ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'แพลงกิ้ง' ข่าวฮิตวัยรุ่น เล่นสร้างสรรค์ แบ่งปันไอเดีย  (อ่าน 3594 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pornpimol

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 152
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


'แพลงกิ้ง' ข่าวฮิตวัยรุ่น เล่นสร้างสรรค์ แบ่งปันไอเดีย


ข่าว“แพลงกิ้ง” ถูกวิจารณ์อย่างหนาหูในโลกออนไลน์ ถึงความอันตรายและกาลเทศะของการแชะภาพ แต่จากความนิยมในไทยได้สะท้อนภาพแฟชั่นที่ยังเป็นเพียงเปลือกนอกซึ่งรับมา สิ่งหนึ่งที่ยังขาดคือเนื้อในอันแฝงอยู่และน่าส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้าง สรรค์ในแก่นแท้เพื่อส่วนรวม   
   
พงศกร อารีศิริไพศาล อาจารย์ประจำภาควิชาการโฆษณา คณะนิเทศ ศาสตร์ ม.กรุงเทพ มองว่า การ ถ่ายภาพ “แพลงกิ้ง” ต้นกำเนิดมาจากวัยรุ่นในประเทศอังกฤษถ่ายเล่นเพื่อความสนุกสนาน จากกระแสดังกล่าวในประเทศยุโรปทำให้แพร่กระจายมาสู่เอเชีย เช่น ออสเตรเลีย และไต้หวันที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่อ รณรงค์เรื่องสุนัขจรจัด
   
จากกระแส ดังกล่าวที่เข้ามาในไทยเป็นผลจากแฟชั่นและมีคนต้นแบบที่มีชื่อเสียงถ่ายภาพ ลงในโลกออนไลน์ สิ่งที่ยังขาดคือ การสร้างเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์ เช่น ไต้หวันนิยมไปถ่ายตามแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเชิญชวนให้คนที่เห็นไปเที่ยวใน สถานที่นั้น ผิดจากไทยที่รับกระแสมาเพื่อคลายเครียดเสียส่วนใหญ่ ปัญหาที่ตามมาคือการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ซึ่งผู้ที่ให้ลงภาพในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ควรมีข้อความเตือนให้ผู้ที่เข้ามาชมนำไปถ่ายเล่นโดยไม่สร้างความเดือดร้อน ให้กับผู้อื่นหรือเป็นอันตรายต่อตัวเอง ขณะเดียวกันองค์กรภาครัฐ เช่น การท่องเที่ยวน่าจะใช้โอกาสนี้โปรโมตแหล่งท่องเที่ยวให้กับวัยรุ่น โดยจัดการประกวดถ่ายภาพ “แพลงกิ้ง” ประเภทต่าง ๆ
   
“ท่าแพลงกิ้ง คือ ท่านอนราบแขนชิดแนบลำตัวเหมือนเป็นการทำตัวแข็งตรง จะมีกฎของแต่ละกลุ่มที่กำหนดไว้โดยส่วนใหญ่จะเป็นการนอนเหมือนแกล้งตาย โดยส่วนประกอบภาพที่สำคัญ เช่น สถานที่จะถ่ายหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่นำมาเป็นส่วนประกอบ ระยะแรกที่ได้ความนิยมเนื่องจากมีการแข่งขันกันถ่ายลงเฟซบุ๊กเป็นที่สนุก สนานจนสามารถแพร่กระจายไปทั่วโลก”
   
จากกระแสความไม่เห็นด้วยที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรับฟัง ทุกอย่างขึ้นกับ ตัวผู้ที่ไปถ่ายที่จะต้องมีสำนึกในการไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น สำหรับผู้ใหญ่เองควรแนะนำลูกหลานไม่ให้ไปถ่ายในที่อันตราย ไม่ควรต่อต้านอย่างรุนแรงเพราะวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ชอบการต่อต้าน เนื่องจากยิ่งต่อต้านมากเด็กจะแสดงออกอย่างรุนแรงมากขึ้น
   
ศิลปะของการถ่ายภาพ “แพลงกิ้ง” คือ ต้องใช้ความคิดมาก ตั้งแต่ก่อนถ่ายว่าจะไปถ่ายที่ไหนในมุมมองอะไร โดยผู้ที่ถ่ายต้องมีแนวคิดในการจับภาพในทิศทางที่มีมิติไม่ใช่แค่ภาพแนวขวาง ซึ่งพอถ่ายเสร็จแล้วต้องตั้งชื่อรูปแล้วจึงโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ให้เห็นว่ากว่าจะได้รูปนี้สักภาพต้องใช้ความคิดและไอเดียสูง เพราะภาพแบบนี้จะไม่เห็นหน้า แต่ต้องมีส่วนประกอบอื่น ๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้ภาพเกิดลูกเล่นใหม่ ๆ
     
“การ เตรียมตัวก่อนถ่ายภาพต้องมีการประเมินถึงสถานที่เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อ ตนเอง และต้องไม่ใส่เสื้อผ้าที่เมื่อลงไปนอนจะไม่เรียบร้อย จากความนิยมของท่าแพลงกิ้งทำให้เริ่มมีท่าใหม่เกิดขึ้นอย่างท่าสะพานโค้งที่ จะเกิดกระแสฮิตเท่าหรือไม่ต้องคอยดู”
     



