ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขข้อสงสัย พระสงฆ์รับ “เงินทอง” ได้หรือไม่ แล้วถ้ารับจะเกิดอะไรขึ้น.?  (อ่าน 157 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ภาพประกอบ ข่าวคดีความเกี่ยวพระสงฆ์ยักยอกเงินทำบุญ (ภาพจาก ข่าวสดออนไลน์)


ไขข้อสงสัย พระสงฆ์รับ “เงินทอง” ได้หรือไม่ แล้วถ้ารับจะเกิดอะไรขึ้น.?

พระสงฆ์กับเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องที่มีการพูดถึงเป็นระยะ สรุปแล้ว พระสงฆ์รับเงินทองได้หรือไม่ เรื่องนี้หนังสือ วินัยพระน่ารู้คู่มือโยม วัดเขาสนามชัย ต. หนองแก อ. หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์ อธิบายความไว้น่าสนใจ ซึ่งสรุปความบางส่วนมาเสนอ ดังนี้

พระสงฆ์รับเงินและทองด้วยตนเองไม่ได้ ใช้ให้ผู้อื่น คือ ไวยาวัจกรรับแทนก็ไม่ได้ โดยที่สุดยินดีเงินทองที่คนอื่น คือ ไวยาวัจกรเก็บเอาไว้ให้ หรือที่เขาถวายวางไว้ใกล้ๆ ก็ไม่ได้ หรือยินดีเงินทองที่อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธา นำเงินทองมาถวายโดยฝากธนาคารไว้ให้ แต่มีชื่อพระผู้เป็นเจ้าของบัญชีอยู่ก็ไม่ได้ เป็นอาบัติ นิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้ามไว้ว่า
    “อนึ่ง ภิกษุใดรับเองก็ดี ให้คนอื่นรับไว้ให้ก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้ให้ ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์” (มหาวิภังค์ 2/940)


พระสงฆ์สยามในอดีต


ปัจจุบันมีพระจำนวนมากเข้าใจว่า ธนบัตรไม่ใช่เงินเป็นกระดาษ ผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน เพราะฉะนั้น จึงรับได้ ไม่เป็นอาบัติแต่อย่างใด

ในสิกขาบทนี้ ไม่ใช่แร่เงิน แร่ทอง เงินรูปพรรณ ทองรูปพรรณ กหาปณะ [เงินตรา มีพิกัดเท่ากับ 20 มาสก] และมาสก [ชื่อมาตราเงินในครั้งโบราณ 5 มาสก เป็น 1 บาท] เท่านั้น แต่ยังรวมเอาวัตถุต่างๆ ที่ชาวโลกใช้เป็นมาตรา สามารถให้สำเร็จ การซื้อขายได้ จะเป็นโลหะ ดิน ครั่ง ยาง กระดูก เปลือกหอย หนัง เมล็ดผลไม้ ไม้แก่น ข้อไม้ไผ่ ใบตาล

แม้แต่กระดาษที่พิมพ์เป็นธนบัตรใช้กันทุกวันนี้ เงินทอง เป็นต้นทั้งหมด จัดเป็นรูปิยะ [เงินตรา] เป็นอกัปปิยวัตถุ [สิ่งที่ต้องห้ามไม่ให้บริโภคใช้สอย] เป็นวัตถุแห่งนิสสัคคีย์ [ประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท] พระรับวัตถุเหล่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์

หลักฐานที่ยกมานี้แน่นอนที่สุด เงินกระดาษที่ใช้กันทุกวันนี้ พระรับไม่ได้ ให้คนอื่นรับแทนก็ไม่ได้ แม้ยินดีที่เขาเก็บไว้ให้ก็ไม่ได้ เป็นอาบัติ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เลย



(ภาพประกอบเนื้อหา) จิตรกรรมภาพพระภิกษุ วัดบวรนิเวศวิหาร


เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพระตั้งแต่พระผู้ใหญ่จนถึงพระผู้น้อยก็ยังรับเงิน ไม่กลัวผิดวินัยหรือ?

1. รับเพราะเกรงใจโยม กลัวโยมจะเสียใจ กลัวศรัทธาโยมตก อุตส่าห์ตั้งใจทำบุญ ก็ควรจะได้ถวายด้วยมือตนเอง เช่น โยมเอาเงินใส่ซอง ใส่บาตร เป็นต้น จำใจรับ เมื่อรับมาแล้วก็ละทิ้งในท่ามกลางสงฆ์

2. รับเพราะต้องการทำประโยชน์ คือ เอามาทำบุญต่อ ได้เอามาเข้าพกเข้าห่อ เพื่อความร่ำรวย แต่เอามาเพื่อพัฒนาวัด สนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระเณร

3. รับเพราะความจำเป็น คือ พระบางรูปเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมในเมือง แต่ไม่มีญาติ ไม่มีโยมปวารณา แต่มีค่าใช้จ่าย เช่น ของในชีวิตประจำวัน, อุปกรณ์การศึกษา ฯลฯ

4. รับเพราะอยากได้ คือ มีความต้องการอยากจะได้อยู่แล้ว พระประเภทนี้เข้ากับยุคสมัยนี้มาก ญาติโยมสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน เพราะต่างคนต่างก็ภาระ ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลรับใช้ การถวายเงินใส่ซองให้พระจัดซื้อจัดหาสิ่งของที่ต้องการเอง นับเป็นความสะดวกของพระและโยม

@@@@@@@

เมื่อพระมีเงินมาก ความคิดแบบสมณะวิสัยก็ค่อยๆ เลือนหมดไป ความคิดแบบโยมก็เข้ามาแทนที่ อยากจะได้อยากมีเหมือนกับโยม เห็นบ้านโยมสวย โยมมีรถเบนซ์, โยมเรียนจบระดับปริญญา, มียศตำแหน่ง ฯลฯ พระก็มีสิ่งนั้นๆ เหมือนกับโยมทุกอย่าง บางอย่างอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีกว่า ตรงที่ใครๆ ก็ต้องเคารพกราบไหว้บูชา โยมทำงาน, รับราชการถึง 60 ปี เกษียณ ส่วนพระ มรณภาพจึงเกษียณ

พระพุทธองค์ยังทรงตำหนิติเตียนพระภิกษุผู้รับเงินทอง ยินดีในเงินทองอย่างรุนแรง ถึงขั้นกับว่า ไม่ใช่สมณะเชื้อสายศากยะบุตรเลยทีเดียว ดังพระพุทธองค์ตรัสกับนายบ้านชื่อมณีจูฬกะว่า

    “ดูก่อนนายบ้าน ทองเงินไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายศากยะบุตร สมณะเชื้อสายศากยะบุตรไม่ยินดีทองเงิน ไม่รับทองและเงิน วางแก้วมณีและทองทิ้งเสียแล้ว เป็นผู้ปราศจากทองและเงิน ทองและเงินสมควรแก่ผู้ใด

     แม้กามคุณทั้ง 5 ก็สมควรแก่ผู้นั้น กามคุณทั้ง 5 สมควรแก่ผู้ใด เธอจึงจําผู้นั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า ‘มีปกติไม่ใช่เชื้อสายพระศากยบุตร’ เราจะกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ผู้ต้องการหญ้า จึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้ จึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียน จึงแสวงหาเกวียน ผู้ต้องการบุรุษ จึงแสวงหาบุรุษ’ แต่เราไม่กล่าวโดยปริยายไรๆ ว่า ‘สมณะจึงยินดี ซึ่ง แสวงหาทองและเงินเลย’”
(จุลวรรค 2/536)


@@@@@@@

การมีเงินทองอย่างเดียวก็เหมือนมีทุกอย่าง เพราะสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ พระยินดีเงินทอง ก็เท่ากับว่ายินดีในกามคุณ 5 เงินทองเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเศร้าหมองไม่ผ่องใส พระพุทธองค์ตรัสเครื่องเศร้าหมองของพระจันทร์ พระอาทิตย์ และสมณพราหมณ์ไว้

เครื่องเศร้าหมองของพระจันทร์และพระอาทิตย์ 4 อย่าง ไม่สว่าง ไม่รุ่งเรือง มี 4 อย่าง คือ
    หมอก 1
    น้ำค้าง 1
    ละอองควัน 1
    อสุรินทราหู 1 (จุลวรรค 2/532)

เครื่องเศร้าหมองของสมณะพราหมณ์ 4 อย่าง ที่ทำให้พระภิกษุ ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาไม่สง่างาม มี 4 อย่าง คือ
    การดื่มสุราเมรัย 1
    การเสพเมถุนธรรม 1
    การยินดีเงินทอง 1
    การเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพ 1 (จุลวรรค 2/533)

พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษของเงินและทองไว้มาก พระภิกษุผู้รับเงินทองยินดีในเงินทอง จะไม่สง่างาม ไม่ผ่องใส มีแต่จะเศร้าหมอง เป็นทาสของกิเลสตัณหา ดุจเนื้อถูกความมืดปกคลุมไว้ ฉะนั้น

บวชมาแล้วสมควรประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรม แต่กลับต้องมาติดข้องอยู่กับเงินทองเหล่านี้ อันเป็นเหตุทำให้ภพ ชาติ ยืดยาวต่อไป อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น


@@@@@@@

อ่านเพิ่มเติม :-

    • เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงออกประกาศ ห้ามพระสงฆ์ไม่ให้ใบ้-แทง “หวย” แลประพฤติอนาจาร
    • 40 ท่วงท่าลีลาสตรีเกี้ยวบุรุษ เมื่อหญิงแพศยาเย้ายวนพระสงฆ์สมัยพุทธกาล
    • ที่มา นิตยภัต-เงินถวายพระสงฆ์สามเณรที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 9 พฤษภาคม 2566
website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_108298

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก พระมหาชูศักดิ์ สทฺธมฺมาลงฺกาโร บรรณาธิการ. “การรับเงินและทอง” ใน, วินัยพระน่ารู้คู่มือโยม. วัดเขาสนามชัย ต. หนองแก อ. หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์ จัดพิมพ์, พิมพ์ครั้งที่ 8, 2553.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 17, 2025, 09:51:07 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1 ans1

พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ ว่าพระภิกษุ ห้ามแตะต้องเงินทองนั้นจะเป็นอาบัติ



ข้อมูลจาก : บ้านธัมมะ / กระดานสนทนา /กระทู้สนทนาธรรม 2563
https://www.dhammahome.com/webboard/topic/31827



 ask1

ถามโดย : Patthana2524 - วันที่  3 พ.ค. 2563

พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ ว่าพระภิกษุ ห้ามแตะต้องเงินทองนั้นจะเป็นอาบัติ ก็เลย คิดอยากจะถามว่า ถ้าพระวินัยออกมาแบบนี้ แล้ว เหล่าพุทธศาสนิกชน ทำไมยังคิดที่ ถวายเงินพระภิกษุอยู่อีก เช่น นิมนต์ไปทำบุญบ้าน และ ก็นำเงินใส่ซองถวาย ครับ

และ บางที่ เช่น คนขับรถแท๊กซี่ , โรงพยาบาลเอกชน , สถานีรถไฟฟ้า อย่างนี้เป็นต้น ทำไมต้องเก็บเงิน พระภิกษุสงฆ์ด้วย หรือ เพื่อจะให้ พระภิกษุสงฆ์ อาบัติหรือไง ครับ ขอถามผู้รู้หน่อย ครับ




 ans1

ความคิดเห็นที่ 1 : โดย paderm - วันที่ 3 พ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่คฤหัสถ์ยังเก็บเงินและพระภิกษุมักเดินทางไปที่ต่างๆ ลืมว่าตัวเองบวชเพราะอะไร ทั้งพระภิกษุและคฤหัสถ์ต่างก็ไม่ศึกษาพระธรมวินัยและความไม่รู้ อวิชชานั่นเป็นเหตุ ครับ

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๕. ค่าหมอ ค่ายาไม่ฟรี เดินทางไปหาหมอ ก็ไม่ฟรี จำเป็นที่ยุคสมัยนี้ต้องใช้เงิน และ พระต้องรับเงิน

เข้าใจถูก

๕. ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือ พระไม่รับเงิน แต่ ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และ เมื่อพระต้องการยา การเดินทางไปหาหมอ การเดินทาง ไวยาวัจกรนั้นก็จัดสิ่งที่เหมาะสม สมควรให้กับภิกษุนั้นได้

อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย อันเป็นสิ่งของที่เป็นกัปปิยะ เหมาะสมกับพระภิกษุ ก็สามารถแจ้งไวยาวัจกรวัดได้ในการจัดหา

และในสมัยพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายก็ดูแลกันเอง มียาตามสมัย ที่เป็นเภสัช มี น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ยาดองมูตรเน่า เป็นต้น และแม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็สามารถใช้วิธีการให้คฤหัสถ์ดูแลได้ ในเรื่องยาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งโรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย และ หากเป็นภิกษุที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ ก็ย่อมจะเป็นผู้มีโยมอุปัฏฐาก ที่ปวารณาช่วยเหลือในสิ่งที่เหมาะสม

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๘. ภิกษุต้องเดินทางไปไหน มาไหน ค่ารถไม่ฟรี จึงต้องรับเงิน และคฤหัสถ์จึงต้องให้เงินพระ

เข้าใจถูก

๘. ภิกษุในธรรมวินัย คือ เป็นผู้เบา มีกิจน้อย ไม่เป็นผู้เดินทางบ่อย หากมีผู้นิมนต์ไปฉันที่บ้านหรือ แสดงธรรมที่บ้าน ภิกษุผู้ฉลาด ประพฤติตามพระวินัย สามารถแจ้งกับคฤหัสถ์ได้ว่าควรกระทำสิ่งใด ไม่ให้ภิกษุออกค่าใช้จ่ายเอง แต่ควรมารับ มาส่ง อันไม่เกี่ยวข้องกับเงินและทอง เป็นต้น

และพระภิกษุที่ดี หากพิจาณาว่าต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง ไม่สะดวกในการเดินทาง ท่านก็แจ้งกับคฤหัสถ์ไปในเรื่องนั้น ว่าไม่สะดวกโดยประการใด อันเป็นการเคารพพระวินัย ทำตามพระวินัยบัญญัติ และ พระภิกษุไม่มีหน้าที่เรียนหนังสือทางโลก จึงไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สอนหนังสือทางโลก เป็นต้น

และตามที่กล่าวแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือ พระไม่รับเงิน แต่ ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และ เมื่อพระภิกษุต้องการเดินทางในการประกอบกิจของสงฆ์ คฤหัสถ์ที่เป็นไวยาวัจกรก็สามารถเป็นผู้ดูแล ในเรื่องค่าใช้จ่าย

โดยที่พระไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่าเดินทาง ค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

เชิญคลิกอ่านเรื่อง พระภิกษุกับเงิน ความเข้าใจผิดของสังคมและที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

ได้ที่ลิงก์นี้ ครับ

พระภิกษุกับเงิน ความเข้าใจผิดของสังคมและที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

ขออนุโมทนา




 ans1

ความคิดเห็นที่ 2  : khampan.a - วันที่ 3 พ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

   • บวช สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศที่สูงยิ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส หรือ เพื่อรับเงินทองซึ่งเป็นการเพิ่มกิเลส.?

   • บวช สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศที่สูงยิ่งแล้วจะมีความประพฤติเหมือนอย่างคฤหัสถ์ได้หรือ.?

   • บวช สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศที่สูงยิ่ง เพื่อประพฤติตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ทรงประทานให้บวช พระองค์ไม่ทรงรับเงินทอง แล้วผู้บวชตามพระองค์จะรับเงินทองได้หรือ? เคารพพระองค์หรือ.?

   • คฤหัสถ์มีเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง กับ ภิกษุมีเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง แล้วจะมีความแตกต่างกันอย่างไร ระหว่าง ๒ เพศ คือ เพศคฤหัสถ์ กับ เพศบรรพชิต.?


@@@@@@@

เงินและทองไม่ควรแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวง เพราะเงินและทองนำมาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รสและสิ่งที่กระทบสัมผัสกายอันเป็นชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่มีพระพุทธดำรัสแม้แต่คำเดียวเลยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุรับเงินและทองหรือไปแสวงหาเงินและทอง ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค มณิจูฬกสูตร ดังนี้

   “ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตร ย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตร พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงิน โดยปริยายอะไรเลย”

ภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่รับเงินและทอง ไม่ยินดีในเงินและทอง ไม่มีเงินและทอง มีเพียงบริขารเครื่องใช้ที่เหมาะควรแก่บรรพชิต และอาศัยปัจจัย (สิ่งที่เกื้อกูลให้ชีวิตเป็นไปได้) ๔ ในการดำรงชีวิตเพื่อให้ชีวิตเป็นไปได้ในการที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส เท่านั้น ได้แก่ จีวรเครื่องนุ่งห่ม อาหารบิณฑบาตที่ได้มาจากศรัทธาของชาวบ้าน ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเมื่อเจ็บป่วย

ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางที่จะเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงได้ ความไม่รู้ก็มีมากเพราะสะสมมามากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ยิ่งจะสะสมพอกพูนความไม่รู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด

เมื่อไม่รู้อย่างนี้ ก็ทำในสิ่งที่ผิด ยิ่งถ้าเป็นภิกษุก็ประพฤติผิดพระวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ เห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระธรรมวินัย ทำทางให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

@@@@@@@

คฤหัสถ์ที่ไม่เข้าใจพระธรรมก็ทำในสิ่งที่ผิด ทำอกุศลกรรมประการต่างๆ อันเนื่องมาจากความไม่รู้และการกระทำต่างๆ ที่มีต่อภิกษุก็เป็นการกระทำที่เป็นเหตุให้ภิกษุต้อง อาบัติ เป็นประหนึ่งผลักภิกษุให้ไปเกิดในอบายภูมิ

อย่างเช่น กรณีคฤหัสถ์ถวายเงินแก่ภิกษุ ผู้ไม่รู้ ก็ดูเหมือนว่าคฤหัสถ์จะเป็นผู้ที่หวังดีให้ความสะดวกสบายแก่ภิกษุ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้หวังดี ไม่ได้ให้ความสะดวกสบายแก่ภิกษุเลย แต่เป็นความหวังร้าย สร้างความเดือดร้อนให้กับภิกษุ ทำให้ภิกษุลำบาก

เพราะเหตุว่าเป็นให้ภิกษุล่วงละเมิดพระวินัย เป็นผู้มีอาบัติติดตัว เมื่อภิกษุ ไม่เห็นโทษไม่แก้ไข ไม่กระทำคืนให้ถูกต้องด้วยการปลงอาบัติที่จะสำรวมระวังไม่กระทำอย่างนั้นอีก หากมรณภาพไปในขณะที่เป็นภิกษุ ก็ไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น เพราะความเป็นสมณะถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะฉุดคร่าไปสู่อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น

ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ตายนสูตร ดังนี้

     “หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปในนรก ฉันนั้น”

ดังนั้น คฤหัสถ์ผู้ฉลาดในพระธรรมวินัยจะไม่ถวายเงินทองแก่ภิกษุ แต่จะถวายเฉพาะสิ่งที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต เท่านั้น ครับ

    ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 18, 2025, 09:53:25 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"พระภิกษุกับเงิน" ความเข้าใจผิดของสังคม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 18, 2025, 10:40:58 am »
0
 :25: :25: :25:

"พระภิกษุกับเงิน" ความเข้าใจผิดของสังคม


ที่มา : บ้านธัมมะ / กระดานสนทนา / ธรรมทาน
https://www.dhammahome.com/webboard/topic/29817







พระภิกษุกับเงิน ความเข้าใจผิดของสังคมและที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
Posted by Guest - วันที่ 14 มิ.ย. 2561

พระภิกษุ คือ ใคร พระภิกษุ คือ บุคคลที่ออกบวชเป็นบรรพชิต เพราะเห็นโทษของกิเลสด้วยปัญญา สละทุกสิ่งที่เป็นอย่างคฤหัสถ์ ละการกระทำอย่างคฤหัสถ์ ประพฤติขัดเกลาละกิเลสอย่างยิ่งเพื่อถึงการดับทุกข์

โดยมีพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ภิกษุประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุในเมือง ภิกษุชนบท และภิกษุทุกๆ รูปที่บวชมาในพระศาสนานี้ ต่างก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติทุกรูป

เงิน คือ สิ่งที่สังคมสมมติขึ้นมา สำหรับแลกเปลี่ยนเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

พระวินัย เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงเกื้อกูลกับพระภิกษุ ที่เป็นพระธรรมที่ทรงแสดงบัญญัติสิกขาบท ข้อห้าม และข้อควรประพฤติ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญ ให้กุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วเจริญ และอาสวกิเลสที่ไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้น

ซึ่งจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อันเป็นรากฐานสำคัญให้กุศลอื่นๆ เจริญจนถึงการดับกิเลส อันเป็นพระวินัย เป็นรากฐานในการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ภิกษุที่ดี ที่เป็น ลัชชี (ผู้มีความละอาย) ย่อมรักษาพระวินัยไว้

พระวินัยบัญญัติข้อภิกษุ เกี่ยวกับเงินทอง ที่ภิกษุทุกรูปไม่ว่ารูปใดหรืออยู่วัดใด วัดในเมือง วัดชนบท ต้องประพฤติปฏิบัติตามเมื่อบวชเป็นบรรพชิต




 :25: :25: :25:

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 940

พระบัญญัติ

๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

_____________________

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 212

๑๐. มณิจูฬกสูตร

"ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ... เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย."

_____________________

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 327

๑๑. อปายสูตร

"คนเป็นอันมากอันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามกไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย ก้อนเหล็กร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้วยังประเสริฐกว่า ผู้ทุศีล ไม่สำรวม พึงบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร."




 :25: :25: :25:

เมื่อเราตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจถูกต้องตรงกัน คือตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ตามความคิดชอบใจของตนเองแล้ว สมกับเป็นชาวพุทธที่กล่าวว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง และเคารพคำของพระพุทธเจ้า ก็จะสามารถกล่าวไปแต่ละประเด็นในความเข้าใจผิดและความเข้าใจถูกของพระรับเงินทอง

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑. พระรับเงินไม่อาบัติ (อาบัติ คือ การตกไป ตกไปจากความดี เป็นโทษ ที่เกิดเพราะความละเมิดพระวินัย)

เข้าใจถูก

๑. พระรับเงิน หรือ แม้ยินดีในเงินที่เขาเก็บมาไว้เพื่อตนต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นโทษ พระพุทธเจ้าและบัณฑิตทั้งหลายผู้เข้าใจพระธรรม ย่อมติเตียน ส่วนฝ่าย ภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย) และคฤหัสถ์ผู้ไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือเข้าใจพระธรรมผิด ย่อมไม่ติเตียนการรับเงินของพระภิกษุ

คฤหัสถ์ไม่ควรถวายเงินพระและใบปวารณา แต่ให้เงินกับไวยาวัจกรของวัดที่ดี มีคุณธรรม ดูแลเงินนั้น ไวยาวัจกร คือคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา เสียสละเพื่อทำประโยชน์ต่อพระภิกษุตามพระธรรมวินัย และภิกษุมีเหตุจำเป็นตามธรรมวินัย จึงขอปัจจัยที่เหมาะสม ที่ไม่ใช่เงินทอง กับไวยาวัจกร เพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมให้กับพระภิกษุนั้น โดยคฤหัสถ์ทำการซื้อมาให้ มี บาตร จีวร เป็นต้น

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๒. ยุคสมัยเปลี่ยนไป พระภิกษุรับเงินทองได้

เข้าใจถูก

๒. สัจจะ ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเลย อกุศล ความชั่วเป็นอกุศลเป็นความชั่วไม่เปลี่ยนแปลง กุศล ความดีเป็นกุศลเป็นความดี ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าเกิดกับใคร และช่วงเวลาไหน แม้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

โลกเปลี่ยนแปลงไปตามสมมติเรื่องราวที่เป็นบัญญัติ ไม่ใช่สัจจะ แต่สภาพธรรมที่มีจริง คือ กุศล อกุศล ไม่เปลี่ยนไปตามโลก เรื่องราวเลย สิ่งใดมีโทษ พระองค์ตรัสว่ามีโทษ ความมีโทษที่ทำให้อกุศลเจริญ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แม้แต่การรับและยินดีเงินทองนั้น ของพระภิกษุ พระพุทธองค์ก็ตรัสว่ามีโทษและไม่สมควรกับพระภิกษุไม่ว่ากาลเวลาไหน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

