ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุปัจจัยให้ทานมีอานิสงส์มาก  (อ่าน 29 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29549
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เหตุปัจจัยให้ทานมีอานิสงส์มาก
« เมื่อ: ธันวาคม 02, 2025, 12:13:02 pm »
0
.

ขอบคุณภาพจาก เว็บพันทิพย์ สมาชิกหมายเลข 3051058 | 28 พฤศจิกายน เวลา 17:12 น.
ที่มา https://pantip.com/topic/43873641


เหตุปัจจัยให้ทานมีอานิสงส์มาก



 st12

ทานสูตร

[๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคคราใกล้จัมปานคร

ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า
     ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาในสำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน
     อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้วลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป

ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรข้าง หนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล และทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มากพึงมีหรือพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแลที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ


@@@@@@@
       
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้วมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ,อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
         
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์

ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
         
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

@@@@@@@

ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
 
ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทาน เห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
         
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้


@@@@@@@

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
     ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้
         
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
     ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

@@@@@@@
         
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
     ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้
         
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯ และภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
     ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้

         
@@@@@@@

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องประดับจิต เป็นบริขารของจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์

ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ       
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และ
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส
    แต่ให้ทานเป็นเครื่องประดับจิต เป็นบริขารของจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

@@@@@@@
   
ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้วมีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

         จบสูตรที่ ๙

_________________________________
อ้างอิง : ทานสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๔๙ หน้า ๕๔-๕๗
ขอบคุณที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=1340&Z=1436


 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ สุตฺต. องฺ. (๔) : สตฺตก-อฏฺฐก-นวกนิปาตา


[๔๙] เอกํ สมยํ ภควา จมฺปายํ วิหรติ คคฺคราย โปกฺขรณิยาตีเร ฯ

อถโข สมฺพหุลา จมฺเปยฺยกา อุปาสกา เยนายสฺมา สารีปุตฺโตเตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข จมฺเปยฺยกา อุปาสกา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ เอตทโวจุํ จิรสฺสุตา โน ภนฺเต ภควโต สมฺมุขา ธมฺมี กถา สาธุ มยํ ภนฺเต ลเภยฺยาม ภควโต ธมฺมึ กถํ สวนายาติ ฯ

เตนหาวุโส ตทหุโปสเถ อาคจฺเฉยฺยาถ อปฺเปวนาม ลเภยฺยาถ ภควโต สนฺติเก ธมฺมึ กถํ สวนายาติ ฯ

เอวํ ภนฺเตติ โข จมฺเปยฺยกา อุปาสกา อายสฺมโต สารีปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุณิตฺวา อุฏฺฐายาสนา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมึสุ ฯ

{๔๙.๑} อถโข จมฺเปยฺยกา อุปาสกา ตทหุโปสเถ เยนายสฺมา สารีปุตฺโต เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สารีปุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุ ฯ

อถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต เตหิ จมฺเปยฺยเกหิ อุปาสเกหิ  สทฺธึ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ
     
@@@@@@@

{๔๙.๒} สิยา นุ โข ภนฺเต อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ น มหานิสํสํ สิยา ปน ภนฺเต อิเธกจฺจสฺส  ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ มหานิสํสนฺติ ฯ

สิยา สารีปุตฺต อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ น มหานิสํสํ สิยา ปน สารีปุตฺต อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ มหานิสํสนฺติ ฯ

โก นุ โข ภนฺเต เหตุ โก ปจฺจโย เยนปิ  อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ น มหานิสํสํ โก นุ โข ภนฺเต เหตุ โก ปจฺจโย เยนปิ อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ มหานิสํสนฺติ ฯ
   
{๔๙.๓} อิธ สารีปุตฺต เอกจฺโจ สาเปกฺโข ทานํ เทติ ปฏิพทฺธจิตฺโต ทานํ เทติ สนฺนิธิเปกฺโข ทานํ เทติ อิมํ เปจฺจ  ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานํ เทติ โส ตํ ทานํ เทติ สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลาคนฺธวิเลปนํ   เสยฺยาวสถปทีเปยฺยํ ตํ กึ มญฺญสิ

