.
พัฒนาการของพระราชพิธีพระบรมศพ จากอยุธยา-รัตนโกสินทร์ เมื่อความสูญเสียยิ่งใหญ่ไม่ได้มีแค่ความเศร้า
Summary- การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อ 24 ตุลาคม 2568) นำมาสู่การไว้ทุกข์ทั่วประเทศ และเกิดคำถามในสังคมถึงความเหมาะสมของงานรื่นเริงในช่วงเวลาแห่งความอาลัยนี้
- งานพระบรมศพสมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ไม่ได้มีเพียงความโศกเศร้า แต่เป็นการเฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สวรรค์ของสมมติเทพ ตามคติไตรภูมิ จึงมีการมหรสพสมโภช เช่น โขน ละคร การละเล่นพื้นบ้าน เพื่อสมพระเกียรติและเป็นการออกทุกข์ให้ประชาชน
- ประเพณีมหรสพถูกยกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 6 ในงานพระบรมศพสมเด็จพระพันปีหลวง ปี 2463 เนื่องจากทรงรับอิทธิพลตะวันตกยุควิกตอเรียน ที่เน้นความสงบ และเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นสีดำ แม้มหรสพจะถูกฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2539 แต่ก็เปลี่ยนความหมายจากงานรื่นเริง เป็นการแสดงศิลปะชั้นสูงเพื่อเฉลิมพระเกียรติแทน
เป็นความสูญเสียและโศกเศร้ายิ่งของพสกนิกรชาวไทย เมื่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวัง จัดการพระบรมศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีนโยบายขอความร่วมมือประชาชน พิจารณาปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะงานรื่นเริง ให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งความอาลัย
แต่แนวทางของรัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ เพราะคำว่า ‘เหมาะสม’ ไม่มีนิยามตายตัว แค่ไหนเรียกว่าบันเทิง รื่นเริง แบบไหนควรงด แบบไหนควรไปต่อ จึงทำให้ประชาชนหลายภาคส่วนออกมาส่งเสียงสะท้อนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอาศัยรายรับจากธุรกิจความบันเทิง นักร้อง นักดนตรี คนจัดงานอีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่มีหลายเทศกาลใหญ่เป็นทางสว่างด้านเศรษฐกิจของใครหลายคน
เมื่อสูญเสียบุคคลชั้นสูงระดับพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ ย่อมเป็นความโศกเศร้าของคนไทย แต่โดยประเพณีแต่ดั้งเดิมนั้น ‘งานศพ’ ของชนชั้นสูง จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบเป็นความเศร้าเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว ยังมีชิ้นส่วนที่ ‘ไม่เศร้า’ เกิดขึ้นได้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ให้สมพระเกียรติ
@@@@@@@
การเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ของสมมติเทพสมัยอยุธยา
ภาพจำของคนไทยต่องานพระราชพิธีพระบรมศพในยุคปัจจุบัน คือความงดงาม วิจิตรตระการตาของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และพระเมรุมาศที่สง่างามดั่งสถาปัตยกรรมจากสวรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าอาลัยของคนทั้งชาติ แต่หากย้อนกลับไปยังรากฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา เราจะพบว่าราชพิธีนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อที่แตกต่างออกไป
พื้นฐานความเชื่อของราชสำนักโบราณได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์-ฮินดู ที่ผสานกับพระพุทธศาสนา เป็นลักษณะเฉพาะของดินแดนกลางอุษาคเนย์แห่งนี้ โดยอ้างอิงความเชื่อหลักจาก ‘ไตรภูมิกถา’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ไตรภูมิพระร่วง’ วรรณกรรมชิ้นสำคัญสมัยสุโขทัย
ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาชิ้นแรกของไทยเท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่ เป็นพระราชนิพนธ์ของ พญาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย เมื่อประมาณปี 1888
