« เมื่อ: กันยายน 23, 2025, 07:14:40 am »
0
.
'พระสังฆาธิการ' ปฏิบัติตามกฏหมายไม่ได้ ควรแก้ไขอย่างไร.?ทางเลือกที่ ๗ คือ จับเข่าคุยกัน | โดยพลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
หลายวันมาแล้ว ผมเห็นข่าว “พระสังฆาธิการตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะปัญหาการทำบัญชีวัด” พร้อมกับได้ยินคำปรารภถึงปัญหาในวงการคณะสงฆ์ ที่เป็นผลมาจากการที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมติมหาเถรสมาคม
ที่น่าสนใจมากก็คือ มีผู้เสนอ-หรือจะเรียกว่าประมวล-ทางเลือกของพระสังฆาธิการรวม ๖ ทางทางเลือกที่เสนอมาหรือประมวลมานั้น
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ พระสงฆ์-โดยเฉพาะพระสังฆาธิการทุกวันนี้-ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของมหาเถรสมาคม เผชิญกับปัญหาข้อขัดข้อง แก้ไขไม่ได้ ก่อให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจ จนถึงคับแค้นใจ ก็จะเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๖ อย่างต่อไปนี้
๑. ปลีกตัวเองไปหาพุทธแบบดั้งเดิม
๒. หนีพุทธไทยไปพัฒนาสถานธรรมส่วนตัว
๓. ลาออกจากพระสังฆาธิการเจ้าพนักงานของรัฐ
๔. ฆ่าตัวตายสบายกว่า
๕. สึกออกไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส
๖. ไปนับถือพุทธนิกายอื่นที่ตอบโจทย์
@@@@@@@
มีคำขยายความอีกหน่อยหนึ่งว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ “ไม่ประสงค์ให้วัดมีสถานะเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่สะท้อนพุทธราชการ หรือพุทธแบบไทย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมติมหาเถรสมาคม”
คำที่น่าสนใจคือ “พุทธราชการ” หรือ “พุทธแบบไทย ๆ” ซึ่งก็ควรจะต้องศึกษาหาความชัดเจนต่อไปว่า อะไรอย่างไรที่เรียกว่า “พุทธราชการ” และอะไรอย่างไรที่เรียกว่า “พุทธแบบไทย ๆ”
แต่ที่ชัดเจนอยู่ในตัวก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “พุทธราชการ” หรือ “พุทธแบบไทย ๆ” นี้ เกิดมาจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
สภาพต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น ก็รวมลงในคำที่พูดกันว่า “ฆราวาสปกครองพระ” และนำไปสู่ความคิดเห็นที่ว่า จะต้องเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เสีย จึงจะแก้ปัญหาทั้งปวงได้
ความไม่ดี ความไม่เข้าท่าของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตลอดจนความเสียหายอันเกิดจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น มีผู้พรรณนากันมาตลอด การเรียกร้องให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ก็มีผู้พูดกันมาตลอด
แต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ก็ยังคงมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องนี้ควรจะได้เฉลียวใจคิดว่าทำไม่จึงเป็นอย่างนี้-เรียกร้องให้เลิก แต่ก็ยังไม่เลิก
ก็เหมือนอีก ๒ เรื่องที่เรียกร้องกันมาตลอด คือเรื่องยกเลิกสมณศักดิ์และเรื่องแยกศาสนาออกจากรัฐ สมณศักดิ์ก็ยังคงมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ศาสนาก็ยังอยู่กับรัฐมาจนถึงทุกวันนี้ เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ-มีแต่คนเรียกร้อง แต่ไม่มีคนลงมือทำ ถ้าเอาอริยสัจมาเทียบ ก็คือมีแต่คนพูดถึง “ทุกข์” คือตัวปัญหา แต่ไม่ได้ชี้ “มรรค” คือ หนทางปฏิบัติเพื่อดับปัญหา
