ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 5 ภาพแทน “ไทย” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมของกัมพูชา เป็นอย่างไร.?  (อ่าน 97 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29394
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ภาพสลักรูปกองทัพสฺยำกุก ที่ผนังระเบียงปราสาทนครวัดด้านทิศใต้ปีกตะวันตก เดิมมีข้อความจารึกว่า "เนะ สฺยำกุก" ปัจจุบันถูกกะเทาะหลุดหายไปแล้ว (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2552)


5 ภาพแทน “ไทย” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมของกัมพูชา เป็นอย่างไร.?

แบบเรียนประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติ มักเล่าเรื่องราวของนานาประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกันทางประวัติศาสตร์ บางข้อมูลก็เป็นข้อเท็จจริง แต่บางอย่างก็ถ่ายทอดจากมุมมองของตนเอง อย่างไทย ทุกคนก็คงคุ้นเคยกับศึกระหว่างไทยกับพม่า ส่วนกัมพูชาก็ปรากฏภาพไทยในมุมมองทางประวัติศาสตร์ของเขาเช่นกัน

ในวิจัย “ภาพแทน ‘ไทย’ ในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา” ของ ชาญชัย คงเพียรธรรม ได้ศึกษาเรื่องนี้ ก่อนจะวิเคราะห์ออกมาว่า ในหนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์ ระดับมัธยมของกัมพูชา ปรากฏภาพแทนไทยถึง 5 ข้อ ดังนี้


@@@@@@@

1. ไทยคือกลุ่มคนป่าที่อพยพลงมาจากทางตอนใต้ของจีน

เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในวิชาศึกษาสังคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยแปลเนื้อหาออกมาเป็นภาษาไทยได้ความว่า

“ในศตวรรษที่ 7 และที่ 8 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ชนชาติไทย (เผ่าพันธุ์เอเชียใต้) ได้สถาปนารัฐน่านเจ้า ซึ่งมีศูนย์กลางตั้งอยู่ที่มณฑลยูนานในปัจจุบัน

เริ่มแรก พวกสยามได้ลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตอนกลางของแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างรัฐทวารวดีกับหริภุญชัย และได้เกิดขึ้นเป็นเมืองหรือรัฐขนาดเล็กที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมือง ในศตวรรษที่ 12 เขาจึงได้พบเห็นสยาม (Syam) และภาพสลักชนชาติสยามอยู่ที่บนระเบียงหินในปราสาทนครวัด พร้อมทั้งมีข้อความให้นามว่า สยาม และอธิบายว่าเป็นคนป่า”

จากข้อความข้างต้น เจ้าของงานวิจัยได้อธิบายว่า ในแบบเรียนกล่าวว่า บรรพบุรุษของคนไทยอพยพมาจากดินแดนทางตอนใต้ของจีน จากนั้นจึงเข้ามาอาศัยบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างรัฐทวารวดีกับรัฐหริภุญชัย ก่อนจะสร้างบ้านเมืองขึ้นเป็นเมืองขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรเขมรโบราณ



จารึกมีข้อความว่า “สฺยำกุก” อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในภาพสลักกระบวนทัพที่นำหน้ากองทัพสฺยำกุกที่ผนังระเบียงปราสาทนครวัด (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2552)


ทั้งหมดนี้เห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ ภาพสลักกองทัพสยามที่ระเบียงปราสาทนครวัด และข้อความบนจารึกภาษาเขมรโบราณ ที่เขียนว่า “เสียมก๊ก” หมายถึงกองทัพชาวสยาม

ทว่าในจารึกกลับไม่ปรากฏคำอธิบายที่ว่าเป็นคนป่า ตามที่ในหนังสือเรียนระบุ สะท้อนให้เห็นถึงการใส่ความคิดเห็นของผู้ทำแบบเรียนเข้าไปในนั้น