ด้าน พิชชาภา กาเตชะ ผู้ดูแลเว็บไซต์ FACEDOWN.in.th ซึ่งเปิดขึ้นเพื่อโพสต์ภาพ “แพลงกิ้ง” บอกว่า เว็บไซต์ได้เปิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครรู้จักการนอนคว่ำ (แพลงกิ้ง) มีคนเข้ามาชมเว็บประมาณ 80-100 คน/วัน รูปนอนคว่ำที่โพสต์ลงเว็บจะมาจากทางบ้านเป็นส่วนน้อย เนื่องจากยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก แต่ก็ทำเว็บมาเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดที่มีข่าวว่า ชายชาวต่างชาตินอนคว่ำแล้วตกตึกตาย ตอนนั้นคนเข้าชมเว็บเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,000-1,500 คน/วัน แต่สิ่งที่ตามมาคือความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยเช่น เป็นเรื่องไร้สาระ หรือสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
   
“แรก ๆ ส่วนใหญ่เป็นชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียง แต่ระยะ    หลัง ๆ นี้ ความนิยมเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จากที่ไม่ค่อยมีใครส่งรูปเข้ามาก็มีมากขึ้น ประมาณวันละ 10-20 รูป คิดว่าหลังจากนี้ น่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น พร้อมกับไอเดียการนอนคว่ำในสถานที่ใหม่ ๆ ที่หลากหลายขึ้น”
   
เสน่ห์ของการถ่ายภาพโดยการนอนคว่ำอยู่ตรงที่เวลามีคนมาดูรูปนอนคว่ำตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วชวนให้สงสัยว่า ทำไปทำไม หรือกล้าได้อย่างไร คนที่อยากถ่ายรูปนอนคว่ำต้องมีความพร้อม 2 สิ่งคือ ความกล้าและกล้องพร้อม แล้วลงไปนอนถ่าย
   
หลัก การโพสท่าที่ปฏิบัติตามกันมาคือ ผู้ถูกถ่ายต้องอยู่ในท่านอนคว่ำ มือแนบลำตัว ขาชิดกัน แต่สำหรับบางคนท่าไหนก็ได้ ขอให้อยู่ในลักษณะหน้าคว่ำลงไปก็พอ
   
หากพูดถึง ลูกเล่น ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ไปถ่าย ยกตัวอย่าง เช่น คนหนึ่งนอนถ่ายหน้าบ้านจะดูเป็นการนอนคว่ำธรรมดา เปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง ไปถ่ายในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน หรือถ่ายในท่ายากจะมีคนโหวตให้
   
ส่วน ข้อควรระวังจะเกี่ยวกับความเสี่ยงของสถานที่ที่ไปถ่าย อย่างเช่น บนตึกสูง บนระเบียง บนถนน หรืออะไรก็ตาม   ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ และอีกอย่างคือ ที่ที่คนพลุกพล่าน บางทีเราไปถ่ายอาจจะเกะกะทางเดินคนอื่น หรือไปทำให้ใครเดือดร้อน จึงขอให้ระมัดระวังตรงนี้ด้วย
   
อนาคตคน ที่นิยมนอนคว่ำยังเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ แต่มีแนวโน้มว่าจะมีคนรู้จักมากขึ้น ซึ่งน่าจะมีคนนิยมเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องตระหนักก็คือ กิจกรรมแบบนี้ มักเป็นกิจกรรมที่นิยมทำกันเพียงระยะเวลาแค่ช่วงหนึ่ง พอมีกิจกรรมใหม่ ๆ เข้ามา อาจทำให้ความนิยมลดลงก็เป็นได้
   
ทุก สิ่งทุกอย่างล้วนมีด้านบวกและด้านลบขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ ซึ่งความสุขในการแสดงออกสำคัญอย่างยิ่ง แต่ควรอยู่ในกรอบที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น.

นัยของ 'แพลงกิ้ง'

การ ทำท่าแพลงกิ้งในหมู่สาวไต้หวันส่วนหนึ่งเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจสุนัข จรจัด และแหล่งท่องเที่ยวในไต้หวัน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีในอินเทอร์เน็ต 
   
กฎเหล็ก 3 ข้อในการทำท่านี้คือ ไม่รบกวนชาวบ้าน ไม่เสี่ยงอันตราย       ไม่ทำลายสิ่งของสาธารณะ ซึ่งการนอนราบคว่ำหน้าบนพื้นที่แปลก ๆ คล้ายกับคนเสียชีวิตเป็นการทำท่าที่ยากพอสมควร เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดี จากนั้นก็ถ่ายภาพ จนกลายเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เล่นกันสนุกสนานแพร่หลายในโลกออนไลน์
บันทึกการเข้า

doremon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 171
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0