ผมเห็นว่า ผู้ที่เรียกร้องให้ยกเลิกสมณศักดิ์ ต้องบอกด้วยว่า ขั้นตอนการยกเลิกต้องทำอย่างนี้ ๆ ๑ ๒ ๓ ... และต้องบอกไว้ด้วยว่า คนนี้ คนนี้ จะต้องเป็นคนลงมือทำ
ผู้ที่เรียกร้องให้แยกศาสนาออกจากรัฐ ต้องบอกด้วยว่า ขั้นตอนการแยกต้องทำอย่างนี้ ๆ ๑ ๒ ๓ ... และต้องบอกไว้ด้วยว่า คนนี้ คนนี้ จะต้องเป็นคนลงมือทำ
ผู้ที่เรียกร้องให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ต้องบอกด้วยว่า ขั้นตอนการยกเลิกต้องทำอย่างนี้ ๆ ๑ ๒ ๓ ... และต้องบอกไว้ด้วยว่า คนนี้ คนนี้ จะต้องเป็นคนลงมือทำ
บอกขั้นตอนการทำ ระบุตัวคนที่จะต้องทำ แล้วตามไปกำกับดูแลด้วยว่า คนที่จะต้องทำนั้นลงมือทำหรือยัง ตามจี้ไปทุกขั้นตอน จนกระทั่งทำสำเร็จ
ประกาศยกเลิกสมณศักดิ์ได้สำเร็จ
ประกาศแยกศาสนาออกจากรัฐได้สำเร็จ
ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้สำเร็จ
ถ้าเอาแต่พรรณนาถึงปัญหา และเรียกร้องลอย ๆ อยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีวันจบ ข้อเรียกร้องทุกข้อจบได้ด้วยการลงมือทำ จะพรรณนาถึงปัญหาต่อไปก็ได้ จะเรียกร้องต่อไปก็ได้ แต่ต้องช่วยกันบอกขั้นตอนการทำด้วย ต้องช่วยกันหาคนที่จะลงมือทำด้วย
@@@@@@@
ทีนี้มาว่า เฉพาะกรณีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ - พรบ.ที่ถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา - ฆราวาสปกครองพระ
คำว่า “ฆราวาสปกครองพระ” เป็นคำพูดคลุม ๆ ถ้าจะให้ดี ควรให้ความรู้แก่สังคมด้วย คือชี้ออกมาเป็นข้อ ๆ ไปเลย มาตรานี้ ข้อความตรงนี้ คือ ฆราวาสปกครองพระ ตรงนี้ ๆ คือ ฆราวาสปกครองพระ สังคมจะได้มองเห็นไปด้วย ไม่ใช่คนพูดเข้าใจเอาเองคนเดียว
พรบ.ฉบับนี้ใช้มา ๖๐ กว่าปีแล้ว ตั้งแต่หลายชีวิตในสนามปัญหานี้ยังไม่เกิด และ พรบ.ฉบับนี้ก็เคยถูกแก้ไขบางมาตรามาแล้ว มาตราไหนฆราวาสปกครองพระ แก้ไขเฉพาะมาตรานั้น หรือเห็นว่า ฆราวาสปกครองพระทั้งฉบับนั่นแหละ ยกเลิกทั้งฉบับ จะเอายังไง.?
ยกเลิกทั้งฉบับแล้ว คณะสงฆ์จะอยู่กันอย่างไร จะปกครองกันอย่างไร มีรูปแบบชนิดไหนอยู่ในใจแล้วหรือยัง ต้องคิดตรงนี้ด้วย ตกลงรูปแบบใหม่กันได้แล้วหรือยัง ไม่ต้องการให้ฆราวาสปกครองพระ ต้องการให้พระปกครองกันเอง ปกครองกันแบบไหน ต้องคิดตรงนี้ด้วย และควรจะคิดได้เรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่-ยังไม่ได้คิด คิดได้แล้ว ควรบอกกล่าวให้สังคมรับรู้ด้วยว่า ต่อไปนี้พระจะปกครองกันเอง และจะปกครองแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้ และที่สำคัญ เรื่องนี้พระต้องคิดอ่านกันเอง อย่าเอาไปผูกกับบ้านเมือง มิเช่นนั้นก็หนีไม่พ้น-ฆราวาสปกครองพระ
คราวนี้ก็มาถึง-ทางเลือกทั้ง ๖ ทาง (โปรดย้อนกลับไปดูข้างต้น) ในทัศนะของผม ทางเลือกทั้ง ๖ นั้น ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เป็นทางหนีปัญหา
ผมว่ายังมีอีกทางหนึ่ง-เป็นทางเลือกที่ ๗ นั่นคือ พูดกันให้รู้เรื่อง อย่างที่ภาษาปากเรียกว่า-จับเข่าคุยกัน
อันที่จริง วิธีจับเข่าคุยกันควรจะเป็นทางเลือกแรกด้วยซ้ำไป ที่ต้องมี-หรือที่ต้องไปเลือกทางทั้ง ๖ ทางนั้น ก็เพราะไม่ได้ใช้วิธีจับเข่าคุยกันมาตั้งแต่ต้น ถ้าใช้วิธีจับเข่าคุยกัน ก็ไม่ต้องมีทางเลือกทั้ง ๖ อันเป็นทางหนีปัญหา เพราะเมื่อจับเข่าคุยกัน ก็จะเห็นทางแก้ปัญหา
พูดกันให้รู้เรื่อง-จับเข่าคุยกัน หมายความว่าอย่างไร.?