ไตรภูมิ แปลตรงตัวว่า สามโลก ที่ทุกชีวิตยังต้องเวียนว่ายตายเกิด โดยแบ่งตามระดับจิตใจและผลกรรมที่ทำมา คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งเป็นพรหมชั้นสูงสุดที่ไร้รูปหรือร่างกาย เหลือเพียงจิตหรือนามในสภาวะว่างเปล่า
ตามคตินี้ ชนชั้นสูงระดับพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาทรงมีสถานะเป็น ‘สมมติเทพ’ หรือเทวราชา ที่อวตารลงมาปกครองมนุษย์ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงมิใช่การ ‘ตาย’ หรือสูญสิ้นไปแบบสามัญชน แต่คือการเสด็จกลับคืนสู่ทิพยวิมานบนเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามหลักไตรภูมิ และเป็นที่อยู่ของเทวดา โดยมีชั้นดาวดึงส์เป็นที่ประทับของพระอินทร์บนยอดสูงสุดของเขาพระสุเมรุ
ดังนั้น พระราชพิธีพระบรมศพจึงไม่ใช่แค่ ‘พิธีศพ’ ที่อาลัยถึงความสูญเสีย แต่คือการจำลองกระบวนการเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังที่ใช้คำว่า ‘เสด็จสู่สวรรคาลัย’
เช่น พระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่สร้างขึ้นกลางท้องสนามหลวง จะถูกออกแบบให้เป็นเขาพระสุเมรุจำลอง มีไพชยนต์ปราสาทอยู่กลางเมือง เขาพระสุเมรุล้อมรอบด้วยทะเล 7 ชั้น (ทะเลสีทันดร) สลับด้วยภูเขา 7 ลูก (สัตตบริภัณฑ์) ส่วนเชิงเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของป่าหิมพานต์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ส่งดวงพระวิญญาณของสมมติเทพกลับสู่สภาวะเดิมบนสรวงสวรรค์
@@@@@@@
‘มหรสพสมโภช’ เมื่อความตายมิใช่แค่ความเศร้า
เนื่องจากการสวรรคตคือการเสด็จกลับสู่สวรรค์ของสมมติเทพ ซึ่งความเชื่อนี้คงอยู่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาต่อเนื่องมาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ งานพระบรมศพจึงมีการเฉลิมฉลองควบคู่ไปกับความอาลัย โดยเรียกสิ่งนี้ว่า ‘มหรสพสมโภช’
มหรสพสมโภช มาจาก ‘มหรสพ’ แปลว่า การแสดงรื่นเริง การละเล่น สิ่งบันเทิง กับ ‘สมโภช’ แปลว่า การเฉลิมฉลอง เมื่อนำสองคำมารวมกันจะหมายความว่า การแสดงรื่นเริงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่
บันทึกของราชทูตชาวฝรั่งเศส ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ปี 2230) บรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของงานศพเจ้านายสมัยอยุธยาว่า มีความซ้อนกันของพิธีกรรม โดยไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าเท่านั้น
‘คำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ในทรงธรรม’ กล่าวถึงพระเมรุชั้นสูงยุคก่อนไว้ว่า มีมหรสพหลายประเภทการแสดงต่างๆ รอบพระเมรุมาศ เช่น โขน หุ่นกระบอก ละครชาตรี ระบำ งิ้ว รวมถึงการแสดงพื้นบ้านและกายกรรม กุลาตีไม้ กระอั้วแทงควาย ลอดบ่วงเพลิง นอนหอกนอนดาบ
มหรสพสมโภชซึ่งส่วนใหญ่เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง มีจุดประสงค์หลักคือ เป็นการสมโภช เฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สวรรค์ให้สมพระเกียรติยศ และเพื่อเป็นการออกทุกข์เมื่อพระราชพิธีดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย และให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ดังนั้น บรรยากาศในงานพระเมรุสมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ จึงยึดอยู่กับพิธีกรรมที่ผสมผสานระหว่างพราหมณ์-พุทธ ความโศกเศร้าอาลัย และความรื่นเริงเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นการแสดงพระเกียรติยศอันสูงสุดของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ล่วงลับ และเป็นการสำแดงพระบรมเดชานุภาพและพระกฤดาธิการขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงจัดงาน
จุดเปลี่ยนสู่ความเศร้าอย่างสำรวมในสมัย รัชกาลที่ 6 กับงานพระบรมศพ พระพันปีหลวง
มหรสพสมโภชดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชปรารภก่อนสวรรคตว่า งานพระบรมศพของพระองค์นั้นให้จัดอย่างประหยัด ลดทอนความยิ่งใหญ่ลง และทรงไม่ประสงค์ให้มีการเล่นการมหรสพ เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองและไม่เข้ากับยุคสมัยใหม่
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของพระราชพิธีเกิดขึ้นหลังจากนั้น โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงรับอิทธิพลแนวคิดแบบตะวันตกจากการศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ โดยเฉพาะยุควิกตอเรียนของอังกฤษ ที่มองว่างานศพควรถูกจัดบนบริบทของความเคร่งขรึม สงบ และเป็นการแสดงความอาลัยส่วนตัว
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมงานพระบรมศพอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในการประชุมหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตได้ไม่นาน โดยมีหลักฐานสำคัญคือบันทึกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเองในพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘ประวัติต้นรัชกาลที่ 6’ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า "ถึงสมัยอันควรที่จะเปลี่ยนธรรมเนียมทำงานศพ" นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปแนวคิดเกี่ยวกับงานศพในราชสำนักสยามครั้งใหญ่ที่สุด
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงดำเนินตามพระราชประสงค์ของพระราชบิดา และได้มีประกาศงดการแสดงมหรสพสมโภชในงานออกพระเมรุ อย่างเป็นทางการ
ต่อมา เมื่อถึงคราวงานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พระมารดาของรัชกาลที่ 6) ซึ่งเป็นพระพันปีพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจัดขึ้นในปี 2463 จึงเป็นงานพระบรมศพขนาดใหญ่งานแรกที่จัดตามธรรมเนียมใหม่อย่างเคร่งครัด คือไม่มีมหรสพสมโภชเพื่อความบันเทิง คงไว้แต่การบรรเลงโดยวงดนตรีเฉพาะกิจสำหรับงานศพเช่น วงปี่พาทย์นางหงส์ เพื่อประกอบพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม
เหตุผลสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนนิยามพื้นฐานของงานศพ โดยมีพระราชประสงค์ที่จะงดงานรื่นเริงเปลี่ยนให้เป็นวิธีแสดงความเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พระราชพิธีจึงเปลี่ยนรูปแบบจากการแสดงมหกรรมเพื่อสำแดงพระเกียรติยศต่อสาธารณะ ไปสู่การแสดงออกถึงความอาลัยและความเคารพของคนในชาติ รวมถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจที่รัชกาลที่ 6 และที่ประชุมทรงเห็นร่วมกันว่า การสร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่โตซึ่งใช้งานเพียงชั่วคราวและการจัดมหรสพใหญ่โตนั้นเป็นการสิ้นเปลืองและ "มิได้เพิ่มพูนพระเกียรติยศขึ้นเลย"
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงหัวใจของพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงเปลี่ยนมาอยู่ที่ความสงบ ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนพิธี และความสง่างามเป็นระเบียบของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ เปี่ยมด้วยความอาลัยและความเคารพ แทนที่ความครึกครื้นรื่นเริง บทบาทของประชาชนที่เข้าร่วมก็เปลี่ยนจากผู้ชมมหรสพเป็น ‘ผู้ถวายความเคารพ’ ในพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
นอกจากการไม่มีมหรสพ สีแห่งความเศร้าของสยามก็เปลี่ยนไป จากประเพณีดั้งเดิม สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ทั้งคนธรรมดาและราชสำนัก โดยอ้างอิงมาจากคติพราหมณ์และพุทธ
แต่เนื่องจากรัชกาลที่ 6 ทรงอ้างอิงวิถีการปฏิบัติตามแบบวิกตอเรียน สีของการไว้ทุกข์จึงเปลี่ยนเป็นสีดำ โดยมีต้นแบบคือ พระราชินีวิกตอเรีย ที่ทรงฉลองพระองค์สีดำไว้ทุกข์ให้เจ้าชายอัลเบิร์ตนานถึง 40 ปี