คงไม่ใช่เรื่อง ที่น่าแปลกใจอะไร ที่ใครจะแชร์ภาพถ่ายของตนเองและเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม อย่างพวกเฟซบุ๊ก ทวิตเทอร์ ฯลฯ และภาพถ่ายเหล่านั้นโดยมากก็จะเป็นภาพที่เจ้าของภาพคิดว่าตนเองดูดี หรือไม่ก็เป็นภาพที่เก็บช่วงเวลาแห่งความประทับใจเอาไว้
       
       แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาพถ่ายที่แชร์กันบนอินเทอร์เน็ตในอิริยาบถตัวนอนคว่ำและทำตัวแข็งเป็นท่อน ไม้ กลับกลายเป็นที่นิยม และแพร่หลายไปทั่วในโลกไซเบอร์สเปซ
       
       โดยกิจกรรมยอดฮิตอันนี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า การทำ ‘แพลงกิ้ง’ (Planking)
       
       แน่นอน หลายๆ คนก็คงจะไม่เข้าใจว่า การนอนคว่ำทำตัวแข็งและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตนั้น...สนุกตรงไหน หรือทำไปเพื่ออะไร
       
       ดังนั้น จะเดินทางเข้าไปสำรวจโลกของการแพลงกิ้งกัน ในหลากหลายมิติและมุมมอง
       
        มันคืออะไร...ดูดูไปแล้วยังไม่เข้าใจ?
       
       คำว่าแพลง (Plank) นั้น จริงๆ มันแปลว่าแผ่นกระดาน ดังนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่าการทำแพลงกิ้ง (Planking) ก็คือการทำตัวให้เป็นแผ่นกระดานนั่นเอง ซึ่งถ้าจะพูดถึงลักษณะโดยรวมของการทำแพลงกิ้งที่ได้รับการยอมรับและนิยมใน หมู่ประชากรชาวเน็ตนั้น ก็จะมีกติกาอยู่ว่า เพียงแค่นอนคว่ำลงไป มือและแขนจะต้องแนบชิดติดลำตัว จากนั้นก็ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ตก็เป็นอันเสร็จพิธี
       
       อันที่จริง การแพลงกิ้งนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว โดยตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า 'Lying Down game' ซึ่งเป็นผลผลิตความพิเรนทร์ของ เกรย์ คลาสสัน และ คริสเตียน แลงดอน สองหนุ่มที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ และมันก็ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ก่อนที่จะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วไป จากการเล่นแบบนี้นั้นก็ลามไปทั่วโลก อย่างในเกาหลีใต้ก็เรียกการละเล่นนี้ว่า การเล่นแกล้งตาย ที่ฝรั่งเศสก็เรียกว่า à plat ventre, ในอเมริกาเรียกว่า facedowns ส่วน คำว่าแพลงกิ้งนั้น เป็นคำเรียกที่ใช้ในออสเตรเลีย ซึ่งมันฮิตมากเสียจนทำให้ที่อื่นๆ ในโลกที่เพิ่งรู้จักการละเล่นแบบนี้ ใช้คำว่า แพลงกิ้ง แทนที่จะเรียกว่าอย่างอื่น
       
       การละเล่นแบบนี้นั้น ถึงแม้มันจะเริ่มจากการนอนคว่ำหน้าและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตเฉยๆ แต่ปัจจุบันรูปแบบของมันก็ได้พัฒนาเข้าไปใกล้กับกีฬาเอ๊กซ์สตรีมมากขึ้น เรื่อยๆ กล่าวคือ ในการนอนคว่ำนั้น ถ้าได้ไปนอนในที่ที่ไม่ควรนอนมากเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นการแพลงกิ้งที่เจ๋งมากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้ง มันก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่คนที่กระทำการแพลงกิ้งเอง อย่างเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา หนุ่มชาวออสเตรเลียวัย 20 ปีคนหนึ่ง ก็เพิ่งตกลงมาจากระเบียงชั้น 7 จนเสียชีวิต เหตุเพราะเขาพยายามปีนขึ้นไปแพลงกิ้งนั่นเอง
       
       เท่าที่เห็น ในบ้านเรา ก็มีหลายคนที่พยายามจะแพลงกิ้งแบบเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย
       
        รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ไม่รู้ใครเอามันเข้ามา
       
       สำหรับโลกยุคไซเบอร์ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากว่าแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอีกมุมโลกหนึ่ง จะเดินทางมาถึงอีกมุมโลกหนึ่งในชั่วข้ามคืน
       
        พิชชภา กาเตชะ ผู้ก่อตั้งเว็บเฟซดาวน์ (Facedown.in.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกๆ ของไทยที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปอัปโหลดภาพถ่ายการแพลงกิ้งมาแชร์กัน ซึ่งพิชชภาบอกว่า เธอเริ่มรู้จักการแพลงกิ้งจากเว็บไซต์ของต่างประเทศนั่นเอง และรู้สึกว่ามันทั้งเจ๋งทั้งน่าสนใจ
       
       “ดูแล้วก็อยากลองทำบ้าง ตอนแรกก็เริ่มถ่ายกันเองและโพสต์ลงเฟซบุ๊กก่อน”
       