สารีปุตฺต ทเทยฺย อิเธกจฺโจ เอวรูปํ ทานนฺติ ฯ
เอวํ ภนฺเต ฯ
     
{๔๙.๔} ตตฺร สารีปุตฺต ยฺวายํ สาเปกฺโข ทานํ เทติ ปฏิพทฺธจิตฺโต ทานํ เทติ สนฺนิธิเปกฺโข ทานํ เทติ อิมํ    เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานํ เทติ โส ตํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา จาตุมฺมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ โส ตํ กมฺมํ เขเปตฺวา ตํ อิทฺธึ ตํ ยสํ ตํ อาธิปเตยฺยํ อาคามี โหติ อาคนฺตา อิตฺถตฺตํ
     
@@@@@@@

{๔๙.๕} อิธ ปน สารีปุตฺต เอกจฺโจ นเหว โข สาเปกฺโข ทานํ เทติ น ปฏิพทฺธจิตฺโต ทานํ เทติ น สนฺนิธิเปกฺโข  ทานํ เทติ น อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานํ เทติ อปิจ โข สาหุ ทานนฺติ ทานํ เทติ ฯเปฯ

    นปิ สาหุ ทานนฺติ ทานํ เทติ อปิจ โข ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ปิตุปิตามเหหิ น อรหามิ โปราณํ กุลวํสํ หาเปตุนฺติ ทานํ เทติ

    นปิ ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ปิตุปิตามเหหิ น อรหามิ โปราณํ กุลวํสํ หาเปตุนฺติ ทานํ เทติ อปิจ โข อหํ ปจามิ อิเม น ปจนฺติ น อรหามิ ปจนฺโต อปจนฺตานํ ทานํ อทาตุนฺติ ทานํ เทติ

    นปิ อหํ ปจามิ อิเม น ปจนฺติ น อรหามิ ปจนฺโต อปจนฺตานํ ทานํ อทาตุนฺติ ทานํ เทติ อปิจ โข ยถา เตสํ ปุพฺพกานํ อิสีนํ ตานิ มหายญฺญานิ อเหสุํ เสยฺยถีทํ อฏฺฐกสฺส วามกสฺส วามเทวสฺส เวสฺสามิตฺตสฺส ยมทคฺคิโน องฺคีรสสฺส ภารทฺวาชสฺส วาเสฏฺฐสฺส กสฺสปสฺส ภคุโน

    เอวํ เม อยํ ทานสํวิภาโค ภวิสฺสตีติ ทานํ เทติ นปิ ยถา เตสํ ปุพฺพกานํ อิสีนํ ตานิ มหายญฺญานิ อเหสุํ เสยฺยถีทํ อฏฺฐกสฺส วามกสฺส วามเทวสฺส เวสฺสามิตฺตสฺส ยมทคฺคิโน องฺคีรสสฺส ภารทฺวาชสฺส วาเสฏฺฐสฺส กสฺสปสฺส ภคุโน

    เอวํ เม อยํ ทานสํวิภาโค ภวิสฺสตีติ ทานํ เทติ อปิจ โข อิมํ เม ทานํ ททโต จิตฺตํ ปสีทติ อตฺตมนตาโสมนสฺสํ อุปชายตีติ ทานํ เทติ นปิ อิมํ เม ทานํ ททโต จิตฺตํ ปสีทติ อตฺตมนตาโสมนสฺสํ อุปชายตีติ ทานํ เทติ อปิจ โข จิตฺตาลงฺการํ จิตฺตปริกฺขารํ ทานํ เทติ โส ตํ ทานํ เทติ สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลาคนฺธวิเลปนํ เสยฺยาวสถปทีเปยฺยํ ตํ กิมฺมญฺญสิ