เพราะก็ต้องเข้าใจความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า บวช บรรพชา คือการเว้นทั่วจากกิเลส และเป็นการสละอาคารบ้านเรือน ไม่ใช่เพศคฤหัสถ์แล้ว ดังนั้น จะทำดังเช่นคฤหัสถ์ที่มีการใช้จ่ายเงินและทอง รับเงินทองไม่ได้เลย แต่ถ้าจะใช้เงินทอง หรือปฏิบัติตนดังเช่นคฤหัสถ์ ก็ต้องกลับมาเป็นเพศคฤหัสถ์ดังเดิม สละเพศบรรพชิต

ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาสูงสุด พระองค์ทรงรู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าบอกว่าเปลี่ยนแปลงได้ ก็กล่าวตู่พระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า เพราะเราไม่มีปัญญา เป็นเพียงแค่ปุถุชน จะกล่าวเปลี่ยนคำของพระพุทธเจ้าไม่สมควรเลย เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่ารับเงินทองได้ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไม่ได้แย้งกับใคร ก็แย้งกับพระพุทธเจ้าเอง ดังนั้น พุทธบริษัทควรมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีความคิดตนเองเป็นที่พึ่ง และที่วงการสงฆ์วุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะ พระรับและยินดีในเงินและทอง และคฤหัสถ์ไม่รู้พระวินัย

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๓. คฤหัสถ์ถวายเงินพระภิกษุได้บุญ

เข้าใจถูก

๓. คฤหัสถ์ถวายเงินพระไม่ได้บุญ เพราะความไม่รู้ และพระภิกษุต้องอาบัติเป็นโทษกับตัวท่าน

การให้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกุศลธรรม เป็นความดีทุกครั้ง การให้เพราะเลี้ยงสัตว์เอาไว้ขาย ให้เพราะติดสินบน เหล่านี้ แม้เป็นการให้ แต่ก็ไม่ใช่ทานของสัตบุรุษ ไม่ใช่กุศลธรรม เช่นเดียวกับการให้เงินและทองกับพระภิกษุด้วยความไม่รู้ของผู้ให้ ผิดพระวินัย พระภิกษุต้องโทษ จึงไม่ใช่ทานของสัตบุรุษ ไม่ใช่กุศลธรรม

ดั่งในกฎหมายตรา ๓ ดวง ที่มีขึ้นในรัชกาลที่ ๑ ที่ปราบพวกพระอลัชชี ตั้งขึ้นมาจากผู้มีความเข้าใจพระธรรม ก็แสดงความจริงว่า ฆราวาสผู้ไม่รู้ ไม่มีปัญญา ถวายเงินพระ ไม่ได้บุญ ทำลายพระพุทธศาสนา ... ข้อความบางตอนดังนี้

ฝ่ายฆราวาสก็ปราศจากปัญญา มิได้รู้ว่า ทำทานเช่นนี้จะเกิดผลน้อยมากแก่ตนหามิได้ มักพอใจทำทานแก่ภิกษุสามเณรอันผสมประสานทำการของตนจึ่งทำทาน บางคนย่อมมักง่ายถวายเงินทองของอันเป็นอกัปปิยะมิควรแก่สมณะ สมณะก็มีใจโลภสะสมทรัพย์เลี้ยงชีวิต ผิดพระพุทธบัญญัติ ฉะนี้ ได้ชื่อว่าฆราวาสหมู่นั้นให้กำลังแก่ภิกษุโจรอันปล้นพระศาสนา ทานนั้นหาผลมิได้ ชื่อว่าทำลายพระศาสนา ... "

ชาวพุทธควรพิจารณาศึกษาพระธรรม เข้าใจความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการให้เงินและทองพระภิกษุ พระภิกษุต้องอาบัติ เป็นโทษกับท่าน และทำลายพระพุทธศาสนา และเวลานี้ที่วงการสงฆ์วุ่นวาย ถูกฟ้องร้องเรื่องเงินทองและทำผิดประการต่างๆ ก็เพราะ การรับเงินทองของพระภิกษุ ทุจริตเรื่องเงินทองนั่นเอง

ควรที่ชาวพุทธจะรู้ว่าพระที่ดี คือพระที่ประพฤติตามพระวินัย ไม่รับเงินทอง และคฤหัสถ์ที่ดี คือ ถวายของที่เหมาะสมกับพระภิกษุ ไม่ถวายเงินทอง ก็จะเป็นการช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กำจัดภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่มีความละอาย) ออกไป ภิกษุรับเงินและทอง คือภิกษุมิจฉาชีพ อลัชชี ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง





เข้าใจผิด

๔. วัดมีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ในสมัยปัจจุบัน ไม่เหมือนสมัยก่อน ไม่มีค่าใช้จ่าย พระจึงจำเป็นจะต้องรับเงิน ใช้เงิน

เข้าใจถูก

๔. เป็นความจริงที่ว่าปัจจุบันวัดต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ แต่มีวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะไม่ทำให้พระท่านอาบัติ และพระที่ดี ท่านก็จะไม่รับเงินโดยประการทั้งปวง แต่ใช้วิธีที่เหมาะสม

ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินในวัด คฤหัสถ์ที่ดีรับเงินดูแลเงิน

เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟในวัด แม้ในในอดีตและปัจจุบันก็มีบางวัดประพฤติตามพระวินัย ที่ให้คฤหัสถ์เป็นคนรับเงินของวัด ดูแลเงิน จัดการเงินและจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟให้ โดยที่พระไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินและทองเลย ท่านไม่ต้องอาบัติ แต่เลือกคฤหัสถ์ที่ดี มีคุณธรรมเป็นไวยาวัจกรในการจัดการดูแลเงิน และพระภิกษุก็มีหน้าที่ศึกษาพระธรรม (คันถธุระ) และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (วิปัสสนาธุระ) เพราะบวชมา

จุดประสงค์คือ ละอาคารบ้านเรือน ไม่ประพฤติตนดั่งเช่นคฤหัสถ์ และบวชเพื่อถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบโดยส่วนเดียว และไม่ใช่ข้ออ้างว่าคฤหัสถ์จะทุจริตเงินวัด จึงจำเป็นที่พระภิกษุต้องรับเงินดูแลเงินเอง ทำทุจริต ผิดพระวินัยเสียเอง เพราะพระรับเงิน ยินดีในเงินทอง เป็นทุจริตแล้วตามพระวินัยบัญญัติ

คฤหัสถ์ไม่ควรถวายเงินพระและใบปวารณา แต่ให้เงินกับไวยาวัจกรของวัดที่ดีมีคุณธรรม ดูแลเงินนั้น และภิกษุมีเหตุจำเป็นตามธรรมวินัย จึงขอปัจจัยที่เหมาะสมที่ไม่ใช่เงินทองกับไวยาวัจกรเพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมให้กับพระภิกษุนั้น โดยคฤหัสถ์ทำการซื้อมาให้ มี บาตร จีวร เป็นต้น

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๕. ค่าหมอ ค่ายาไม่ฟรี เดินทางไปหาหมอ ก็ไม่ฟรี จำเป็นที่ยุคสมัยนี้ต้องใช้เงิน และพระต้องรับเงิน

เข้าใจถูก

๕. ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือ พระไม่รับเงิน แต่ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และเมื่อพระต้องการยา การเดินทางไปหาหมอ การเดินทาง ไวยาวัจกรนั้นก็จัดสิ่งที่เหมาะสม สมควรให้กับภิกษุนั้นได้ อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย อันเป็นสิ่งของที่เป็นกัปปิยะ เหมาะสมกับพระภิกษุ ก็สามารถแจ้งไวยาวัจกรวัดได้ในการจัดหา

และในสมัยพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายก็ดูแลกันเอง มียาตามสมัย ที่เป็นเภสัช มี น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ยาดองมูตรเน่า เป็นต้น และแม้ปัจจุบัน จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็สามารถใช้วิธีการให้คฤหัสถ์ดูแลได้ในเรื่องยาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งโรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากเป็นภิกษุที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ก็ย่อมจะเป็นผู้มีโยมอุปัฏฐาก ที่ปวารณาช่วยเหลือในสิ่งที่เหมาะสม

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๖. พระต้องสร้างวัด ซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ในวัด พระจึงจำเป็นต้องรับเงินทอง ทำกฐิน ผ้าป่า

เข้าใจถูก

๖. การสร้างวัด พระไม่ใช่ผู้เรี่ยไรเงิน พระไม่ใช่ผู้รับเงิน แต่คฤหัสถ์เป็นคนจัดการเรื่องเงิน

คฤหัสถ์ผู้ฉลาดและเคารพระธรรม เคารพพระพุทธเจ้าและเคารพพระสงฆ์ ย่อมปฏิบัติตามพระวินัย คือไม่ถวายเงินทองกับพระภิกษุและเคารพพระสงฆ์ ไม่ถวายของที่เป็นอกัปปิยะ ของที่ไม่สมควร มีเงิน เป็นต้น กับพระภิกษุเพราะทำให้ท่านต้องอาบัติ คฤหัสถ์ผู้ฉลาดเคารพในพระรัตนตรัย จึงทำวิธีการที่ถูกต้อง

ดั่งเช่น สมัยพุทธกาล นางวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร ไม่ได้เอาเงินไปถวายพระพุทธเจ้า ไม่ได้เอาเงินไปถวายท่านพระสารีบุตร เพราะท่านเหล่านั้นเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ แต่สร้างวัดถวายเองโดยไม่ให้พระยุ่งเกี่ยวกับเงินและทอง เวลาที่จะสร้างอย่างอื่น เช่น โรงครัว อุบาสก อุบากสิกา ผู้เข้าใจพระธรรม ก็กล่าวบอกกับพระภิกษุ และสร้างถวาย โดยไม่ใช่เอาเงินไปให้ท่าน นี่คือ วิธีการที่ถูกต้อง เป็นการรักษาพระวินัย และดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา

ข้อความในพระไตรปิฎก แสดงความจริงว่า การสร้างวัด เป็นต้น ไม่ใช่การให้เงินพระโดยตรง ไม่มีการที่พระทำกฐิน ผ้าป่า เงินทอง แต่คฤหัสถ์เป็นคนจัดการเรื่องเงินสร้างวัดให้

ท่านพระอุเทน "พราหมณ์ พระเจ้าอังคะโปรดพระราชทานอะไรเป็นเบี้ยเลี้ยงประจำแก่ท่านทุกวัน"

โฆฏมุขพราหมณ์ "ท่านอุเทน พระเจ้าอังคะโปรดพระราชทานทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะเป็นเบี้ยเลี้ยงประจำแก่ข้าพเจ้าทุกวัน"

ท่านพระอุเทน "พราหมณ์ การรับทองและเงินไม่สมควรแก่อาตมภาพทั้งหลาย"

โฆฏมุขพราหมณ์ "ท่านอุเทน ถ้าทองและเงินนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะให้สร้างวิหารถวายท่านอุเทน"

ท่านพระอุเทน กล่าวว่า "พราหมณ์ ถ้าท่านปรารถนาจะให้สร้างวิหารถวายอาตมภาพ ก็ขอให้สร้างโรงฉันถวายแก่สงฆ์ในเมืองปาตลีบุตรเถิด"

ข้อความบางตอนในโฆฏมุขสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓





เข้าใจผิด

๗. พระภิกษุ สามเณรต้องเรียนหนังสือ มีค่าใช้จ่าย

เข้าใจถูก

๗. ภิกษุมีกิจ ๒ อย่าง คือ คันถะธุระ (ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า) วิปัสสนาธุระ (อบรมปัญญา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) ... กิจที่เป็นคันถธุระนั้นไม่ใช่การศึกษาหนังสือทางโลก แต่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า (คันถธุระ) ไม่ใช่การศึกษาพุทธศาสนาประยุกต์ หรือคำแต่งเหล่าอื่น หรือทำวิทยานิพนธ์ ทำปริญญา รับปริญญา เหมือนคฤหัสถ์ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการกระทำดั่งคฤหัสถ์

บวชทำไม ... สามเณรสมัยพุทธกาล หรือผู้บวชใหม่ ต้องไปเรียนศาสนาเปรียบเทียบ ประยุกต์ หรือไปสำนักตักศิลา เพื่อศึกษาศาสตร์ทางโลกอื่นๆ หรือไม่ ไม่เลย ถ้าเป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าย่อมให้ภิกษุไปศึกษาวิชาทางโลก สำนักตักศิลา ศาสนาเปรียบเทียบ ให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย ทำวิทยานิพนธ์ อย่างกับคฤหัสถ์อย่างนั้นหรือ ...