       เมื่อเห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีเว็บที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และตัวของพิชชาเองก็พอมีความรู้ด้านเกี่ยวกับการเขียนเว็บฯ อยู่บ้าง เลยทำเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา ตอนแรกไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ต่อมามันก็กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ลองทำกัน ส่วนการที่จะบอกให้ชัดว่า ใครเป็นคนนำเข้ามาคนแรกนั้น คงยาก เพราะมันเป็นกระแสที่ก่อตัวมากจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก
       
       “ตอนแรกที่ทำเว็บฯ ยังไม่มีใครส่งรูปเข้ามา ก็จะมีคนรู้จักเราเองส่งมาเล่นด้วย ตอนนี้มันฮิตมากก็จริง แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับกระแสแต่งตัวเกาหลีนั่นแหละ ที่เราเห็นเขาทำก็อยากทำบ้าง เอาซะหน่อย แต่พอสมใจแล้วก็เลิก”
       
       ซึ่งหากถามว่าเราชอบการแพลงกิ้งตรงไหน หรือว่ามันเป็นศิลปะ? พิชชภาตอบว่า มันไม่ใช่ศิลปะหรอก มันก็แค่คนคนหนึ่งไปทำท่าแปลกๆ ในที่ใดที่หนึ่งก็เท่านั้น แต่ที่ชอบก็ตรงที่ไอเดีย
       
       “ชอบความกล้าของเขา รู้สึกว่ากล้าไปนอนตรงนั้นได้ยังไง นอนแล้วถ่ายรูปด้วย เพราะบางที่มันไม่ใช่ที่ที่คนจะไปนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น”
       
       แต่กระนั้น นักแพลงกิ้งมืออาชีพอย่างพิชชภา ก็ยังยอมรับว่าการกระทำที่ว่า บางครั้ง มันก็ก้ำกึ่งระหว่างความสนุกสนานและความไร้สาระ
       
       “บางคนเขาอาจจะมองว่าตรงนี้มัน ไร้สาระ อันตราย บางทีก็บอกว่ามันเกะกะขวางทางชาวบ้าน เราก็อยากให้คนที่จะนอนถ่ายรูปนั้นพิจารณาก่อน ดูว่าไปนอนขวางทางเขาหรือเปล่า ส่วนคนอื่นจะมองว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง เพราะคนที่ส่งรูปถ่ายเข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อยู่ในระดับอายุที่มากแล้ว โตพอที่จะรู้ว่าตรงไหนอันตรายหรือไม่อันตราย ดังนั้นก่อนทำจึงควรดูให้ดีก่อน”
       
        แล้วแพลงกิ้งไปเพื่ออะไร?
       
       การทำแพลงกิ้งในที่สาธารณะ อาจจะถือเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรชาวเน็ต แต่ในสายตาของคนที่ไม่ได้อินไปกับมัน การแพลงกิ้งคงเป็นเรื่องที่น่างงงวยไม่น้อย ว่าจะทำไปเพื่ออะไร หรือทำไปให้มันได้อะไรขึ้นมา
       
       และกับบางคนก็สงสัยเสียจนอยากจะลองทำดูบ้าง
       
        สุทธาวดี เนติมานนท์ พนักงาน บริษัทแห่งหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเธอกล่าวถึงกระแสแพลงกิ้งว่า ส่วนตัวคิดว่าเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเป็นเพราะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้เกี่ยวกับกระแสนี้ก็รู้สึกแปลกๆ และสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากทำบ้างแล้ว เพราะเห็นกระแสคนอื่นทำกันเยอะขึ้น
       
       “ครั้งแรกที่ได้รู้เกี่ยวกับแพลงกิ้งของต่างประเทศที่ทำกันมาก่อน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลก คิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่พอนานๆ เข้าเริ่มรู้สึกเฉยๆ แต่พอกระแสมันเริ่มเยอะขึ้น เราก็อยากทำบ้างนะ ซึ่งถ้าถามว่าความแปลกของแพลงกิ้งอยู่ที่ตรงไหน น่าจะเป็นการคิดเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาประกอบการถ่าย และสถานที่ถ่าย เพราะต้องคิดว่าจะไปทำท่านี้แล้วถ่ายที่ไหนดี”
       
       ส่วนคนที่ลองทำแพลงกิ้ง เท่าที่สอบถามมา มักจะเริ่มทำเพราะเห็นว่ามันคือ แฟชั่น โดยตอนที่ทำก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
       
       “ก็เห็นเขาทำก็เลยลองทำดู ตลกดี ไม่มีอะไรหรอก จะเรียกว่าตามกระแสก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นที่ว่าต้องทำแบบผาดโผนหรือไปทำกลางถนนแต่อย่างใด”
       
        นันทนัท เถรพันธุ์ พนักงานออฟฟิศสาว ซึ่งถือเป็นมือใหม่หัดแพลงกิ้ง เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของเธอ
       
       ”ทำไปแล้วก็สนุกดี เอารูปไปโพสต์ เจ้านายเรามาเห็นก็เอารูปเราไปโพสต์ต่อ จากนั้นก็มีคนมาคอมเมนท์ บางคนเขาไม่เคยเห็นก็เข้ามาถามกันว่ามันคืออะไร มีคนทำตามด้วยนะ แล้วเขาก็โพสต์และแทกเรามา บอกว่าไปทำตามมาแล้วนะ
       