สารีปุตฺต ทเทยฺย อิเธกจฺโจ เอวรูปํ ทานนฺติ ฯ
เอวํ ภนฺเต ฯ
     
@@@@@@@

{๔๙.๖} ตตฺร สารีปุตฺต ยฺวายํ นเหว โข สาเปกฺโข ทานํ เทติ น ปฏิพทฺธจิตฺโต ทานํ เทติ น สนฺนิธิเปกฺโข ทานํ เทติ น อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ ทานํ เทติ นปิ สาหุ ทานนฺติ ทานํ เทติ นปิ ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ปิตุปิตามเหหิ   น อรหามิ โปราณํ กุลวํสํ หาเปตุนฺติ ทานํ เทติ นปิ อหํ ปจามิ อิเม น ปจนฺติ น อรหามิ ปจนฺโต อปจนฺตานํ ทานํ   อทาตุนฺติ ทานํ เทติ นปิ ยถา เตสํ ปุพฺพกานํ อิสีนํ ตานิ มหายญฺญานิ อเหสุํ เสยฺยถีทํ อฏฺฐกสฺส วามกสฺส วามเทวสฺส เวสฺสามิตฺตสฺส ยมทคฺคิโน องฺคีรสสฺส ภารทฺวาชสฺส วาเสฏฺฐสฺส กสฺสปสฺส ภคุโน

เอวํ เม อยํ ทานสํวิภาโค ภวิสฺสตีติ ทานํ เทติ นปิ อิมํ เม ทานํ ททโต จิตฺตํ ปสีทติ อตฺตมนตาโสมนสฺสํ อุปชายตีติ ทานํ เทติ อปิจ โข จิตฺตาลงฺการํ จิตฺตปริกฺขารํ ทานํ เทติ โส ตํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ โส ตํ กมฺมํ เขเปตฺวา ตํ อิทฺธึ ตํ ยสํ ตํ อาธิปเตยฺยํ อนาคามี โหติ อนาคนฺตา อิตฺถตฺตํ อยํ โข

สารีปุตฺต เหตุ อยํ ปจฺจโย เยนปิ อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ น มหานิสํสํ อยํ ปน
สารีปุตฺต เหตุ อยํ ปจฺจโย เยนปิ อิเธกจฺจสฺส ตาทิสํเยว ทานํ ทินฺนํ มหปฺผลํ มหานิสํสนฺติ ฯ

____________________________________
https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=23&item=49&items=1




ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ้ค พุทธที่แท้จริง | 12 กันยายน 2019
https://www.facebook.com/Buddhism03/posts/การวางจิตที่ถูกต้องขณะให้ทานให้ทานอย่างไร-ได้ความเป็นอริยะทานสูตร-พระสารีบุตรตรั/629118127496861/


๙. ทานมหัปผลสูตร ว่าด้วยทานที่มีผลมากและทานที่ไม่มีผลมาก
       
[๕๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ฝั่งสระคัคคราโบกขรณี เขต กรุงจัมปา ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวกรุงจัมปาจำนวนมากเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึง ที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กล่าวกับท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า
       
     “ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายได้ฟังธรรมีกถาต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคผ่านมานานแล้ว ขอให้เราทั้งหลายได้ฟังธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาคเถิด”
       
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า
     “ผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายควรมาในวันอุโบสถเถิด จะได้ฟังธรรมีกถาในสำนักของพระผู้มีพระภาคแน่นอน” อุบาสกชาวกรุงจัมปารับคำแล้วลุกจากที่นั่ง อภิวาท ทำประทักษิณแล้วจากไป
       
ครั้นถึงวันอุโบสถ อุบาสกชาวกรุงจัมปาได้พากันไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่อภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ต่อจากนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวกรุงจัมปาเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
       
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีได้ไหม ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก แต่ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
     “มีได้ สารีบุตร ทานชนิดเดียวกันที่บุคคล บางคนในโลกนี้ถวายแล้วไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก แต่ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ถวายแล้วกลับมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”
       
     “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้ว ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกันที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมากมีอานิสงส์มาก”

     @@@@@@@

     “สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างมีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราละโลกนี้ไปแล้วจักบริโภคผลทานนี้’ เขาจึงให้ทานนั้น คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์

     สารีบุตรเธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่”
    “ควรให้ พระพุทธเจ้าข้า”
       
    “สารีบุตร ในการให้ทานเช่นนั้น บุคคลผู้ให้ทานอย่างมีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างมีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างมุ่งหวังสั่งสมบุญ ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราละโลกนี้ไปแล้วจักบริโภคผลทานนี้’
     เขาให้ทานนั้นแล้ว หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาให้กรรมนั้นสิ้นไป ให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป ให้ยศนั้นสิ้นไปให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป เป็นผู้ยังต้องมา คือมาสู่ความเป็นอย่างนี้
       
    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราละโลกนี้ไปแล้วจักบริโภคผลทานนี้’ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘การให้ทานเป็นการดี‘ ฯลฯ”
       