พจนานุกรมฯ บอกความหมายไว้ชัดเจนว่า จับเข่าคุยกัน คือ พูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิด
ในการที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมติมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสเจอปัญหาอะไรบ้าง จับเข่าคุยกันในระหว่างเจ้าอาวาส แล้วไปจับเข่าคุยกันกับเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะตำบลเอาปัญหาทั้งปวงที่รับรู้มาจากเจ้าอาวาสไปจับเข่าคุยกันกับเจ้าคณะอำเภอ ไล่ไปตามลำดับ-เจ้าคณะจังหวัด-เจ้าคณะภาค-เจ้าคณะใหญ่
เจ้าคณะใหญ่เอาปัญหาทั้งปวงที่รับรู้มาจากเจ้าคณะต่าง ๆ ไปจับเข่าคุยกันกับกรรมการมหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคมเอาปัญหาทั้งปวงที่รับรู้มา ไปจับเข่าคุยกันกับประธานกรรมการมหาเถรสมาคม-คือ สมเด็จพระสังฆราช
ด้วยวิธีนี้ เจ้าอาวาสผู้ทรงอำนาจต่ำสุด-ซึ่งเป็นผู้เล่นอยู่ในสนาม-เป็นผู้เผชิญปัญหาเผชิญสถานการณ์จริง ก็มีโอกาสที่จะเอาปัญหาทั้งปวงที่เผชิญมาไปจับเข่าคุยกันกับสมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์
@@@@@@@
อนึ่ง คำว่า “จับเข่าคุยกัน” ต้องหมายความตามตัวหนังสือ คือต้องเป็นการพูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดจริง ๆ ตรง ๆ ไปนั่งฉันน้ำร้อนน้ำชา หรือฉันเช้าฉันเพลด้วยกันจริง ๆ อย่างเลวที่สุด-คุยกันทางโทรศัพท์เสมอ ๆ ไม่ใช่-ส่งหนังสือไป ส่งเอกสารไป ส่งเรื่องไป แต่ตัวไม่เคยพูดกัน แบบนี้ไม่ใช่ “จับเข่าคุยกัน” ในความหมายนี้
ถามว่า : ทุกวันนี้ พระสังฆาธิการ-พระเถระมหาเถระของเราตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด พูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดบ้างหรือเปล่า.?
ตอบได้เลยว่า : เปล่า ต่างคนต่างอยู่ วัดใครวัดมัน เฉพาะที่คุ้นกันเป็นส่วนตัว-ซึ่งเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่พูดคุยปรับทุกข์กัน แต่ส่วนมาก-ต่างคนต่างอยู่ วัดใครวัดมัน
พูดกันให้รู้เรื่อง-จับเข่าคุยกัน ไม่ใช่อะไรเลย นี่คือ “อภิณฺหสนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์” ในอปริหานิยธรรม ๗ ที่เรียนกันมาตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีนั่นเอง เรียนกันมาแท้ ๆ แต่ไม่ได้เอามาใช้ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ในคัมภีร์ท่านบรรยายว่า ประชุมกันวันละ ๓ ครั้ง
ครับ-วันละ ๓ ครั้ง ไม่ใช่เดือนละ ๓ ครั้ง เหมือนประชุมมหาเถรสมาคมของเรา และคำว่า “ประชุม” หมายถึงพูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดจริง ๆ ไม่ใช่เข้านั่งโต๊ะแล้วก็ก้มหน้าอยู่กับเอกสารหรือเพ่งจอคอม. ตรงหน้า ฟังเจ้าหน้าที่อ่านเอกสารตามระเบียบวาระ หมดเวลาก็เลิก-โดยไม่ได้พูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดแต่ประการใดเลย
@@@@@@@
ศึกษาวิจัยให้พบสาเหตุว่า ทำไมพระสังฆาธิการ-พระเถระมหาเถระของเราตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุดจึงไม่พูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิด มีกำแพงอะไรมาปิดกั้นไว้ และใครจะเป็นคนลงมือทลายกำแพงนั้น แล้วทำให้พระสังฆาธิการทุกระดับพูดปรับความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดจริง ๆ ให้ได้ และทำกันอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนที่จะทำให้พระสังฆาธิการทุกระดับจับเข่าคุยกันให้ได้ต้องทำอย่างไร ๑ ๒ ๓ ... ผมบอกไม่ได้ เป็นเรื่องที่พระจะต้องคิดอ่านทำกันเองให้ได้ ถ้าหาวิธีให้พระสังฆาธิการทุกระดับจับเข่าคุยกันไม่ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการคณะสงฆ์ก็จะยังคงเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไปไม่มีวันจบ และเป็นอันไม่ต้องหวังว่าจะมีวันที่พระปกครองกันเองได้
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๐ กันยายน ๒๕๖๘ , ๑๗:๕๕ขอขอบคุณ :-
ที่มา : เฟซบุ้ค ธรรมธารา · 1 วัน
https://www.facebook.com/dhamtara/posts/pfbid02mdoecYh6HskYyFjSPndGrYdj8nt2DAucmRRCr93ZUdiKtcyPL6AxcskDMADEchELl?ref=embed_pageภาพจาก :
https://f.ptcdn.info/ ,
https://www.dhammahome.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 23, 2025, 07:27:32 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