       “ตอนก่อนทำ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้อยู่ดี (หัวเราะ) ที่ได้มาก็เป็นเรื่องของความสนุกและการพูดคุยกันบนสังคมออนไลน์เท่านั้น คือในกลุ่มเพื่อนยังไม่มีใครรู้ถึงกระแสนี้ แต่พอเรารู้ก็ทำเลย ประมาณว่าอินเทรนด์ก่อนเพื่อนๆ เรา”
       
        ชอบโชว์ ชอบแชร์ พฤติกรรมสามัญของคนในโลกสมัยใหม่
       
       แม้สุดท้ายแล้ว คนที่ประกอบการแพลงกิ้งเอง ก็ยังคงตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ข้อสังเกตหนึ่ง ที่มีต่อวัฒนธรรมการแพลงกิ้งก็คือ มันอาจจะเป็นเพียงความต้องการในการโชว์ให้คนอื่นๆ เห็นว่าฉันยังมีตัวตนอยู่เท่านั้น โดยที่ไม่มีความหมายใดๆ ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
       
        วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ นักเขียนผู้คร่ำหวอดในวงการโซเซียลเน็ตเวิร์ก กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางที่เอื้อต่อกิจกรรมประเภทการแชร์และโชว์ ซึ่งที่ผ่านมามันไม่ได้มีเพียง Planking เท่านั้น แต่มันยังเคยมีอีกหลายกิจกรรมที่ได้รับความนิยมแล้วก็สูญหายไป อาทิ Happy slapping (การถ่ายคลิปวิดีโอการตบหน้ากัน แล้วโพสต์ลงยูทูบ)
       
       “จริงๆ แล้วมันคือการแชร์และการโชว์ ในโลกยุคโซเซียลมีเดีย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต่างมีสื่ออยู่ในมือ ทุกคนก็สามารถเผยแพร่ภาพ หรือคลิป บทความ ความเห็น หรืออะไรก็ได้ในโซเซียลมีเดีย แพลงกิ้งเนี่ย เขาก็สามารถโชว์การแพลงก์ได้ ยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยน ยิ่งสื่อเปลี่ยน รูปแบบการใช้งานเปลี่ยน มันจะยิ่งทำให้คนเราต้องการแชร์ และต้องการโชว์ออฟมากขึ้นไปเรื่อยๆ
       
       “ผมเชื่อว่าเมื่อมาถึงยุคสมัยที่มีอินเทอร์เน็ต มีโทรศัพท์มือถือ มีกล้อง มันก็ยิ่งกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เป็นรูปแบบเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเหมือนกับเป็นการพยายามพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกใหม่ หรือคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะต้องชอบ เสร็จแล้วเราก็แชร์มันเท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นปรากฏการณ์ เหมือนแฟชั่นที่จะมีช่วงที่มันคูล พอผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะเน่าไป”
       
       แต่หากมีหน่วยงานออกโรงมาประกาศต่อต้าน มันก็จะกลายเป็นการปลุกกระแสให้คนหันสนใจยิ่งขึ้น วุฒิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า วัฒนธรรมของโลกไซเบอร์นั้นอำนวยต่อกิจกรรมประเภทการแชร์-การโชว์ ซึ่งไม่นานมันก็จะเลิกฮิตจะหายไปเอง
       
        “สมมติว่ามีกระทรวงวัฒนธรรมมาบอกว่ามันไม่ดี หรือมีกรมศาสนาออกมาด่าว่าห้ามทำมันก็จะยิ่งคูลมาขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าความคูลมันคือการต่อด้านกระแสไง ถ้ากระแสหลักมองว่า มันไม่ดี Pแพลงกิ้งก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนก็จะอยากทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเอามาเผยแพร่อย่างนี้แล้ว มันสนุก”
       
       ..........
       
       สุดท้ายเรื่องราวของการแพลงกิ้ง ก็เป็นเพียงแค่แฟชั่นบนโลกไซเบอร์ ที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบาย หากแต่มันกลับได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็เป็นเพราะมันคือหนึ่งในช่องทางที่คนทั่วไปสามารถใช้ในการสำแดงตัว ตนและประกาศให้โลกรู้ว่าฉันยังอยู่เท่านั้นเอง
       
       และถึงแม้ว่าการแพลงกิ้งก็คงจะเหมือน กับแฟชั่นอื่นๆ ที่ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่กระนั้น ก็เชื่อได้เลยว่า ในอนาคตมันจะต้องมีกิจกรรมรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนแน่นนอน ตราบใดที่มนุษย์ยังคงต้องการการยอมรับ และต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคม.
       
