต โหนฺติ ชานิปตโย         ฉวา สํวาสมาคตา ฯ

      สามิโก โหติ ทุสฺสีโล        กทริโย ปริภาสโก
      ภริยา สีลวตี โหติ            วทญฺญู วีตมจฺฉรา
      สาปิ เทวี สํวสติ              ฉเวน ปตินา สห ฯ

      สามิโก สีลวา โหติ           วทญฺญู วีตมจฺฉโร
      ภริยา โหติ ทุสฺสีลา           กทริยา ปริภาสกา
      สาปิ ฉวา สํวสติ              เทเวน ปตินา สห ฯ

      อุโภ สทฺธา วทญฺญู จ       สญฺญตา ธมฺมชีวิโน
      เต โหนฺติ ชานิปตโย        อญฺญมญฺญํ ปิยํ วทา
      อตฺถา สมฺปจุรา โหนฺติ      ผาสุกํ อุปชายติ

      อมิตฺตา ทุมฺมนา โหนฺติ     อุภินฺนํ สมสีลินํ
      อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน            สมสีลพฺพตา อุโภ
      นนฺทิโน เทวโลกสฺมึ        โมทนฺติ กามกามิโนติ ฯ




 :25: :25: :25:

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑
๔. สังวาสสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุติยสังวาสสูตรที่ ๔
   
   
 
ทุติยสังวาสสูตรที่ ๔ ตรัสกำหนดเทศนาด้วยสามารถกรรมบถ.

บทที่เหลือก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน.

ก็ในพระสูตรแม้ทั้งสองเหล่านี้ ตรัสข้อปฏิบัติสำหรับผู้อยู่ครองเรือน ทั้งควรแม้แก่ "คฤหัสถ์ผู้เป็นโสดาบันและสกทาคามีด้วย."

              จบอรรถกถาทุติยสังวาสสูตรที่ ๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 05, 2025, 02:49:55 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