แต่ พระองค์ทรงแสดงกิจของภิกษุ มี ๒ อย่างเท่านั้น คือ ศึกษาคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงเป็นสำคัญและอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลส ...

สำหรับพระภิกษุ เมื่อบรรพชา บวชแล้ว ย่อมเป็นผู้สละทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้เว้นทั่วจากอกุศลด้วยการอบรมปัญญา ด้วยจุดประสงค์สูงสุดของการบวชเป็นพระภิกษุ คือเพื่อดับกิเลส ไม่ใช่อย่างอื่น ซึ่งหน้าที่ หรือกิจของพระภิกษุที่ถูกต้อง มี ๒ อย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ

การเรียนบาลี เพื่ออะไร ในเมื่อมีผู้มีความรู้ทางภาษาบาลี ที่แปลคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาไทย ให้สามารถศึกษาให้เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ควรศึกษาภาษาของตนให้เข้าใจด้วยการคึกษาพระธรรมตามพระไตรปิฎก นี่คือ คันถะธุระในพระพุทธศาสนา วัดมีตู้พระไตรปิฎกที่แปลแล้วมากมาย ควรที่ภิกษุ สามเณร จะศึกษาพระไตรปิฎกนั้น

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๘. ภิกษุต้องเดินทางไปไหน มาไหน ค่ารถไม่ฟรี จึงต้องรับเงิน และคฤหัสถ์จึงต้องให้เงินพระ

เข้าใจถูก

๘. ภิกษุในธรรมวินัย คือเป็นผู้เบา มีกิจน้อย ไม่เป็นผู้เดินทางบ่อย หากมีผู้นิมนต์ไปฉันที่บ้านหรือแสดงธรรมที่บ้าน ภิกษุผู้ฉลาด ประพฤติตามพระวินัย สามารถแจ้งกับคฤหัสถ์ได้ว่าควรกระทำสิ่งใด ไม่ให้ภิกษุออกค่าใช้จ่ายเอง แต่ควรมารับ มาส่ง อันไม่เกี่ยวข้องกับเงินและทอง เป็นต้น และพระภิกษุที่ดี

หากพิจาณาว่าต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง ไม่สะดวกในการเดินทาง ท่านก็แจ้งกับคฤหัสถ์ไปในเรื่องนั้นว่าไม่สะดวกโดยประการใด อันเป็นการเคารพพระวินัย ทำตามพระวินัยบัญญัติ และพระภิกษุไม่มีหน้าที่เรียนหนังสือทางโลก จึงไม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สอนหนังสือทางโลก เป็นต้น

และตามที่กล่าวแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าทำวิธีการที่ถูกต้อง คือพระไม่รับเงิน แต่ ฆราวาสให้เงินกับคฤหัสถ์ผู้เป็นไวยาวัจกรของวัดโดยตรงดูแล ที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และเมื่อพระภิกษุต้องการเดินทางในการประกอบกิจของสงฆ์ คฤหัสถ์ที่เป็นไวยาวัจกรก็สามารถเป็นผู้ดูแลในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยที่พระไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติรับเงินทอง ยินดีในเงินทอง เพราะมีเงินส่วนกลางของวัดในการบริหารจัดการ ทั้งในเรื่องค่าเดินทาง ค่ายา ค่าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๙. พระภิกษุรับเงินได้ หากนำเงินนั้นไปช่วยเหลือสังคม

เข้าใจถูก

๙. หากได้ศึกษาพระวินัย กิจของพระภิกษุ มีสองอย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่จะทำกิจอย่างคฤหัสถ์ โดยการสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน เป็นต้น

การรับและยินดีในเงินและทอง แม้จะช่วยสังคมก็เป็นอาบัติสำหรับพระภิกษุ ถ้าจะช่วยสังคมอย่างคฤหัสถ์ ก็สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ เพราะเพศบรรพชิต สละแล้วซึ่งเงินและทองทั้งปวง พระอริยสาวกผู้มีปัญญาในอดีต มีท่านพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นต้น ออกมาช่วยสังคมแบบคฤหัสถ์หรือไม่ หรือรับเงินและทอง ช่วยสังคม หรือไม่ ไม่เลย เพราะท่านเคารพพระวินัย เคารพในพระพุทธเจ้า และรู้ตัวเองว่าเป็นเพศใด ดังนั้น ท่านช่วยสังคมที่ถูกต้อง ตามเพศบรรพชิต คือท่านแสดงธรรมอันเป็นการช่วยสังคมอย่างสูงสุดและเคารพพระวินัยที่จะไม่ทำอย่างคฤหัสถ์





เข้าใจผิด

๑๐. พระต้องรับเงิน เพราะมีเงินนิตยภัต ฝากเข้าบัญชี ทำกันมานานแล้ว

เข้าใจถูก

๑๐. เงินนิตยภัตเป็นเงินค่าอาหารของภิกษุที่มีสมณศักดิ์ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาต้องดูแลนำเงินนี้ไปจัดการจัดหาภัตตาหารถวาย ไม่ใช่มอบเงินให้แก่ภิกษุไปโดยตรง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ไม่เป็นการเอื้อเฟื้อพระวินัย ทำให้ภิกษุต้องอาบัติที่รับเงินดังกล่าวไว้โดยตรงอีกด้วย

ความมักง่ายของข้าราชการไทยและองค์กรพระพุทธศาสนา ที่เมื่อรับเงินนิตยภัต เพื่อซื้อของที่สมควรกับพระภิกษุ แต่กลับนำเงินนั้นโอนเข้าบัญชีพระ ให้ของที่ไม่เหมาะสม ทำผิดพระวินัย ทำลายพระพุทธศาสนา ดังนั้น ควรกระทำให้ถูกต้อง และก็จะไม่ทำให้พระเป็นอาบัติ และไม่เป็นข้ออ้างของภิกษุอลัชชีผู้ไม่ละอาย

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๑. พระพุทธศาสนาต้องปรับตัว ภิกษุต้องปรับตัวเข้ากับยุคสมัย คือรับเงิน มีมือถือ ใช้เฟซบุ๊ก ศาสนาดำรงอยู่มาได้ เพราะพระพุทธศาสนาและพระภิกษุปรับตัวตามยุคสมัย

เข้าใจถูก

๑๑. ความเข้าใจถูกและประพฤติตามพระวินัยทำให้ศาสนาเจริญ การประพฤติผิดพระวินัยของพระภิกษุและพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติไม่เคารพพระธรรม เป็นเหตุของศาสนาพุทธเสื่อมถอย

บรรพชิต คือผู้สละ ละทุกสิ่งที่กระทำดั่งคฤหัสถ์ ออกบวช เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ แต่ผู้บวชอ้างยุคสมัย ขอทันโลก แต่เป็นโลกที่คฤหัสถ์เขาทำกัน เล่นเฟซบุ๊ก เดินห้าง รับเงินทอง มีบัญชีธนาคาร ซ่อมถนนชาวบ้าน ไม่ใช่กิจของภิกษุ ทันโลกของพระภิกษุ คือโลกตามพระวินัยบัญญัติ ไม่ขัดแย้งกับพระวินัย ประพฤติให้น่าเลื่อมใส ดั่งเป็นผู้สละ ประพฤติอบรมปัญญาขัดเกลากิเลสตามพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว ไม่ใช่ตามโลกคฤหัสถ์ กระทำตนแบบคฤหัสถ์ นำมาซึ่งการเพิ่มกิเลส พระพุทธเจ้าทรงติเตียนภิกษุประพฤติตนดั่งคฤหัสถ์ ชาวพุทธควรตื่นรู้ความจริงว่า

พระคือใคร การบวชคืออะไร และไม่สนับสนุนพระเหล่านั้น มีการให้เงินและทอง เป็นต้น อันเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ดังนั้น ศาสนาพุทธที่ดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ดำรงอยู่ด้วยความเจริญ หรือความเสื่อมลงในปัจจุบัน เพราะพระพุทธศาสนาจะหมดสิ้นไปเมื่อถึงห้าพันปี แต่ปัจจุบัน สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ศาสนาเจริญหรือเสื่อม

เมื่อภิกษุสมัยปัจจุบันกระทำตามคฤหัสถ์ ไม่ประพฤติตามพระวินัย บอกว่ารับเงินทองได้ ทั้งๆ ที่ผิดพระวินัยบัญญัติ และคฤหัสถ์ที่ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยก็เห็นดีงามด้วย นี่ต่างหากที่เป็นเหตุพระพุทธศาสนากำลังเสื่อมไปเรื่อยๆ เพราะพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติตามพระธรรม จนถึงเมื่อห้าพันปี พระพุทธศาสนาก็อันตรธานไปจากใจของทุกคน

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๒. พระพุทธศาสนาต้องเดินทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป ปัจจุบันพระต้องใช้เงิน

เข้าใจถูก

๑๒. ทางสายกลาง คือทางที่ถูกต้อง ทางที่เป็นกุศลธรรม ทางที่ดี มีปัญญา ไม่ใช่ทางที่ชั่ว ทางที่ตึงเกินไป และทางที่หย่อนเกินไป คือทางที่เป็นอกุศลธรรม ทางชั่ว เพราะฉะนั้น คำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสออกมาด้วยพระปัญญาในการบัญญัติสิกขาบท มี ภิกษุไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เป็นทางที่ถูก ทางสายกลาง เพราะ เมื่อภิกษุประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ติดข้อง เพื่อละ เพื่อขัดเกลากิเลส และไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในสงฆ์ เหมือนปัจจุบันที่ภิกษุรับเงินทองและเกิดความวุ่นวาย

แต่การรับเงินทองด้วยความยินดี ติดข้อง ไม่ต่างจากคฤหัสถ์ ขณะนั้นเป็นกิเลส จะเป็นทางสายกลางไม่ได้ แต่เป็นทางหย่อน ที่มัวเมาเพลินเพลินในกามคุณ มี เงินทอง เป็นต้น เพราะฉะนั้น พระวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า มีการไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทองของพระภิกษุ จึงเป็นทางสายกลาง





เข้าใจผิด

๑๓. พระพุทธเจ้าตรัสก่อนปรินิพพานให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ก็ควรจะถอนสิกขาบทข้อที่ภิกษุไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทองไปได้

เข้าใจถูก

๑๓. ผู้มีปัญญาเคารพในสิกขาบททุกข้อ จึงไม่เพิกถอนสิกขาบท

หากจะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าให้ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย แล้วใครเล่าที่จะให้ยกเลิก ข้อนั้น ข้อนี้ แม้แต่ พระอริยสาวก ผู้เป็นพระอรหันต์ มีท่านพระมหากัสสปะ และท่านพระอานนท์ เป็นต้น เมื่อครั้งทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ ผู้ล้วนทรงคุณ เลิศด้วยฤทธิ์และปัญญา ก็มีมติว่า เราจะไม่ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย เพราะท่านเหล่านั้นเคารพในพระปัญญาคุณและเคารพในพระวินัยที่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะบัญญัติได้

แม้ท่านพระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญาก็ไม่สามารถบัญญัติพระวินัยได้เลย นี่คือ ความเคารพในพระวินัยบัญญัติและเคารพในพระพุทธเจ้าของผู้มีปัญญาในสมัยอดีตกาล และพระพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อแสดงถึงกำลังของพระมหากัสสปะที่จะสังคายนาพระธรรมไว้ดีแล้ว และจะดำรงรักษาพระวินัยบัญญัติทุกข้อไว้

เรื่องการรับเงินทอง พระพุทธเจ้าทรงติเตียนเป็นอันมาก และยังมีในพระสูตรอีกมากมายที่แสดงว่า ภิกษุไม่พึงรับและยินดีในเงินและทอง มี มณิจูฬกสูตร เป็นต้น เพราะฉะนั้น การรับเงินและทองจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยสำหรับเพศบรรพชิต

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๔. พระภิกษุรับเงินได้ เพราะปรับตามมหาปเทส ๔

เข้าใจถูก

๑๔. พระภิกษุรับเงินไม่ได้ เพราะไม่เข้ากับมหาปเทส ๔

มหาปเทส ๔ เป็นหลัก ข้ออ้างใหญ่ ซึ่งมีทั้งพระสูตร พระวินัย แต่หลักมหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น หลักนั้น แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งของ หรือของใช้พระภิกษุ บริขาร ปัจจัยที่จำเป็นจะต้องไม่ใช่ของที่ไม่สมควร คือเป็น อกัปปิยะ กับพระภิกษุด้วย

เพราะฉะนั้น เงินและทอง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกับพระภิกษุ และพระพุทธเจ้า ก็ทรงปรับอาบัตินิสัคคิยปาจิตตีย์สำหรับพระภิกษุที่รับและยินดีในเงินทอง และไม่เข้ากับพระสูตรอื่นๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เงินและทองไม่สมควรกับสมณเชื้อสายศากยบุตรโดยประการทั้งปวง มี มณิจูฬกสูตร เป็นต้น

ดังนั้น การเอาหลัก มหาปเทส ๔ มาอ้าง แต่ขัดกับหลักพระธรรมวินัย ย่อมไม่สมควรโดยประการทั้งปวง เพศบรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลา ดังนั้น การกระทำ ก็ต้องไม่ใช่ดังเพศคฤหัสถ์ มีการรับหรือใช้เงินทอง เป็นต้น ดังนั้น พุทธบริษัท ก็ควรเป็นผู้เคารพพระวินัย ศึกษาพระธรรม ตามความเป็นจริง และละเอียดในการอ่านพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๕. คฤหัสถ์และพระภิกษุควรเห็นด้วยกับการรับเงินทองของพระภิกษุในสมัยปัจจุบัน

เข้าใจถูก

๑๕. คฤหัสถ์และภิกษุผู้มีปัญญาเข้าใจพระธรรม ไม่เห็นด้วยกับพระภิกษุรับเงินทอง เห็นด้วยกับภิกษุชั่ว อลัชชี ที่กล่าวว่าภิกษุรับเงินทองได้ หรือเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าว่า ภิกษุรับเงินทองมีโทษ เป็นอาบัติ พระองค์ทรงติเตียน

ดังเช่น สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี เป็นภิกษุอลัชชี ไม่ดี กล่าวตั้งวัตถุ ๑๐ ประการ ที่เป็นอธรรม ซึ่ง ข้อที่ ๑๐ คือ ภิกษุรับเงินทองได้ ไม่ต้องอาบัติ พระอรหันต์ชื่อท่านพระยสกากัณฑกบุตร เห็นว่า อธรรม (ธรรมชั่ว) เกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรให้ธรรมชั่วมีกำลัง จึงได้รวมประชุมพระอรหันต์ และทำสังคายนาครั้งที่ ๒ กล่าว การรับเงินทองมีโทษ จนสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

ดังนั้น ก็เป็นที่น่าพิจารณาว่า เราเห็นด้วยว่าพระภิกษุรับเงินทองได้ ไม่เป็นไร เห็นด้วยกับธรรมชั่วของพระภิกษุอลัชชี คือเหล่าภิกษุกลุ่มวัชชี หรือเราไม่เห็นด้วยเรื่องการรับเงินทองของพระภิกษุเป็นอาบัติ มีโทษ อันเป็นฝักฝ่ายธรรมะ คือเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย และตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและพระพุทธเจ้าที่ทรงติเตียนเรื่องนี้ ที่ภิกษุรับเงินทองมีโทษ

ดังนั้น การกล่าวคำที่ตู่ ไม่ตรง จึงมีโทษมาก ควรมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง และศึกษาพระวินัยอย่างละเอียดรอบคอบ ก็จะเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้อายุยืนนานอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น เราก็บอกว่า อนุโลมได้ตามยุคสมัย ค่อยๆ อนุโลมสิ่งที่ผิด ค้านพระวินัยไปเรื่อยๆ ทีละข้อ ตามยุคสมัย ก็จะกลายเป็นแบบนิกายอื่น และพระธรรมก็เสื่อมไปในที่สุด ช่วยๆ กันรักษาพระวินัยด้วยการศึกษาพระวินัย เผยแพร่คำจริงและเป็นฝักฝ่ายของธรรม ฝักฝ่ายความเห็นถูกให้มีกำลังตามธรรมวินัย

เชิญคลิกอ่านประวัติสังคายนาครั้งที่ ๒ และ เรื่อง ภิกษุชั่ว การว่า รับเงินทองได้ ไม่อาบัติ จึงเป็นเหตุของการสังคายนา โดยภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ ครับ

การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๒

....อ่านต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 18, 2025, 11:07:09 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"พระภิกษุกับเงิน" ความเข้าใจผิดของสังคม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 18, 2025, 11:06:07 am »
0
.



(...ต่อจากด้านบน)

เข้าใจผิด

๑๖. วัดเมือง กับ วัดชนบท มีเงื่อนไข บริบทต่างกัน

เข้าใจถูก

๑๖. ภิกษุทุกรูปที่บวชแล้วย่อมมีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์และต้องประพฤติตามพระวินัยเป็นเงื่อนไขพื้นฐานทุกรูป

เมื่อกาลเมื่อเราล่วงไปแล้ว พระธรรมจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าภิกษุใด ที่บวช จะอยู่วัดไหน อย่างไร ล้วนมีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ เป็น ศากยบุตร เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น เงื่อนไข บริบทที่พระภิกษุทุกรูป จะต้องประพฤติปฏิบัติตาม คือพระธรรมวินัยบัญญัติ

พระในเมือง เช่น เมืองราชคฤห์ พระภิกษุที่ดี ก็ล้วนแล้วแต่ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ประพฤติตามพระธรรมวินัย พระภิกษุเมืองตักศิลา อยู่ห่างไกล ภิกษุที่ดีก็ล้วนแล้วแต่ประพฤติตามพระวินัย คือไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง

พระในเมือ ต้องเสียค่าใช้จ่าย ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าแก้ปัญหาถูกวิธี มีคฤหัสถ์เป็นไวยาวัจกร ก็สามารถจัดการเรื่อเงินทองโดยพระไม่ยุ่งเกี่ยว จึงตัดปัญหาเรื่องการรับเงินของพระภิกษุ แต่ถ้าอ้างว่าเสียเวลาไม่สะดวกในการแจ้งกับไวยาวัจกร พระภิกษุอดทนไม่ได้ จนถึงขนาดต้องประพฤติตนนอกคำสอน ล่วงพระวินัยเลยหรือ แล้วบวชทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่ออดทน ขัดเกลากิเลส เป็นพระภิกษุที่ดี เพื่อถึงการดับทุกข์ ประพฤติตามพระธรรมวินัย

ดังนั้น เงื่อนไขของพระภิกษุทุกรูป ไม่ต่างกันเลย คือประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ภิกษุดีที่ตั้งใจประพฤติตามพระวินัย ย่อมไม่มีข้ออ้าง ไม่เดือดร้อน ประพฤติเบาสบาย แต่ตรงกันข้าม ภิกษุอลัชชี ไม่ละอาย ย่อมมีข้ออ้างเพื่อจะทำผิดพระวินัยเสมอ เป็นผู้เดือดร้อนในพระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๗. ต้องให้ลองมาบวชเอง ถึงจะรู้ว่าสมัยนี้พระต้องใช้เงิน รับเงิน เพราะมีชีวิตลำบาก

เข้าใจถูก

๑๗. ผู้ที่รู้อัธยาศัยตนเอง ว่าสละอาคารบ้านเรือนได้จริงๆ จึงจะออกบวช หากได้อ่านพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระพุทธเจ้าไม่ได้มีการบังคับให้ใครไปบวช พุทธบริษัท จึงมี ๔ พระอริยสาวกที่บรรลุธรรมอยู่ในเพศคฤหัสถ์มีมากมาย มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขาอุบาสิก ท่านเหล่านั้นไม่ได้บวช

แต่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญคฤหัสถ์เหล่านั้น เพราะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมในเพศคฤหัสถ์ แต่พระภิกษุที่ออกบวช แต่ประพฤติตนไม่ตามพระวินัยบัญญัติ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ทรงติเตียน เช่น พระฉัพพัคคีย์ที่ละเมิดพระวินัยเป็นประจำและไม่เห็นโทษ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ตนเองไม่มีอัธยาศัยในการบวช ยังกระทำตนดั่งคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ดังนั้น บุคคลจะเป็นผู้ประเสริฐไม่ได้อยู่ที่เพศ แต่อยู่ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือไม่ หากเป็นผู้รับเงินและทองในเพศพระภิกษุ พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ไม่ทรงสรรเสริญเลย ดังนั้น ผู้ที่ขัดเกลลากิเลสอย่างยิ่งจริงๆ จึงไม่รับเงินทองโดยประการใดๆ เลยในเพศพระภิกษุ

สามารถอ่านหนังสือ จะบวชหรือจะบาปได้ที่ลิงก์นี้

จะบวชหรือจะบาป

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๘. การบวชต้องเสียเงิน เช่น ซื้อบาตร จีวร พระจึงต้องรับเงิน

เข้าใจถูก

๑๘. เมื่อบวชไปแล้ว ไม่ต้องใช้เงินเลย หากพระภิกษุประพฤติตามพระวินัยและมีไวยาวัจกรจัดการเรื่องเงิน อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่พระภิกษุอลัชชี ไม่ละอาย ย่อมอยากได้เงิน เป็นผู้รับเงินเอง ไม่ให้ไวยาวัจกรเข้ามาจัดการ นั่นเป็นวิธีที่ผิด ตัวท่านเองก็อาบัติ และก็แนะนำญาติโยมในสิ่งที่ผิดว่าพระรับเงินได้ ก็ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา

@@@@@@@

เข้าใจผิด

๑๙. ถ้าให้พระไม่รับเงิน คนก็ไม่บวช หรือพากันสึก มีพระภิกษุน้อย พระพุทธศาสนาก็เสื่อม

เข้าใจถูก

๑๙. วัด และพระภิกษุ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนา คือคำสอนและความเข้าใจพระธรรม มีวัดมาก แต่ วัด คืออาราม ที่อยู่ของผู้สงบ แต่มีพระที่ไม่ประพฤติธรรม มีรับเงินทอง เป็นต้น และทำกิจของคฤหัสถ์ เรี่ยไรเงิน ผ้าป่า กฐิน สร้างสำนักปฏิบัติ สอนธรรมผิดๆ วัดเหล่านั้นที่มีพระภิกษุอลัชชี ล่วงพระวินัย ไม่ละอาย สอนธรรมผิด ยิ่งมีมาก ยิ่งทำลายพระพุทธศาสนาและทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม จึงไม่ใช่ใครที่ไหนที่ทำลายพระพุทธศาสนา

ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com

โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันนี้ เวลา 08:42:46 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ความไม่เข้าใจ เรื่อง "พระรับเงิน"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:48:18 am »
0
.