2. ไทยเป็นโจรที่ปล้นแผ่นดินและมรดกทางวัฒนธรรมของเขมร

ในหนังสือ วิชาศึกษาสังคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ยังระบุอีกว่าไทยเป็นโจร มาแย่งชิงพื้นที่และขโมยศิลปวัฒนธรรมของเขมรไป สยาม ซึ่งลงมาจากทิศเหนือในช่วงศตวรรษที่ 12 ไม่มีมรดกทางวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เช่น อักษรหรือศิลปะ พวกเขาจึงลอกเลียนเอาสมบัติวัฒนธรรมเขมรไปใช้ ไม่ว่าจะเป็น อักษร ศาสนา ศิลปะ การปกครอง ฯลฯ

เมื่อชาวสยามยึดครองพื้นที่เขมรได้บางส่วนและยกทัพมาตีพระนคร ก็เกิดอารยธรรมเสียมขึ้น คำเขมรหลายคำกลายเป็นภาษาเสียม พ่อขุนรามคำแหงก็ดัดแปลงอักษรเขมรให้กลายเป็นอักษรเสียม



พ่อขุนรามคำแหง ภาพจาก Tevaprapas / Wikimedia commons (Public domain)


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้พวกเขามองว่าสยามคือคนป่า (ตามที่ปรากฏในหัวข้อ 1) เพราะไม่มีอารยธรรมเป็นของตนเอง ทั้งหมดล้วนเอาจากเขมรไปทั้งสิ้น และเรียกคนไทยว่า “โจรเสียม”

นอกจากนี้ หลังเสียกรุงละแวก สยามได้นำพระโค พระแก้ว ที่ชาวกัมพูชานับถือไป ทำให้บ้านเมืองกัมพูชาเสื่อมถอย กลับกันคือสยามรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันสยามก็ยังคงป่าเถื่อน เพราะส่งกองทัพเข้ามารุกรานเขมร

3. ไทยเป็นศัตรูของชาติ

เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนวิชาศึกษาสังคม ของมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่พูดถึงสงครามระหว่างสยามกับเขมรหลายครั้ง เช่น ตอนที่สยามเข้ายึดพระนครได้สำเร็จ ครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1394-1401) โดยกล่าวว่า สยามยึดเมืองพระนครครั้งที่ 2 ด้วยวิธีที่ไม่ต่างจากตอนแรก คือ ไม่ใช่เพราะฝีมือการต่อสู้ แต่เป็นเพราะกลอุบาย

เมื่อสยามเข้ามาปกครอง ก็ “ทำร้ายคนเขมรอย่างป่าเถื่อน”, “กดขี่ ข่มเหง ทำร้ายคนเขมร”

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้เขียนงานวิจัยมองว่า เป็นภาพสะท้อนว่าไทยเป็นศัตรูของกัมพูชา ในหนังสือเล่มเดียวกันยังปรากฏว่าใช้สรรพนามแทนสยามว่า “พวกมัน” และใช้กริยาที่สยามทำต่อเขมรไปในเชิงลบ เช่น ใช้คำว่า บํผฺลาญ (แปลว่า ทำลายหรือล้างผลาญ), กมฺเทจ (แปลว่า ทำลายหรือทำให้พัง) หรือ กาบ่สมฺลาบ่ (แปลวว่า ฆ่าฟัน) ฯลฯ

4. ไทยเนรคุณเขมร

เรื่อง “สยามเนรคุณเขมร” ปรากฏบ่อยในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์เขมร เช่น ในหนังสือเรียนวิชาประวัติวิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้พูดถึงสงคราม ใน ค.ศ. 1588 และ “มูลเหตุในการเสียบันทายละแวก” ไว้ตอนหนึ่งว่า

“มูลเหตุในการเสียเมืองบันทายละแวก
  พระราชา : สัตถาที่ 1 โฉดเขลาไปช่วยกอบกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาของสยามจากการปกครองของพม่า
  สยาม : สยามเนรคุณ ใช้กลอุบายส่งพระสงฆ์มาสืบข่าวภายในบันทายละแวก และใช้กลอุบายสาดเงินพดด้วงเข้าไปในกอไผ่”