    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราละโลกนี้ไปแล้วจักบริโภคผลทานนี้’ ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘การให้ทานเป็นการดี’ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้ทาน เคยทำทาน เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป’ ฯลฯ”

      @@@@@@@

    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้ทาน เคยทำทาน เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป’ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราหุงหากินเองได้ ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้ การที่เราหุงหากินเองได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้ ไม่ควร’ ฯลฯ”

    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราหุงหากินเองได้ ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้ การที่เราหุงหากินเองได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้ ไม่ควร’ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราให้ทานและจำแนกทานนี้ เหมือนเหล่าฤาษีในปางก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตตฤาษี ยมคัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสป-ฤาษี และภคุฤาษี ได้บูชามหายัญ(๑-) แล้ว ฉะนั้น’ ฯลฯ”

_____________________________
(๑-) มหายัญในที่นี้หมายถึง การตระเตรียมมหาทานซึ่งประกอบไปด้วยอาหารและเภสัชต่างๆ มีเนยใส เนยข้น นมส้ม น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น (องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๕๒/๑๘๖)

    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราจักให้ทานและจำแนกทานนี้เหมือนเหล่าฤาษีในปางก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตตฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ได้บูชามหายัญแล้ว’ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เมื่อเราให้ทานนี้ จิตย่อมผ่องใส จะเกิดความชื่นชม โสมนัส’ ฯลฯ”

     @@@@@@@

    “สารีบุตร ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ
     ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เมื่อเราให้ทานนี้ จิตย่อมผ่องใส จะเกิดความชื่นชม โสมนัส’ แต่ให้ทานเป็นเครื่องประดับจิตปรุงแต่งจิต เขาจึงให้ทานนั้น คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์

     สารีบุตร เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ควรให้ทานเช่นนั้นหรือไม่”
    “ควรให้ พระพุทธเจ้าข้า”
       
    “สารีบุตร ในการให้ทานเช่นนั้น บุคคลผู้ให้ทานอย่างไม่มีใจเยื่อใย ให้ทานอย่างไม่มีจิตผูกพัน ให้ทานอย่างไม่มุ่งหวังสั่งสมบุญ
     มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราละโลกนี้ไปแล้วจักบริโภคผลทานนี้’
     มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘การให้ทานเป็นการดี’
     มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เคยให้ทาน เคยทำทาน เราไม่ควรให้วงศ์ตระกูลเก่าแก่เสื่อมเสียไป’
     มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราหุงหากินเองได้ ชนเหล่านี้หุงหากินเองไม่ได้ การที่เราหุงหากินเองได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้หุงหากินเองไม่ได้ ไม่ควร’
     มิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เราจักให้ทานและจำแนกทานนี้เหมือนเหล่าฤาษีในปางก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตตฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษีและภคุฤาษี ได้บูชามหายัญแล้ว’
     ทั้งมิใช่ให้ทานด้วยคิดว่า ‘เมื่อเราให้ทานนี้ จิตย่อมผ่องใส จะเกิดความชื่นชมโสมนัส’
     แต่ให้ทานเป็นเครื่องประดับจิต ปรุงแต่งจิต เขาจึงให้ทานนั้น หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดร่วมกับพวกเทวดาชั้นพรหมกายิกา(๒-) เขาให้กรรมนั้นสิ้นไปให้ฤทธิ์นั้นสิ้นไป ให้ยศนั้นสิ้นไป ให้ความเป็นใหญ่นั้นสิ้นไป เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาคือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้

________________________________
(๒-) เทวดาชั้นพรหมกายิกา หมายถึงพรหมชั้นปฐมฌานภูมิ (ระดับปฐมฌาน) ๓ ชั้น คือ
       (๑) พรหมปาริสัชชา(พวกบริษัทบริวารมหาพรหม)
       (๒) พรหมปุโรหิตา (พวกปุโรหิตมหาพรหม)
       (๓) มหาพรหมา (พวกท้าวมหาพรหม)
       (ที.ม.อ. ๒/๑๒๗/๑๐๙-๑๑๐, องฺ.สตฺตก.อ. ๓/๔๔-๔๕/๑๘๐)

   สารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกัน ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้วไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทานชนิดเดียวกัน ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ถวายแล้วกลับมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”

    ทานมหัปผลสูตรที่ ๙ จบ

_________________________
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=49


 :25: :25: :25:

อรรถกถาทานสูตรที่ ๙        
         
ทานสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
         
บทว่า สาเปกฺโข แปลว่า มีตัณหาความอยาก.
บทว่า ปฏิพทฺธจิตฺโต ได้แก่ ผู้มีจิตผูกพันในผลทาน.
บทว่า สนฺนิธิเปกฺโข ได้แก่ ผู้มุ่งฝังจิตลงในทาน.
บทว่า เปจฺจ ได้แก่ ไปถึงโลกอื่นแล้ว.

บทว่า ตํ กมฺมํ เขเปตฺวา ให้ผลของกรรมนั้นสิ้นไป.
บทว่า อิทฺธํ ได้แก่ ฤทธิ คือวิบาก.
บทว่า ยสํ ได้แก่ ความพรั่งพร้อมด้วยบริวาร.
บทว่า อาธิปเตยฺยํ ได้แก่ เหตุแห่งความเป็นใหญ่.

บทว่า อาคนฺตุ อิตฺถตฺตํ ความว่า ยังกลับมาเป็นอย่างนี้ คือกลับมาสู่ขันธปัญจกนี้ (ขันธ์ ๕) อีก. อธิบายว่า เขาจะไม่ผุดเกิดในภพนั้นอีก จะไม่ผุดเกิดขึ้นในภพสูงขึ้นไป แต่จะกลับมาภพเบื้องต่ำเท่านั้น.
บทว่า สาหุ ทานํ ชื่อว่า ทานนี้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ดีงาม.
บทว่า ตานิ มหายญฺญานิ ความว่า มหาทานเหล่านั้นสำเร็จด้วยเนยใส เนยข้น นมส้ม น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น.

@@@@@@@

บทว่า จิตฺตาลงฺการํ จิตฺตปริกฺขารํ ความว่า เป็นเครื่องประดับและเป็นเครื่องแวดล้อมจิต อันสัมปยุตด้วยสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ ความว่า เขาไม่อาจเกิดขึ้นในภูมินั้นได้ด้วยทาน ก็เพราะเหตุที่ทานนั้น เป็นเครื่องประดับจิตอันประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา ฉะนั้น เขาจึงทำฌานและอริยมรรคให้บังเกิด ด้วยจิตอันประดับด้วยทานนั้นแล้ว ย่อมเกิดขึ้นในภูมินั้นด้วยฌาน.
         
บทว่า อนาคามี โหติ ความว่า เป็นพระอนาคามีผู้ไม่กลับมา เพราะฌาน.
บทว่า อนาคนฺตา อิตฺถตฺตํ ความว่า ไม่กลับมาสู่ภาวะความเป็นอย่างนี้อีก ไม่ผุดเกิดในภพสูงๆ หรือไม่ผุดเกิดในภพนั้นอีก ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง.
         
ดังนั้น บรรดาทานเหล่านี้ :-
ทานที่ ๑ ชื่อว่า ตณฺหุตฺตริยทานํ การให้อันยิ่งด้วยความอยาก
ทานที่ ๒ ชื่อว่า วิตฺตีการทานํ ให้ด้วยความยำเกรง
ทานที่ ๓ ชื่อว่า หิโรตฺตปฺปทานํ ให้ด้วยความละอายและเกรงกลัว
ทานที่ ๔ ชื่อว่า นิรวเสสทานํ ให้ด้วยไม่ให้เหลือเศษ
ทานที่ ๕ ชื่อว่า ทกฺขิเณยฺยทานํ ให้แก่พระทักขิเณยยบุคคล
ทานที่ ๖ ชื่อว่า โสมนสฺสูปวิจารทานํ ให้ด้วยอิงอาศัยโสมนัส
ทานที่ ๗ ชื่อว่า อลงฺการปริวารทานํ ให้เป็นเครื่องประดับและเป็นบริวาร (แห่งจิต).


         จบ อรรถกถาทานสูตรที่ ๙   

____________________________________
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ มหายัญญวรรคที่ ๕ , ๙. ทานสูตร     
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=49
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 03, 2025, 12:40:59 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