ความไม่เข้าใจ เรื่อง "พระรับเงิน"
8 ธันวาคม 2018 | tppattaya2343@gmail.com
ที่มา : https://dhamtara.com/?p=19068




 :96: :96: :96:

คำเตือน : เรื่องนี้ยาวมาก และมีภาษาทางพระที่เข้าใจยากอยู่มาก โปรดอ่านเมื่อมีเวลามากพอที่จะอ่านและที่จะขบคิดตามไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

ผมได้อ่านโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง โพสต์เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีข้อความดังนี้

ตอนนี้กำลังถกเถียงกันเรื่องพระรับเงิน บางคนบอกว่ารับได้ บางฝ่ายบอกว่า รับไม่ได้เป็นอาบัติ แม้แต่ประมุขสงฆ์ก็ว่าญาติโยมไม่ควรนำเงินใส่บาตรหรือถวายพระ แต่บางคนบอกว่า เป็นแค่ธนบัตร กระดาษ มิใช่เงินจริงๆจึงควรรับได้

โดยใช้หลักมหาปเทส ๔ ประการที่พุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ หรือจะใช้หลักทื่ว่า ”อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนัง อนุวัตติตุง” พระสงฆ์ท่านไม่กล้าที่จะบอกว่า การรับจตุปัจจัย ขอให้ใช้หลักเทียบเคียงมหาปเทส 4 ก็คงได้

ดังนั้นจึงขอให้ท่านผู้รู้ช่วยตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้แทนพระคุณเจ้าด้วย (จบข้อความจากโพสต์)




 :25: :25: :25:

ในโพสต์ดังกล่าวมีภาพข้อความที่ยกมาจากโพสต์อื่น ดังที่ผมนำมาลงประกอบไว้ในที่นี้ด้วยแล้ว ข้อความในภาพว่าดังนี้

ธนบัตรไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทองครับ เป็นกระดาษที่มีค่า ตามกฎหมายครับ ตรงนี้ต้องให้มหาปเทส ๔ วินิจฉัยตัดสินครับ พระทศพลญาณของพระพุทธองค์ ประทานทางออกไว้แล้วครับ (จบข้อความในภาพ)

ผมติดใจตรงคำว่า “ธนบัตรไม่ใช่เงินไม่ใช่ทองครับ เป็นกระดาษที่มีค่าตามกฎหมายครับ” ผู้เขียนข้อความนี้คงต้องการจะสื่อความดังที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ในจำนวนศีล ๒๒๗ ข้อของภิกษุนั้น มีอยู่ข้อหนึ่งที่บัญญัติไว้ว่า

    "อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและ เงินอันเขาเก็บไว้ให้, ภิกษุนั้นต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์."

ปัญหาที่ถกเถียงกันก็คือ คำว่า “ทองและเงิน” (ชาตรูปรชต) ในสิกขาบทนี้หมายถึงอะไร

มีท่านจำพวกหนึ่งเข้าใจว่า “ทองและเงิน” ในที่นี้ก็คือ gold และ silver แม้แต่พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ที่ฝรั่งผู้เป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีเป็นผู้จัดทำก็แปลศัพท์นี้และอ้างถึงกรณีนี้ว่า in the prohibition of accepting gold & silver (ในกรณีที่ทรงห้ามมิให้รับทองและเงิน)

ถ้าศึกษาเรื่องราวที่เป็นต้นเหตุ (มีคำเก่าเรียกว่า “ต้นบัญญัติ”) จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง

@@@@@@@

ต้นเหตุของศีลข้อนี้มีเรื่องอยู่ว่า

ในสมัยพุทธกาล มีโยมคนหนึ่งนิมนต์พระรูปหนึ่งไปฉันที่บ้านเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุจำเป็นต้องเอาอาหารที่เตรียมไว้จะถวายพระมาให้ลูกกินเสียก่อน เมื่อพระไปถึงบ้าน จึงเล่าเหตุจำเป็นนั้นให้ท่านทราบ และได้เรียนท่านด้วยว่า ได้เตรียมเงินไว้แล้วที่จะไปจัดซื้ออาหารมาถวายใหม่ ท่านอยากจะฉันอะไรก็ขอให้บอก

(กหาปเณน ภนฺเต กึ อาหริยตุ = พระคุณเจ้าจะให้นำอะไรมาด้วยกหาปณะ)

พระรูปนั้นจึงบอกว่า ถ้าโยมตั้งใจจะบริจาคเงินจำนวนนั้นเพื่ออาตมาอยู่แล้วละก็ ไม่ต้องไปซื้ออาหารหรอก ถวายเงินแก่อาตมาเลยก็ได้

(ปริจฺจตฺโต เม อาวุโส กหาปโณติ = โยมตั้งใจบริจาคกหาปณะแก่อาตมาแล้วใช่ไหม อาม ภนฺเต ปริจฺจตฺโตติ = ใช่ขอรับ ตั้งใจบริจาคแล้ว ตญฺเญว เม อาวุโส กหาปณํ เทหีติ = กหาปณะนั่นแหละโยม ถวายอาตมาเลย)

@@@@@@@

เมื่อพระพูดเช่นนั้น โยมก็ไม่อาจจะขัดได้ จึงถวายเงินนั้นแก่พระ พระรูปนั้นก็รับเงินไป โยมผู้นั้นได้พูดแสดงความรู้สึกออกมาว่า พระภิกษุรับเงินก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน

(ยเถว มยํ รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหาม เอวเมวิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหนฺตีติ. พวกเรารับรูปิยะฉันใด พวกสมณะศากยบุตรเหล่านี้ก็รับรูปิยะฉันนั้นเหมือนกัน)

เหตุการณ์ที่พระรับเงินนี้ทำให้เกิดเสียงตำหนิติติงกันขึ้นมา เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลข้อนี้ขึ้นดังข้อความในตัวบทว่า

   โย ปน ภิกฺขุ ชาตรูปรชตํ อุคฺคเณฺหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ.
   อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและ เงินอันเขาเก็บไว้ให้, ภิกษุนั้นต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์.

_____________________________
ที่มา : วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒ นิสสัคคียกัณฑ์ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๑๐๕ หน้า ๙๐




@@@@@@@

หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงมา ๑๐๐ ปี พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่า พวกวัชชีบุตร ได้ตั้งข้อกำหนดของพวกตนขึ้นมา ๑๐ ข้อ ซึ่งล้วนแต่ฝ่าฝืนหรือหลบเลี่ยงศีล อันเป็นพุทธบัญญัติทั้งสิ้น ๑ ใน ๑๐ ข้อนั้นก็คือ ให้ภิกษุรับเงินได้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเห็นว่า จะทำให้พระศาสนาวิปริต จึงพร้อมใจกันทำสังคายนาประกาศยืนยันให้รู้ทั่วกันว่า ข้อกำหนดทั้ง ๑๐ ข้อของพวกวัชชีบุตร (รวมทั้งที่ว่า “ให้ภิกษุรับเงินได้”) นั้น เป็นเรื่องนอกธรรม นอกวินัย ไม่มีในคำสั่งสอนของพระศาสดา

จึงเป็นที่รับรู้กันตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ว่า “ห้ามภิกษุรับเงิน”

@@@@@@@

ศึกษาตัวบทกันก่อน

ในที่นี้จะขอยกต้นฉบับภาษาบาลีมาแสดงไว้ด้วย ท่านที่ไม่ถนัดคำบาลีจะอ่านเฉพาะภาษาไทยก็ได้ แต่ควรสังเกตถ้อยคำบางคำไว้บ้าง

ข้อความในพระไตรปิฎกข้อ ๑๐๖ ถัดมาซึ่งเป็นส่วนขยายความ ได้ให้คำจำกัดความคำว่า “ชาตรูปรชตํ” (ทองและเงิน) ไว้ดังนี้

ขอย้ำว่า ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความในพระไตรปิฎกโดยตรง ไม่ใช่ข้อความในอรรถกถา เพราะฉะนั้นสำนักที่ “ไม่เอาอรรถกถา” ก็คงไม่ต้องตั้งป้อมปฏิเสธ

ชาตรูปํ นาม สตฺถุวณฺโณ วุจฺจติ. 
ที่ชื่อว่า ชาตรูปํ ตรัสหมาย สัตถุวัณณะ (ทองคำอันมีสีเหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา)

รชตํ นาม กหาปโณ โลหมาสโก ทารุมาสโก ชตุมาสโก เย โวหารํ คจฺฉนฺติ.
ที่ชื่อว่า รชตํ ได้แก่ กหาปณะ มาสกที่ทำด้วยโลหะ มาสกที่ทำด้วยไม้ มาสกที่ทำด้วยครั่ง ซึ่งใช้เป็นมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้.

คำที่ขอแนะนำให้กำหนดไว้ให้ดีคือ “เย โวหารํ คจฺฉนฺติ” ซึ่งมีความหมายว่า “สิ่งที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขาย”

@@@@@@@

ต่อไปนี้เป็นข้อความในอรรถกถา ในอรรถกถา อธิบายขยายความไว้ดังนี้

ชาตรูปรชตนฺติ เอตฺถ ชาตรูปนฺติ สุวณฺณสฺส 
นามํ. ตํ ปน ยสฺมา ตถาคตสฺส วณฺณสทิสํ 
โหติ ตสฺมา สตฺถุวณฺโณ วุจฺจตีติ ปทภาชเน 
วุตฺตํ. ตสฺสตฺโถ โย สตฺถุ วณฺโณ โลหวิเสโส 
อิทํ ชาตรูปํ นามาติ. 

ในบทว่า ชาตรูปรชตํ นี้ คำว่า ชาตรูป เป็นชื่อแห่งทองคำ. ก็เพราะทองคำนั้นเป็นเช่นกับพระฉวีวรรณแห่งพระตถาคต ; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะ (คำจำกัดความ) ว่า “สตฺถุวณฺโณ  วุจฺจติ” (ตรัสหมาย สัตถุวัณณะ [ทองคำอันมีสีเหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา]) ความหมายแห่งบทภาชนะนั้นว่า “โลหะพิเศษมีสีเหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา นี้ชื่อว่า ชาตรูป (ทองคำธรรมชาติ)”

รชตํ ปน สงฺโข สิลา ปวาฬํ รชตํ 
ชาตรูปนฺติ อาทีสุ รูปิยํ วุตฺตํ. 

ส่วนเงินท่านเรียกว่า รูปิยะ ในคำทั้งหลายว่า “สังข์ ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง” เป็นต้น.

อิธ ปน ยงฺกิญฺจิ โวหารคามนียํ กหาปณาทิ 
อธิปฺเปตํ. เตเนวสฺส ปทภาชเน กหาปโณ 
โลหมาสโกติ อาทิ วุตฺตํ. 

แต่ในสิกขาบทนี้ ท่านประสงค์เอากหาปณะเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้. เพราะเหตุนั้นนั่นแลในบทภาชนะแห่งบทว่า รชตํ นั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า “กหาปณะ โลหมาสก” ดังนี้เป็นต้น.

(โปรดสังเกตคำว่า “โวหารคามนียํ” ซึ่งแปลว่า “ที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้”)

ตตฺถ กหาปโณติ โสวณฺณมโย วา 
รูปิยมโย วา ปากติโก วา. 

@@@@@@@

บรรดาบทว่า กหาปณะ เป็นต้นนั้น กหาปณะที่ทำด้วยทองคำก็ดี ทำด้วยเงินก็ดี กหาปณะธรรมดาก็ดี ชื่อว่า กหาปณะ.

โลหมาสโกติ ตมฺพโลหาทีหิ กตมาสโก. 

มาสกที่ทำด้วยแร่ทองแดงเป็นต้น ชื่อว่า โลหมาสก (มาสกที่ทำด้วยโลหะ).

ทารุมาสโกติ สารทารุนา วา เวฬุเปสิกาย วา 
อนฺตมโส ตาลปณฺเณนปิ รูปํ ฉินฺทิตฺวา กตมาสโก. 

มาสกที่ทำด้วยไม้แก่นก็ดี ด้วยข้อไม้ไผ่ก็ดี ชั้นที่สุดแม้มาสกที่เขาทำด้วยใบตาลสลักเป็นรูป ก็ชื่อว่า ทารุมาสก (มาสกที่ทำด้วยไม้).

ชตุมาสโกติ ลาขาย วา นิยาเสน วา 
รูปํ สมุฏฺฐาเปตฺวา กตมาสโก. 

มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี ด้วยยางก็ดี ตกแต่งให้เป็นรูปร่าง ชื่อว่า ชตุมาสก (มาสกที่ทำด้วยครั่ง).

@@@@@@@

เย โวหารํ คจฺฉนฺตีติ อิมินา ปน ปเทน 
โย โย ยตฺถ ยตฺถ ชนปเท ยทา ยทา 
โวหารํ คจฺฉติ อนฺตมโส อฏฺฐิมโยปิ 
จมฺมมโยปิ รุกฺขผลพีชมโยปิ สมุฏฺฐาปิตรูโปปิ 
อสมุฏฺฐาปิตรูโปปิ สพฺโพ สงฺคหิโต.

ด้วยคำว่า เย โวหารํ คจฺฉนฺติ (สิ่งที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขาย) นี้ ท่านหมายรวมเอามาสกทั้งหมด จนชั้นที่สุด-แม้ที่ทำด้วยกระดูก ทำด้วยหนัง ทำด้วยเมล็ดผลไม้ จะตกแต่งให้เป็นรูปร่างมีลวดลาย หรือมิได้ตกแต่งใดๆ ก็ตาม บรรดาที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในท้องถิ่นใดๆ ก็ตาม ที่ซื้อขายกันในเวลาใดๆ ก็ตาม.