       >>>>>>>>>>
บันทึกการเข้า

doremon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 171
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0






คงไม่ใช่เรื่อง ที่น่าแปลกใจอะไร ที่ใครจะแชร์ภาพถ่ายของตนเองและเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม อย่างพวกเฟซบุ๊ก ทวิตเทอร์ ฯลฯ และภาพถ่ายเหล่านั้นโดยมากก็จะเป็นภาพที่เจ้าของภาพคิดว่าตนเองดูดี หรือไม่ก็เป็นภาพที่เก็บช่วงเวลาแห่งความประทับใจเอาไว้
       
       แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาพถ่ายที่แชร์กันบนอินเทอร์เน็ตในอิริยาบถตัวนอนคว่ำและทำตัวแข็งเป็นท่อน ไม้ กลับกลายเป็นที่นิยม และแพร่หลายไปทั่วในโลกไซเบอร์สเปซ
       
       โดยกิจกรรมยอดฮิตอันนี้ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปว่า การทำ ‘แพลงกิ้ง’ (Planking)
       
       แน่นอน หลายๆ คนก็คงจะไม่เข้าใจว่า การนอนคว่ำทำตัวแข็งและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตนั้น...สนุกตรงไหน หรือทำไปเพื่ออะไร
       
       ดังนั้น จะเดินทางเข้าไปสำรวจโลกของการแพลงกิ้งกัน ในหลากหลายมิติและมุมมอง
       
        มันคืออะไร...ดูดูไปแล้วยังไม่เข้าใจ?
       
       คำว่าแพลง (Plank) นั้น จริงๆ มันแปลว่าแผ่นกระดาน ดังนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่าการทำแพลงกิ้ง (Planking) ก็คือการทำตัวให้เป็นแผ่นกระดานนั่นเอง ซึ่งถ้าจะพูดถึงลักษณะโดยรวมของการทำแพลงกิ้งที่ได้รับการยอมรับและนิยมใน หมู่ประชากรชาวเน็ตนั้น ก็จะมีกติกาอยู่ว่า เพียงแค่นอนคว่ำลงไป มือและแขนจะต้องแนบชิดติดลำตัว จากนั้นก็ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ตก็เป็นอันเสร็จพิธี
       
       อันที่จริง การแพลงกิ้งนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว โดยตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า 'Lying Down game' ซึ่งเป็นผลผลิตความพิเรนทร์ของ เกรย์ คลาสสัน และ คริสเตียน แลงดอน สองหนุ่มที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ และมันก็ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ ก่อนที่จะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วไป จากการเล่นแบบนี้นั้นก็ลามไปทั่วโลก อย่างในเกาหลีใต้ก็เรียกการละเล่นนี้ว่า การเล่นแกล้งตาย ที่ฝรั่งเศสก็เรียกว่า à plat ventre, ในอเมริกาเรียกว่า facedowns ส่วน คำว่าแพลงกิ้งนั้น เป็นคำเรียกที่ใช้ในออสเตรเลีย ซึ่งมันฮิตมากเสียจนทำให้ที่อื่นๆ ในโลกที่เพิ่งรู้จักการละเล่นแบบนี้ ใช้คำว่า แพลงกิ้ง แทนที่จะเรียกว่าอย่างอื่น
       
       การละเล่นแบบนี้นั้น ถึงแม้มันจะเริ่มจากการนอนคว่ำหน้าและถ่ายรูปมาโพสต์บนอินเทอร์เน็ตเฉยๆ แต่ปัจจุบันรูปแบบของมันก็ได้พัฒนาเข้าไปใกล้กับกีฬาเอ๊กซ์สตรีมมากขึ้น เรื่อยๆ กล่าวคือ ในการนอนคว่ำนั้น ถ้าได้ไปนอนในที่ที่ไม่ควรนอนมากเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นการแพลงกิ้งที่เจ๋งมากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้ง มันก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่คนที่กระทำการแพลงกิ้งเอง อย่างเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา หนุ่มชาวออสเตรเลียวัย 20 ปีคนหนึ่ง ก็เพิ่งตกลงมาจากระเบียงชั้น 7 จนเสียชีวิต เหตุเพราะเขาพยายามปีนขึ้นไปแพลงกิ้งนั่นเอง
       
       เท่าที่เห็น ในบ้านเรา ก็มีหลายคนที่พยายามจะแพลงกิ้งแบบเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย
       
        รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ไม่รู้ใครเอามันเข้ามา
       
       สำหรับโลกยุคไซเบอร์ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากว่าแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอีกมุมโลกหนึ่ง จะเดินทางมาถึงอีกมุมโลกหนึ่งในชั่วข้ามคืน
       
        พิชชภา กาเตชะ ผู้ก่อตั้งเว็บเฟซดาวน์ (Facedown.in.th) ซึ่งเป็นเว็บไซต์แห่งแรกๆ ของไทยที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปอัปโหลดภาพถ่ายการแพลงกิ้งมาแชร์กัน ซึ่งพิชชภาบอกว่า เธอเริ่มรู้จักการแพลงกิ้งจากเว็บไซต์ของต่างประเทศนั่นเอง และรู้สึกว่ามันทั้งเจ๋งทั้งน่าสนใจ
       
       “ดูแล้วก็อยากลองทำบ้าง ตอนแรกก็เริ่มถ่ายกันเองและโพสต์ลงเฟซบุ๊กก่อน”
       
