ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์เป็นประเพณีไจากฝรั่ง  (อ่าน 6 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29513
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



สุจิตต์ วงษ์เทศ : งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์ เป็นประเพณีได้จากฝรั่ง เพิ่งมีสมัย ร.5

ประเพณีแต่งกายไปงานศพในสังคมไทย ตั้งแต่โบราณกาล ไม่ผูกมัดเคร่งครัดแบบใดแบบหนึ่ง เพราะมีหลายแบบ

เท่าที่พบหลักฐานขณะนี้มี 3 แบบ ได้แก่ ชุดดำตามแบบฝรั่ง, ชุดขาวตามแบบจีนกับอินเดีย, ชุดสีต่างๆ ตามแบบพื้นเมืองดั้งเดิม

ไว้ทุกข์ หมายถึง แต่งกาย หรือติดเครื่องหมายแสดงความไว้อาลัย เพื่อร่วมแสดงความเสียใจต่อผู้ล่วงลับ (พจนานุกรม ฉบับมติชน หน้า 816) เป็นประเพณีมีอยู่ปัจจุบัน


@@@@@@@

ชุดดำแบบฝรั่ง

ชุดดำ แต่งไว้ทุกข์แสดงความเสียใจเศร้าโศกไปงานศพตามวัฒนธรรมฝรั่ง

เพิ่งมีในกลุ่มคนชั้นสูง สมัย ร.5 แล้วค่อยๆ แพร่หลายสู่คนทั่วไปเฉพาะใน“สังคมเมือง” สมัยหลังๆตราบจนปัจจุบัน

แต่เข้าไม่ถึงทุกหมู่บ้าน เพราะบางแห่งยังแต่งตัวไปงานศพตามประเพณีพื้นเมืองดั้งเดิมด้วยสีสันฉูดฉาดต่างๆ ตามสะดวก

@@@@@@@

ชุดขาวแบบจีน–อินเดีย

ชุดขาว แต่งไว้ทุกข์ไปงานศพตามวัฒนธรรมจีนกับอินเดีย

แต่โดยทั่วไปแล้วชุดขาวเป็นเครื่องแต่งตัวปกติในชีวิตประจำวันของคนแต่ก่อนที่รู้จักเทคโนโลยีทอผ้าแล้ว ซึ่งหาง่ายที่สุด เพราะเป็นสีธรรมชาติของฝ้ายที่ใช้ทอผ้า  เช่น ผ้าดิบ

ขณะเดียวกันก็เป็นชุดของนักบวชตามประเพณีอินเดีย เช่น พราหมณ์, ชี น่าจะรับเข้ามาในไทยพร้อมศาสนาพราหมณ์-พุทธ ราวหลัง พ.ศ. 1000

แต่เข้าไม่ถึงทุกหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านทั่วไปแต่งตัวตามประเพณีดั้งเดิมด้วยสีสันต่างๆตามสะดวก ส่วนมากไม่มีเสื้อใส่ ได้แต่นุ่งผ้าเตี่ยว





ชุดสีต่างๆแบบไทยๆในอุษาคเนย์

ชุดสีต่างๆ เป็นเครื่องแต่งตัวไปงานศพของคนพื้นเมืองดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ของอุษาคเนย์ เมื่อหลายพันปีมาแล้ว สืบจนปัจจุบันในท้องถิ่นไกลๆ

เพราะพิธีกรรมเกี่ยวกับศพในคนพื้นเมืองยุคดึกดำบรรพ์ เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญ ว่า ศพ คือ คนที่ขวัญหายจากร่างไปชั่วคราว แล้วหาทางกลับเข้าร่างไม่ถูก ถ้าญาติทั้งหลายร่วมกันดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงอึกทึกครึกโครมดังๆให้ขวัญได้ยิน ขวัญก็จะกลับถูกทาง คืนสู่ร่างตามเดิม แล้วลุกขึ้นทำงานตามปกติ

พิธีศพตามประเพณีพื้นเมืองจึงมีต่อเนื่องนานหลายวัน แล้วต้องมีมหรสพสืบจนทุกวันนี้ เช่น โขน ละคร ดนตรีปี่พาทย์ ฯลฯ

[ประเพณีโบราณดั้งเดิมอย่างนี้ คือต้นเหตุให้มีสิ่งที่นักโบราณคดี เรียก “พิธีศพครั้งที่ 2” เอาศพใส่โกศ มีเก็บกระดูก ฯลฯ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก]

คนไปงานศพต้องแต่งตัวสีฉูดฉาดเหมือนไปงานมงคลสนุกสนานรื่นเริง ไม่ทุกข์โศก มีวรรณคดีโบราณหลายเล่มพรรณนาไว้ เช่น อิเหนา (พระราชนิพนธ์ ร.2) ดังนี้

    ๏ บัดนั้น                   ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย
จะดูชักพระศพตบแต่งกาย   หญิงชายโอ่อวดประกวดกัน

คนบ้านนอกราว 50 ปีมาแล้ว จะไปเผาศพบนเชิงตะกอน (ยังไม่มีเมรุเผาศพ) แต่งตัวเหมือนไปดูลิเกงานประจำปี บางคนมีสายสร้อยทองคำก็ขนออกมาใส่อวดกันทั้งๆในชีวิตประจำวันไม่ใส่ แม่ผมนุ่งโจงกระเบนต้องเลือกผ้าลายอย่างดี สีสวยสดที่เก็บไว้แต่งไปทำบุญมานุ่งไปเผาศพ ถือเป็นการแสดงความรักและเคารพนับถืออย่างยิ่ง

ฉะนั้นงานศพตอนผมยังเด็กเป็นงานสีสันฉูดฉาด (บาดตามาสำหรับสมัยนี้)

@@@@@@@

ขวัญมีในอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ถ้าคนมีอวัยวะ 32 ประการ ขวัญก็มี 32 แห่ง และอาจมากกว่านั้นก็ได้ เพราะมีขวัญอยู่กลางกระหม่อม เรียก จอมขวัญ

นอกจากในคนแล้ว ขวัญยังมีในพืช, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่ เช่น ขวัญควาย, ขวัญข้าว, ขวัญเกวียน, ขวัญยุ้ง, ขวัญนา, ขวัญลานนวดข้าว ฯลฯ

วิญญาณเป็นคติฮินดู-พุทธจากอินเดีย เชื่อกันว่ามีดวงเดียวประจำตัวคนทุกคน เมื่อคนตายวิญญาณก็ออกจากร่าง แล้วล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

หลังรับคติตามอินเดีย ความเชื่อเกี่ยวกับงานศพก็เปลี่ยนไป ดังเป็นอยู่ทุกวันนี้





ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/columnists/news_323920
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ | ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
วันที่ 16 ตุลาคม 2559 - 15:29 น.   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