5.  ไทยเคยพ่ายแพ้พม่า

ในหนังสือเรียนวิชาศึกษาสังคม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กล่าวว่าไทยเคยพ่ายแพ้พม่าและเสียหายอย่างมาก ดังปรากฏว่า

“ตามประวัติศาสตร์ประเทศสยามแบ่งออกเป็น 4 สมัย คือ

   - สุโขทัย (ค.ศ. 1238-1350) สยามได้โจมตีเอาเมืองสุโขทัยจากเขมร และได้ก่อกำเนิดรัฐสยามโดยพ่อขุนรามคำแหง

   - สมัยอยุธยา (ค.ศ. 1350-1767) สยามได้ขยายดินแดนมายังอาณาจักรเขมรและครอบครองดินแดนบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ค.ศ. 1767 กษัตริย์พม่าทรงพระนามว่า บุเรงนอง ได้ตีกรุงศรีอยุธยาจนพังพินาศ



สงครามเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี


   - สมัยธนบุรี (ค.ศ. 1767-1800) พระเจ้าตากได้ทรงกอบกู้เอกราชคืนมาจากพม่า แล้วย้ายราชธานีมาตั้งอยู่ที่กรุงธนบุรี เมื่อ ค.ศ. 1767 แต่พระเจ้าตากสินทรงบ้าอำนาจจึงถูกพระเจ้ายอดฟ้า (รามาที่ 1) แห่งราชวงศ์จักรีตัดสินโทษประหารชีวิต

   - สมัยกรุงบางกอก (ค.ศ. 1800-ปัจจุบัน) พระเจ้ารามาที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีได้ขึ้นเสวยราชย์สืบสันตติวงศ์มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้”

@@@@@@@

ทว่าข้อมูลข้างต้นก็ยังมีผิดพลาด ผู้วิจัยให้ข้อมูลเสริมไว้ว่า “หากแต่ข้อมูลดังกล่าวมีความผิดพลาดหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแม่นยำของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เช่น แบบเรียนฯ กล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักร แต่ในความเป็นจริงแล้ว พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ค.ศ. 1214-1269) ทรงเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักร

ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนแบบเรียนฯ ระบุว่า บุเรงนอง หรือ ผู้ชนะสิบทิศ (ค.ศ. 1550-1581) ทรงเป็นผู้มีชัยชนะในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ค.ศ. 1767 ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว กษัตริย์พม่าผู้มีชัยชนะในครั้งนั้น คือ พระเจ้ามังระ (ค.ศ. 1763-1776) ทรงใช้ยุทธวิธีแบบ ‘คีมหนีบ’ ซึ่งเป็นวิธีการรบของพระเจ้าบุเรงนอง โดยทรงอาศัยแม่ทัพคู่พระทัย 2 คน ได้แก่ มังมหานราธา และเนเมียวสีหบดี”

ทั้งหมดนี้คือ 5 ภาพแทนไทยที่กัมพูชาบันทึกไว้ผ่านแบบเรียนชั้นมัธยมในชาติตนเอง


อ่านเพิ่มเติม :-

    • “ยุทธการคีมหนีบ” ยุทธศาสตร์ทัพพม่าก่อนเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 คืออะไร?
    • ความขัดแย้งเรื่องพรมแดน “สยาม-กัมพูชา” สมัยละแวก ในมุมมองนักวิชาการเขมร เป็นอย่างไร?
    • ร่องรอย “พระมหามงกุฎ” และของที่ราชวงศ์ไทยพระราชทานกษัตริย์กัมพูชา สมัยรัตนโกสินทร์






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 29 กรกฎาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_156237

อ้างอิง : คงเพียรธรรม ชาญชัย. “ภาพแทน ‘ไทย’ ในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา”. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 25, no. 1 (เมษายน 25, 2025): 312–337. สืบค้น 29 กรกฎาคม 2025. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/281000.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 30, 2025, 08:18:24 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