       เมื่อเห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีเว็บที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และตัวของพิชชาเองก็พอมีความรู้ด้านเกี่ยวกับการเขียนเว็บฯ อยู่บ้าง เลยทำเป็นเว็บไซต์ขึ้นมา ตอนแรกไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ต่อมามันก็กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ลองทำกัน ส่วนการที่จะบอกให้ชัดว่า ใครเป็นคนนำเข้ามาคนแรกนั้น คงยาก เพราะมันเป็นกระแสที่ก่อตัวมากจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก
       
       “ตอนแรกที่ทำเว็บฯ ยังไม่มีใครส่งรูปเข้ามา ก็จะมีคนรู้จักเราเองส่งมาเล่นด้วย ตอนนี้มันฮิตมากก็จริง แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับกระแสแต่งตัวเกาหลีนั่นแหละ ที่เราเห็นเขาทำก็อยากทำบ้าง เอาซะหน่อย แต่พอสมใจแล้วก็เลิก”
       
       ซึ่งหากถามว่าเราชอบการแพลงกิ้งตรงไหน หรือว่ามันเป็นศิลปะ? พิชชภาตอบว่า มันไม่ใช่ศิลปะหรอก มันก็แค่คนคนหนึ่งไปทำท่าแปลกๆ ในที่ใดที่หนึ่งก็เท่านั้น แต่ที่ชอบก็ตรงที่ไอเดีย
       
       “ชอบความกล้าของเขา รู้สึกว่ากล้าไปนอนตรงนั้นได้ยังไง นอนแล้วถ่ายรูปด้วย เพราะบางที่มันไม่ใช่ที่ที่คนจะไปนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น”
       
       แต่กระนั้น นักแพลงกิ้งมืออาชีพอย่างพิชชภา ก็ยังยอมรับว่าการกระทำที่ว่า บางครั้ง มันก็ก้ำกึ่งระหว่างความสนุกสนานและความไร้สาระ
       
       “บางคนเขาอาจจะมองว่าตรงนี้มัน ไร้สาระ อันตราย บางทีก็บอกว่ามันเกะกะขวางทางชาวบ้าน เราก็อยากให้คนที่จะนอนถ่ายรูปนั้นพิจารณาก่อน ดูว่าไปนอนขวางทางเขาหรือเปล่า ส่วนคนอื่นจะมองว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการมองของแต่ละคนว่าคิดยังไง เพราะคนที่ส่งรูปถ่ายเข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อยู่ในระดับอายุที่มากแล้ว โตพอที่จะรู้ว่าตรงไหนอันตรายหรือไม่อันตราย ดังนั้นก่อนทำจึงควรดูให้ดีก่อน”
       
        แล้วแพลงกิ้งไปเพื่ออะไร?
       
       การทำแพลงกิ้งในที่สาธารณะ อาจจะถือเป็นเรื่องธรรมดาของประชากรชาวเน็ต แต่ในสายตาของคนที่ไม่ได้อินไปกับมัน การแพลงกิ้งคงเป็นเรื่องที่น่างงงวยไม่น้อย ว่าจะทำไปเพื่ออะไร หรือทำไปให้มันได้อะไรขึ้นมา
       
       และกับบางคนก็สงสัยเสียจนอยากจะลองทำดูบ้าง
       
        สุทธาวดี เนติมานนท์ พนักงาน บริษัทแห่งหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเธอกล่าวถึงกระแสแพลงกิ้งว่า ส่วนตัวคิดว่าเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเป็นเพราะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้เกี่ยวกับกระแสนี้ก็รู้สึกแปลกๆ และสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากทำบ้างแล้ว เพราะเห็นกระแสคนอื่นทำกันเยอะขึ้น
       
       “ครั้งแรกที่ได้รู้เกี่ยวกับแพลงกิ้งของต่างประเทศที่ทำกันมาก่อน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลก คิดว่าเขาทำไปเพื่ออะไร แต่พอนานๆ เข้าเริ่มรู้สึกเฉยๆ แต่พอกระแสมันเริ่มเยอะขึ้น เราก็อยากทำบ้างนะ ซึ่งถ้าถามว่าความแปลกของแพลงกิ้งอยู่ที่ตรงไหน น่าจะเป็นการคิดเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาประกอบการถ่าย และสถานที่ถ่าย เพราะต้องคิดว่าจะไปทำท่านี้แล้วถ่ายที่ไหนดี”
       
       ส่วนคนที่ลองทำแพลงกิ้ง เท่าที่สอบถามมา มักจะเริ่มทำเพราะเห็นว่ามันคือ แฟชั่น โดยตอนที่ทำก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
       
       “ก็เห็นเขาทำก็เลยลองทำดู ตลกดี ไม่มีอะไรหรอก จะเรียกว่าตามกระแสก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นที่ว่าต้องทำแบบผาดโผนหรือไปทำกลางถนนแต่อย่างใด”
       
        นันทนัท เถรพันธุ์ พนักงานออฟฟิศสาว ซึ่งถือเป็นมือใหม่หัดแพลงกิ้ง เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของเธอ
       