อิจฺเจตํ สพฺพํปิ รชตํ ชาตรูปํ ชาตรูปมาสโก 
วุตฺตปฺปเภโท สพฺโพปิ รชตมาสโกติ จตุพฺพิธํ 
นิสฺสคฺคิยวตฺถุ โหติ.

เป็นอันว่า วัตถุ ๔ อย่าง คือ ทอง เงิน มาสกทอง มาสกเงิน มีประเภทดังกล่าวแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น จัดเป็นวัตถุแห่งอาบัตินิสสัคคีย์.

______________________________
ที่มา :สมันตปาสาทิกา ภาค ๒ หน้า ๒๒๔-๒๒๕




ข้อความที่ยกมาข้างต้นนั้นมีบางคำที่ควรรู้ความหมายให้ชัดเจนขึ้น ขอนำคำแปลจากพจนานุกรมบาลี-ไทย-อังกฤษ มาแสดงไว้ดังนี้

ชาตรูป = โลหะแท้, โลหะบริสุทธิ์, ทองคำ, แร่ที่มีสีเปล่งปลั่ง
(sterling metal, pure metal, gold, the brightcoloured metal)

รชต = เงิน (silver)
กหาปณ = เหรียญทองแดงสี่เหลี่ยม, เหรียญกษาปณ์ (A square copper coin)
รูปิย = เงิน, แทนการค้าขาย (silver, for any transactions)

โวหารคามนีย = สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้
คำหลักคือ “โวหาร” คำนี้ในภาษาไทยเราเข้าใจกันในความหมายว่า คำพูด แต่ในภาษาบาลี “โวหาร” มีความหมายอีกหลายอย่าง ในที่นี้หมายถึง trade, business (การค้า, ธุรกิจ)

“โวหารคามนีย” แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ไปถึงการค้าขาย” หมายความว่าการค้าขายมีอยู่ที่ไหน เจ้าสิ่งนี้จะต้องไปถึงที่นั่น คือต้องมีอยู่ในที่นั้นด้วยเสมอ ไม่มีไม่ได้

@@@@@@@

ย้อนมาที่คำถาม คือ ในสิกขาบทนี้ “ชาตรูปรชต” หมายถึง แร่ทองแร่เงิน (metal) หรือหมายถึงทรัพย์ที่ใช้จับจ่าย (money) คือ ห้ามภิกษุรับ/จับ metal.?

หรือห้ามรับ money.?
ดูตามต้นเรื่องจะเห็นว่า สิ่งที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้สำหรับจะเอาไปจ่ายอาหารมาถวายพระคือ “กหาปณ” (coin) (กหาปเณน ภนฺเต กึ อาหริยตุ = พระคุณเจ้าจะให้นำอะไรมาด้วยกหาปณะ)

เจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่าจะเอา gold หรือ silver ไปซื้ออาหาร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า
“กหาปณะ : (คำนาม) เงินตรามีพิกัดเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตําลึง คือ ๔ บาท.”

ตอนที่เจ้าของบ้านตำหนิพระ ต้นฉบับใช้คำว่า “รูปิย” (ยเถว มยํ รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหาม เอวเมวิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา  รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหนฺตีติ ฯ พวกเรารับรูปิยะฉันใด พวกสมณะศากยบุตรเหล่านี้ก็รับรูปิยะฉันนั้นเหมือนกัน)

เจ้าของบ้านไม่ได้บอกว่าพระรับ metal คือ gold หรือ silver
เมื่อสิ่งที่เตรียมไว้คือกหาปณะ สิ่งที่ถวายพระไปก็ต้องคือกหาปณะนั่นเอง

คำว่า “กหาปณะ” และ “รูปิยะ” ก็ยืนยันว่า สิ่งนั้นคือสิ่งที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย
คำว่า “รูปิย” สะกดด้วยอักษรโรมันเป็น rūpiya
หน่วยเงินตราอินเดียทุกวันนี้คือเงิน rupee ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ารูปและเสียงของคำเคลื่อนมาจาก rūpiya – รูปิย นั่นเอง

สรุปได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า “ชาตรูปรชต” ในสิกขาบทนี้ หมายถึง สิ่งที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขาย ไม่ว่าจะทำด้วยวัตถุใดๆ ก็ตาม รวมทั้งที่เป็นแผ่นกระดาษหรือที่ทำด้วยสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอย่างไร บรรดาที่สามารถนำไปใช้เป็นสื่อกลางในการแลก-เปลี่ยน-ซื้อ-ขาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ หรือที่เรียกรวมๆ เป็นคำฝรั่งว่า money นั่นเอง

@@@@@@@

สมมุติว่าในท้องถิ่นหนึ่ง เขาซื้อของแล้วจ่ายกันด้วย metal คือ gold หรือ silver จริงๆ ไม่ได้ใช้กระดาษหรือธนบัตร

gold หรือ silver นั้นก็มีฐานะเป็น money ด้วย หมายความว่า “ชาตรูปรชต” ในสิกขาบทนี้ เล็งถึงวัตถุที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายเป็นสำคัญ อาจจะเป็นสิ่งใดๆ ที่ใช้แทน gold หรือ silver ก็ได้ หรือเป็น metal คือตัว gold หรือ silver จริงๆ ก็ได้

เป็นอันว่า “ชาตรูปรชต” ที่เป็น metal คือตัว gold หรือ silver จริงๆ ตกอยู่ใน ๒ สถานะ คือ

    ๑. เป็น metal คือตัว gold หรือ silver จริงๆ สถานะนี้ “ชาตรูปรชต” ก็เป็นวัตถุอนามาส คือภิกษุจับต้อง (touch) ไม่ได้

    ๒. เป็นวัตถุที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย สถานะนี้ “ชาตรูปรชต” ก็เป็น money คือภิกษุรับ (accept หรือ take หรือ receive) เอามาครอบครองไม่ได้

และเพื่อป้องกันพวก “หัวหมอ” จะเลี่ยงบาลีว่า สิกขาบทนี้ ท่านห้ามรับเฉพาะ “รูปิยะ” คือสกุลเงินรูปี (rupee) ของอินเดียเท่านั้น เงินสกุลอื่นไม่ได้ห้าม หรือแถไปว่า ห้ามเฉพาะในชมพูทวีปคืออินเดียเท่านั้น ประเทศอื่นไม่ห้าม หรือดิ้นไปอีกว่า ท่านห้ามไว้เฉพาะในครั้งพุทธกาลเท่านั้น สมัยนี้ไม่ได้ห้ามแล้ว

@@@@@@@

ในพระไตรปิฎกท่านจึงให้คำจำกัดความไว้เป็นภาพรวมว่า
“เย โวหารํ คจฺฉนฺติ” = “สิ่งที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขาย”

ซึ่งอรรถกถาขยายความให้ชัดเจนขึ้นอีกว่า
โย โย ยตฺถ ยตฺถ ชนปเท ยทา ยทา 
โวหารํ คจฺฉติ (ดูข้างต้น)

โย โย = ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตาม
ยตฺถ ยตฺถ ชนปเท = ไม่ว่าจะในประเทศใดๆ ก็ตาม
ยทา ยทา = ไม่ว่าจะในเวลาใดๆ ก็ตาม
โวหารํ คจฺฉติ = สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาใช้กันในการซื้อขาย

อนึ่ง คำว่า “รับเงิน” ซึ่งแปลมาจากคำบาลีว่า “ชาตรูปรชตํ  อุคฺคเณฺหยฺย” นั้น หมายถึง accept คือ take หรือ receive คือรับเอามาครอบครองเป็นเจ้าของ ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะ touch คือหยิบจับหรือแตะต้องด้วยส่วนใดๆ ของร่างกาย

เพราะฉะนั้น ควรเลิกเข้าใจผิดกันได้แล้วว่า สิกขาบทนี้ห้ามพระจับเงิน คือหยิบเงิน (ธนบัตร) หรือหยิบจับทองคำ เช่นสร้อยคอ แหวนเพชร อะไรพวกนั้น แล้วก็ไม่ต้องใช้หลักมหาปเทสมาตัดสิน เพราะในบทบัญญัติชัดอยู่แล้วว่าห้ามอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้มหาปเทสมาช่วยตีความ

เข้าใจกันให้ถูกต้องว่า สิกขาบทนี้ห้ามพระรับเงิน (money) มาไว้ในครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่ห้ามหยิบจับ

เพราะข้อความต่อไปในตัวสิกขาบทบอกว่า “อุคฺคณฺหาเปยฺย วา” = หรือให้คนอื่นรับ
นั่นคือ ให้คนอื่นรับก็ผิด มีค่าเท่ากับรับเอง แสดงว่าไม่ได้มุ่งหมายแค่สัมผัสแตะต้องเท่านั้น

@@@@@@@

ลองเทียบสิกขาบทที่ห้ามจับต้องกายหญิง ก็หมายถึงจับต้องด้วยตัวเองจึงจะผิด ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นจับต้องแทนก็ผิด แต่สิกขาบทนี้-ให้คนอื่นรับแทนก็ผิดเท่ากับรับเอง เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มุ่งหมายแค่สัมผัสแตะต้องอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ

สมัยผมเป็นเณรบวชใหม่ๆ เคยได้ยินพระเก่ารูปหนึ่ง ท่าทางทรงภูมิมาจากเมืองกรุง พูดเสียงดังฟังชัดว่า

    “ธนบัตรเป็นพลังเทียม ไม่ใช่เงินทอง (หมายถึง metal คือ gold หรือ silver อย่างที่มักเข้าใจกันว่าห้ามจับ) เพราะฉะนั้นพระจับเงิน (ธนบัตร) ได้ ใช้เงินได้ ไม่ผิด”

ตอนนั้นฟังแล้วทึ่งมาก โดยเฉพาะคำว่า “พลังเทียม” ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้สึกตื่นเต้นว่าหลวงพี่ท่านทรงภูมิรู้สูงจริงๆ ต่อมาเมื่อมีโอกาสศึกษาคัมภีร์ต้นฉบับ จึงได้รู้ว่านั่นคือความเข้าใจผิด หรือความรู้ผิดๆ และความเข้าใจผิดหรือความรู้ผิดๆ นั้นก็ยังคงมีอยู่ในหมู่ชาววัดและชาวบ้านจนถึงทุกวันนี้ (ดูข้อความจากภาพประกอบที่อ้างข้างต้น)

ประเด็นที่จะต้องถูกยกขึ้นมาท้วงติงแน่ๆ ก็คือ เมื่อห้ามพระรับเงินใช้เงินเช่นนั้นแล้ว ทำไมพระทุกวันนี้ก็ยังรับเงินใช้เงินเหมือนชาวบ้านอยู่นั่นเอง แบบนี้ก็ผิดศีล ก็ต้องอาบัติกันเปรอะไปหมดนะสิ แบบนี้ก็เท่ากับพระทุกวันนี้ไม่ได้ถือศีลข้อนี้กันแล้วใช่ไหม จะว่าอย่างไรกันก็ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าใช่แล้ว

พระเองก็อ้างว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป สภาพสังคมเปลี่ยนไป ถ้ายังถือศีลข้อนี้อยู่ก็ พระก็ขาดความคล่องตัว เหตุผลที่อ้างนั้นถึงขั้นที่ว่า-ทุกวันนี้ถ้าไม่ให้พระรับเงินใช้เงิน ก็อาจจะดำรงความเป็นพระไว้ไม่ได้นั่นทีเดียว ยังมียื่นคำขาดสำทับด้วยว่า โยมจะเอาศีลข้อนี้ไว้ หรือจะเอาพระไว้





ประเด็นนี้ ถ้าศึกษาคัมภีร์ให้ละเอียดสักหน่อยก็จะรู้ว่า ท่านหาทางออกไว้ให้แล้วตั้งแต่ต้น-คือตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ้าง “ยุคสมัยเปลี่ยนไป สภาพสังคมเปลี่ยนไป” อย่างที่ชอบอ้างกันทุกวันนี้ คือท่านรู้ว่า-มันเปลี่ยนไปมาตั้งแต่ครั้งโน้นแล้ว

ทางออกก็คือ วิธีปวารณา และการอนุญาตให้มีกัปปิยการกหรือไวยาวัจกร ที่เรียกรู้กันในชื่อเฉพาะว่า “เมณฑกานุญาต” ขอได้โปรดศึกษาข้อความจากพระวินัยปิฎกต่อไปนี้

สนฺติ ภิกฺขเว มคฺคา กนฺตารา อปฺโปทกา 
อปฺปภกฺขา น สุกรา อปาเถยฺเยน คนฺตุํ. 

มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัตอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไปทำไม่ได้ง่าย

อนุชานามิ ภิกฺขเว ปาเถยฺยํ ปริเยสิตุํ 
ตณฺฑุโล ตณฺฑุลตฺถิเกน มุคฺโค มุคฺคตฺถิเกน 
มาโส มาสตฺถิเกน โลณํ โลณตฺถิเกน 
คุโฬ คุฬตฺถิเกน เตลํ เตลตฺถิเกน 
สปฺปิ สปฺปิตฺถิเกน. 

เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ
ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว
ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส

ต้องการเกลือ พึงแสวงหาเกลือ
ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย
ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส

สนฺติ ภิกฺขเว มนุสฺสา สทฺธา ปสนฺนา 
เต กปฺปิยการกานํ หตฺเถ หิรญฺญสุวณฺณํ
อุปนิกฺขิปนฺติ อิมินา ยํ อยฺยสฺส กปฺปิยํ 
ตํ เทถาติ. 

มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก สั่งว่าสิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้

อนุชานามิ ภิกฺขเว ยํ ตโต กปฺปิยํ 
ตํ สาทิตุํ น เตฺววาหํ ภิกฺขเว เกนจิ 
ปริยาเยน ชาตรูปรชตํ สาทิตพฺพํ 
ปริเยสิตพฺพนฺติ วทามีติ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.

_______________________________________
ที่มา : วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๘๕

@@@@@@@@

เรื่องก็คือ เมื่อห้ามพระไม่ให้รับเงินใช้เงินจ่ายซื้ออะไรๆ เหมือนชาวบ้านแล้ว ต่อมาพระมีความจำเป็นจะต้องเดินทางไกลกันดาร ถ้าไม่เตรียมเสบียงไปด้วยก็ไปไม่รอด จะหาเงินซื้อเสบียงก็ไม่ได้ ผิดวินัย ก็เป็นสถานการณ์เดียวกับที่อ้างกันในทุกวันนี้นั่นเอง เช่น-พระจะไปโน่นมานี่มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายสารพัด ถ้าไม่ให้ใช้เงินก็ทำอะไรไม่ได้

แล้วทางออกคือทำอย่างไร.?
พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้แสวงหาปัจจัยที่จำเป็นเพื่อการเดินทาง-ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ เช่น ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว

ถอดเป็นสถานการณ์ปัจจุบันก็อย่างเช่น ต้องการค่าภัตตาหารเพล ก็แสวงหาค่าภัตตาหารเพล ต้องการค่าแท็กซี่ ก็แสวงหาค่าแท็กซี่ ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็แสวงหาค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ฯลฯ

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระวินัยว่าด้วยการออกปากขอ เช่น ขอกับญาติหรือคนที่เขาปวารณาไว้ให้ขอได้ รายละเอียดการปฏิบัติ ก็ทรงชี้ช่องไว้ให้แล้ว คือ ให้มีกัปปิยการก หรือไวยาวัจกรทำหน้าที่จัดหา โดยที่พระไม่ต้องหยิบจับรับเงินด้วยตัวเอง

และตรงนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ ที่อ้างกันว่าไม่สะดวก ให้ไวยาวัจกรจัดการมันไม่คล่องตัวเหมือนซื้อเองจ่ายเอง แล้วก็อ้างอย่างที่เราเคยได้ยินกัน เช่น พระไปโน่นมานี่จะกะเตงไวยาวัจกรไปด้วยมันง่ายอยู่หรือ หาคนมาเป็นไวยาวัจกรได้ง่ายๆ ที่ไหน (โยมคนที่ตำหนิพระนั่นแหละ มาเป็นไวยาวัจกรให้อาตมาทีได้ไหมละ ปัดโท่!!) หาเงินง่ายกว่าหาไวยาวัจกร ขอให้คิดถึงข้อเท็จจริงบ้าง อย่าเอาแต่ว่าพระ …

แต่ก็ตรงนี้แหละครับที่ต้องเลือกเอา-ระหว่างวิถีชีวิตสมณะกับวิถีชีวิตชาวบ้าน

@@@@@@@@

วิธีคิดก็คือ สิกขาบททั้งปวงพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อเกื้อกูลแก่วิถีชีวิตสมณะ โดยสมมุติฐานที่ว่า-ผู้ที่เข้ามาครองเพศสมณะคือผู้สมัครใจที่จะใช้ชีวิตตามวิสัยสมณะ และมีข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ทั่วไปว่า สำหรับผู้ตั้งใจใช้ชีวิตตามวิสัยสมณะอย่างแท้จริงแล้วไม่เคยมีปัญหากับสิกขาบท-ไม่ว่าจะข้อนี้หรือข้อไหน ตรงกันข้าม เมื่อตั้งใจปฏิบัติตามสิกขาบท สิกขาบททั้งหลายกลายเป็นเครื่องเกื้อกูลแก่การบำเพ็ญสมณธรรมได้เป็นอย่างดียิ่ง

ทุกวันนี้มีปัญหาก็เพราะ-มีผู้สมัครใจเข้ามาครองเพศสมณะ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตตามแบบชาวบ้าน สิกขาบทต่างๆ จึงกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ใช้ชีวิตตามแบบชาวบ้านไม่สะดวก-ซึ่งก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะเจตนารมณ์ของสิกขาบททั้งหลายอยู่ที่-เพื่อเกื้อกูลแก่วิถีชีวิตสมณะ ไม่ใช่เกื้อกูลแก่วิถีชีวิตแบบชาวบ้าน

จะเห็นได้ว่า ความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวสิกขาบทเลย แต่อยู่ที่การตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตต่างหาก ถ้าผู้สมัครใจเข้ามาครองเพศสมณะสมัครใจที่จะใช้ชีวิตตามวิสัยสมณะด้วย ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย

@@@@@@@

คำถามคือ เราจะแก้ปัญหากันแบบไหน

๑. ฟื้นฟูค่านิยมเดิม (อันที่จริงก็คือหลักการเดิม) คือผู้ที่สมัครใจเข้ามาครองเพศสมณะ ต้องสมัครใจที่จะใช้ชีวิตตามวิสัยสมณะจริงๆ ถ้าไม่พร้อมก็-ขออภัยที่จะต้องบอกว่า-อย่าเพิ่งเข้ามาเลย พร้อมเมื่อไรค่อยมาดีกว่า
       
วิธีนี้ก็คือรักษาเนื้อตัวของพระศาสนาไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นแบบแผนแบบฉบับเพื่อให้โลกรับรู้ว่านี่คืออุดมมรรคาของมนุษยชาติ ผู้ใดมีสติปัญญาสามารถก็จงพยายามดำเนินตามเข้าเถิด

๒. สร้างค่านิยมใหม่-ผู้เข้ามาครองเพศสมณะ ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามวิสัยสมณะเสมอไป อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ชื่นชมยินดีและยอมรับกันแค่ว่า-ขอให้มีผู้ครองเพศสมณะไว้ให้ชาวบ้านทำบุญก็พอแล้ว
       
วิธีนี้ จะเรียกว่าเป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หรือจะใช้ภาษาหลอกความรู้สึกตัวเองว่าอย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายปลายทางที่จะต้องยอมรับความจริงก็คือ-เป็นวิธีละลายพระศาสนาให้หมดไปทีละน้อยนั่นเอง

@@@@@@@

วิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่เรามีสิทธิ์เลือก หากแต่เป็นสัจธรรมอะไรชนิดหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามกาลเวลา ในแง่นี้ ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่อง “อันตรธาน” กันไว้สักหน่อยก็จะดี (แหล่งหนึ่งก็อย่างเช่นที่ท่านรจนาไว้ใพระปฐมสมโพธิกถา) อย่างน้อยก็เป็นเครื่องเตือนใจให้เกิด “สังเวช” แล้วเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เช่น-เมื่อเห็นสิ่งที่ถูกเรียกขานอย่างชื่นชมว่า “ความเจริญ” เกิดขึ้นในพระศาสนา ก็จะได้รู้ทันว่าความจริงแล้วมันคืออะไร

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ เป็นหลักฐาน เป็นหลักการ และเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้สำหรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธควรรับรู้รับทราบไว้ และจะต้องยึดไว้เป็นหลักเมื่อจะปฏิบัติกิจใดๆ กับพระภิกษุ หรือในเมื่อจะต้องวินิจฉัย หรือแสดงความเห็น ถ้ากิจนั้นๆ หรือกรณีนั้นๆ มีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หรือวินิจฉัยได้อย่างมีหลักเกณฑ์ ไม่เอาความเข้าใจส่วนตัวเป็นฐานการคิดอย่างเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็คือ ชาวบ้านอยากจะถวายเงินให้พระ แล้วก็เอาเงินนั้นถวายพระไปตรงๆ หลักปฏิบัติในเรื่องนี้มีอย่างไร ผมนำเสนอไว้ในหนังสือเล่มน้อยนี้แล้ว – “ถวายเงินให้ถูกวิธี”

เชิญดาวน์โหลดไปศึกษากันได้ตามอัธยาศัย
"ถวายเงินให้ถูกวิธี"
https://drive.google.com/file/d/0B3WmxiNFNrf8S3k4SVZ2WGoyUXc/view
 
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ > ๑๘:๓๙







Wiroj Pispeng ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ > 1 ชม. · ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐

ตอนนี้กำลังถกเถียงกันเรื่องพระรับเงิน บางคนบอกว่ารับได้ บางฝ่ายบอกว่า รับไม่ได้เป็นอาบัติ แม้แต่ประมุขสงฆ์ก็ว่าญาติโยมไม่ควรนำเงินใส่บาตรหรือถวายพระ แต่บางคนบอกว่า เป็นแค่ธนบัตร กระดาษ มิใช่เงินจริงๆ จึงควรรับได้

โดยใช้หลักมหาปเทส ๔ ประการที่พุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ หรือจะใช้หลักทื่ว่า ”อนุชานามิ ภิกขเว ราชูนัง อนุวัตติตุง” พระสงฆ์ท่านไม่กล้าที่จะบอกว่า การรับจตุปัจจัย ขอให้ใช้หลักเทียบเคียงมหาปเทส 4 ก็คงได้ ดังนั้นจึงขอให้ท่านผู้รู้ช่วยตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้แทนพระคุณเจ้าด้วย

gold (โกลด) n. adj.
1. ทองคำ, ทรัพย์ศฤงคาร, เงินทอง
2. สินบน
3. เหรียญทองคำ
4. เนื้อกษัตริย์

silver (ซีล-เฝอะ) n. vi. adj. vt.
1. ธาตุเงิน, เคลือบด้วยเงิน, หุ้มด้วยเงิน, กลายเป็นสีเงิน, กลายเป็นสีขาว
2. เงินตราทำด้วยเงิน, เหรียญเงิน
3. ภาชนะที่ทำด้วยเงิน, เครื่องเงิน
4. ทำด้วยเงิน = silvern
5. (ผม, น้ำ) ขาวเป็นเงา, เหมือนเงิน = silery
6. (เสียง) แจ๋ว, แจ่มใส, กังวาน
7. ทา (กระจกเงา) ด้วยปรอท
8. (การฉลอง) รอบยี่สิบห้าปี

metal (เมท-‘ล) n. adj. vt.
metallic (มิแทล-ลิค) adj.
1. โลหะ, เหมือนโลหะ
2. (เสียง) กระทบกันกราวๆ
3. รางรถ
4. หินโรยถนน, โรยหิน (ถนน)

money (มัน-อิ) n. เงินตรา ถ้าใช้เป็นพหูพจน์หมายถึงจำนวนเงิน, เงิน

กหาปณะ [กะหาปะนะ] (แบบ) น. เงินตรามีพิกัดเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตําลึง คือ ๔ บาท. (ป.).

รูปี น. ชื่อหน่วยเงินตราอินเดีย.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันนี้ เวลา 10:01:48 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