ในยุคที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคม วัฒนธรรมของอังกฤษจึงแพร่หลายจนเป็นสากล การไว้ทุกข์ด้วยสีดำจึงเป็นการปรับตัวของสยามให้เข้ากับมาตรฐานสากล โดยรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการกำหนดให้ข้าราชการและประชาชนทั่วไปเปลี่ยนมาใช้ เครื่องแต่งกายสีดำเป็นหลักในการไว้ทุกข์ หรือใช้สีขาวสลับดำ ส่วนข้าราชการที่แม้จะใส่เสื้อขาว ก็ยังติดปลอกแขนสีดำเป็นสัญลักษณ์
งานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของทั้งรูปแบบและการแต่งกาย แม้ว่าความยิ่งใหญ่ของพระเมรุมาศและริ้วขบวนยังคงงดงามและยิ่งใหญ่ตามความเชื่อพุทธและพราหมณ์แบบโบราณราชประเพณี แต่บรรยากาศของมหรสพและงานรื่นเริงแบบอยุธยาก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าอย่างสงบตามแบบสากล กลายเป็นการสถาปนาบรรทัดฐานใหม่สำหรับงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายชั้นสูงใช้เป็นแนวปฏิบัติหลังจากนั้นเป็นต้นมา
@@@@@@@
การฟื้นฟูมหรสพในฐานะการแสดงเฉลิมพระเกียรติ
มหรสพยังไม่ปรากฏในงานพระบรมศพอีกหลายทศวรรษ กระทั่งงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปี 2539 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชปรารภว่า บรรยากาศงานที่เงียบเหงาเกินไป อาจไม่เหมาะสม และเพื่อเป็นการอนุรักษ์โบราณราชประเพณี จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นการมหรสพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่การรื้อฟื้นมหรสพสมโภชตั้งแต่สมัยงานพระบรมศพสมเด็จย่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จนถึงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้เป็นงานรื่นเริงแบบอยุธยาอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับเป็นการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นสูงเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศ เช่น การแสดงโขนหน้าพระเมรุมาศ หรือการประโคมดนตรี ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการถวายราชสักการะครั้งสุดท้ายด้วยศิลปะที่งดงาม เพื่อจารึกและสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ มากกว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูมหรสพสมโภชในยุคสมัยใหม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต นี่ไม่ใช่การกลับไปสู่เทศกาลรื่นเริงไร้การควบคุม แต่เป็นการจัดแสดงทางวัฒนธรรมที่ผ่านการคัดสรรและวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยมีกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
การแสดงที่ได้รับเลือกมักจะมีความเชื่อมโยงกับพระราชประวัติหรือพระราชนิยมของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์นั้นๆ เช่น การบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 บนเวทีที่เป็นทางการ โดยศิลปินชั้นนำของประเทศ และมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
การฟื้นฟูมหรสพจึงไม่ใช่การหวนคืนสู่อดีต แต่คือการสร้างประเพณีรูปแบบใหม่ขึ้นมา เปลี่ยนจากการแสดงในระดับ ‘ชาวบ้าน’ ให้ประชาชนทั่วไปร่วมชมและมีส่วนร่วม กลายเป็นเวทีจัดแสดงนาฏกรรมและดุริยางคศิลป์ชั้นสูงประจำชาติ ใช้ประวัติศาสตร์และจารีตมาเสริมสร้างอัตลักษณ์ พร้อมกับตอกย้ำเรื่องราวพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ประชาชนชาวไทยและทั่วโลกได้รับรู้ทั่วกันอ้างอิง :-
- คติจักรวาลวิทยาในพระเมรุมาศ
- มหรสพในงานพระเมรุสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
- มหรสพสมโภช
- รัชกาลที่ 6 ทรงเขียนถึงเรื่อง”ประชุมกะงานพระบรมศพ (ตกลงแปลงรูปงานเปนแบบใหม่)
Thank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105809Thairath Plus › Politics & Society | Current Issues › Social Issues
27 ต.ค. 68 | creator : กองบรรณาธิการ