       ”ทำไปแล้วก็สนุกดี เอารูปไปโพสต์ เจ้านายเรามาเห็นก็เอารูปเราไปโพสต์ต่อ จากนั้นก็มีคนมาคอมเมนท์ บางคนเขาไม่เคยเห็นก็เข้ามาถามกันว่ามันคืออะไร มีคนทำตามด้วยนะ แล้วเขาก็โพสต์และแทกเรามา บอกว่าไปทำตามมาแล้วนะ
       
       “ตอนก่อนทำ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้อยู่ดี (หัวเราะ) ที่ได้มาก็เป็นเรื่องของความสนุกและการพูดคุยกันบนสังคมออนไลน์เท่านั้น คือในกลุ่มเพื่อนยังไม่มีใครรู้ถึงกระแสนี้ แต่พอเรารู้ก็ทำเลย ประมาณว่าอินเทรนด์ก่อนเพื่อนๆ เรา”
       
        ชอบโชว์ ชอบแชร์ พฤติกรรมสามัญของคนในโลกสมัยใหม่
       
       แม้สุดท้ายแล้ว คนที่ประกอบการแพลงกิ้งเอง ก็ยังคงตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ข้อสังเกตหนึ่ง ที่มีต่อวัฒนธรรมการแพลงกิ้งก็คือ มันอาจจะเป็นเพียงความต้องการในการโชว์ให้คนอื่นๆ เห็นว่าฉันยังมีตัวตนอยู่เท่านั้น โดยที่ไม่มีความหมายใดๆ ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
       
        วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ นักเขียนผู้คร่ำหวอดในวงการโซเซียลเน็ตเวิร์ก กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางที่เอื้อต่อกิจกรรมประเภทการแชร์และโชว์ ซึ่งที่ผ่านมามันไม่ได้มีเพียง Planking เท่านั้น แต่มันยังเคยมีอีกหลายกิจกรรมที่ได้รับความนิยมแล้วก็สูญหายไป อาทิ Happy slapping (การถ่ายคลิปวิดีโอการตบหน้ากัน แล้วโพสต์ลงยูทูบ)
       
       “จริงๆ แล้วมันคือการแชร์และการโชว์ ในโลกยุคโซเซียลมีเดีย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต่างมีสื่ออยู่ในมือ ทุกคนก็สามารถเผยแพร่ภาพ หรือคลิป บทความ ความเห็น หรืออะไรก็ได้ในโซเซียลมีเดีย แพลงกิ้งเนี่ย เขาก็สามารถโชว์การแพลงก์ได้ ยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยน ยิ่งสื่อเปลี่ยน รูปแบบการใช้งานเปลี่ยน มันจะยิ่งทำให้คนเราต้องการแชร์ และต้องการโชว์ออฟมากขึ้นไปเรื่อยๆ
       
       “ผมเชื่อว่าเมื่อมาถึงยุคสมัยที่มีอินเทอร์เน็ต มีโทรศัพท์มือถือ มีกล้อง มันก็ยิ่งกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เป็นรูปแบบเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเหมือนกับเป็นการพยายามพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกใหม่ หรือคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะต้องชอบ เสร็จแล้วเราก็แชร์มันเท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นปรากฏการณ์ เหมือนแฟชั่นที่จะมีช่วงที่มันคูล พอผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะเน่าไป”
       
       แต่หากมีหน่วยงานออกโรงมาประกาศต่อต้าน มันก็จะกลายเป็นการปลุกกระแสให้คนหันสนใจยิ่งขึ้น วุฒิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า วัฒนธรรมของโลกไซเบอร์นั้นอำนวยต่อกิจกรรมประเภทการแชร์-การโชว์ ซึ่งไม่นานมันก็จะเลิกฮิตจะหายไปเอง
       
        “สมมติว่ามีกระทรวงวัฒนธรรมมาบอกว่ามันไม่ดี หรือมีกรมศาสนาออกมาด่าว่าห้ามทำมันก็จะยิ่งคูลมาขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าความคูลมันคือการต่อด้านกระแสไง ถ้ากระแสหลักมองว่า มันไม่ดี Pแพลงกิ้งก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าทุกคนก็จะอยากทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเอามาเผยแพร่อย่างนี้แล้ว มันสนุก”
       
       ..........
       
       สุดท้ายเรื่องราวของการแพลงกิ้ง ก็เป็นเพียงแค่แฟชั่นบนโลกไซเบอร์ ที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบาย หากแต่มันกลับได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็เป็นเพราะมันคือหนึ่งในช่องทางที่คนทั่วไปสามารถใช้ในการสำแดงตัว ตนและประกาศให้โลกรู้ว่าฉันยังอยู่เท่านั้นเอง
       
       และถึงแม้ว่าการแพลงกิ้งก็คงจะเหมือน กับแฟชั่นอื่นๆ ที่ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่กระนั้น ก็เชื่อได้เลยว่า ในอนาคตมันจะต้องมีกิจกรรมรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนแน่นนอน ตราบใดที่มนุษย์ยังคงต้องการการยอมรับ และต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคม.
       
       >>>>>>>>>>
บันทึกการเข้า