๒. อุทุมพริกสูตร
สูตรว่าด้วยเหตุการณ์ในปริพพาชการาม ซึ่งนางอุทุมพริกาสร้างถวาย
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ สันธานคฤหบดีออกจากกรุงราชคฤห์จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในเวลากลางวัน และแวะไปหานิโครธปริพพาชก ซึ่งกำลังอยู่กับบริษัทใหญ่ประมาณ ๓ พันคนกำลังกล่าวถ้อยคำ ที่เป็นเรื่องภายนอกของสมณะ ( ติรัจฉานกถา) ด้วยเสียงอันดัง. เมื่อเห็นสันธานคฤหบดีเข้ามา ก็สั่งกันและกันให้สงบเสียง เพราะคฤหบดีผู้นี้เป็นสาวกฝ่ายคฤหัสถ์ที่อยู่ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่งของพระสมณโคดม และเป็นพวกที่ไม่ชอบเสียงดัง พรรณาคุณของความเป็นผู้มีเสียงน้อย เมื่อรู้ว่าบริษัทมีเสียงน้อย ก็พึงเข้ามาหา. เมื่อสันธานคฤหบดีเข้าไปหาโครธปริพพาชก กล่าวสัมโมทนียกถาปราศัยกันเสร็จแล้ว ก็กล่าวว่า นักบวชลัทธิอื่น ( อัญญเดียรถีย์ปริพพาชก ) ที่ประชุมกัน ส่งเสียงอื้ออึงเป็นคนละอย่างกับพระผู้มีพระภาค ผู้เสพเสวนาสนะอันสงัด.
นิโครธปริพพาชกจึงตอบว่า พระสมณโคดมจะสนทนาโต้ตอบ แสดงความสามารถทางปัญญากับใครได้ ปัญญาของพระสมณโคดมถูกกำจัดเสียแล้วในเรือนว่าง จึงไม่กล้าก้าวลงสู่บริษัท ไม่ควรที่จะโต้ตอบได้แต่เสพเสนาสนะอันสงัด เหมือนโคตาบอดที่หนีไปอยู่ป่าลึก เสพเสนาสนะอันสงัด ( โดยใจความว่า การที่เสพเสนาสนะอันสงัด ก็เพราะไม่มีปัญญาจะโต้ตอบกับใคร จึงต้องเลี่ยงหนีประชุมชน เหมือนโคตาบอดที่กลัวถูกทำร้าย ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในที่เปลี่ยว ) ขอให้สมณโคดมมาสู่บริษัทเถิด เราจะสนทนาด้วยสักปัญหาหนึ่ง จะหมุนเสียให้เหมือนหม้อเปล่าทีเดียว. พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับถ้อยคำสนทนาของทั้งสองฝ่ายด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์ จึงเสด็จลงจากเขาคิชฌกูฏ เสด็จจงกรมในที่แจ้ง ริมฝั่งน้ำสุมาคธา. นิโครธปริพพาชกเห็นเช่นนั้นก็เตือนบริษัทให้สงบเสียงแล้วกล่าวว่า ถ้าพระสมณโคดมเสด็จมา ตนจะถามปัญหาเรื่องธรรมะที่ทรงแสดงแก่สาวกให้มีความปลอดโปร่งใจในการประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น.
๑. พระผู้มีพระภาคเสด็จมาหานิโครธปริพพาชก ได้รับการต้อนรับปราศัยเป็นอันดี ได้รับนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ ส่วนนิโครธปริพพาชกนั่งบนอาสนะที่ต่ำกว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไต่ถามว่า สนทนาอะไรค้างอยู่ ปริพพาชกจึงกราบทูลว่า พูดกันว่า ถ้าพระองค์เสด็จมา จะถามเรื่องธรรมที่แสดงแก่สาวก ให้มีความปลอดโปร่งใจในการประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น. ตรัสตอบว่า เป็นการยากที่ท่านผู้มีความเห็นอย่างอื่นมีความพอใจอย่างอื่น มีความประพฤติอย่างอื่น มีอาจารย์อย่างอื่น จะเข้าใจได้. ท่านจงถามปัญหาในลัทธิอาจารย์ของท่านเอง อันเกี่ยวด้วยการเกลียดชังความชั่วโดยการบำเพ็ญตบะดีกว่า. พวกปริพพาชกก็อื้ออึงขึ้น กล่าวกันว่า น่าอัศจรรย์ที่พระสมณโคดมเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอนุภาพมาก ไม่ตอบปัญหาในลัทธิของตนแต่กลับปวารณา ( ขอให้ถาม) ในลัทธิของผู้อื่น. ๒. นิโครธปริพพาชกสั่งให้ปริพพาชกเหล่านั้นสงบเสียงแล้วถามว่า พวกข้าพเจ้ามีวาทะเกลียดชังความชั่วโดยการบำเพ็ญตบะ ( ตโปชิคุจฉวาทะ ) ยึดความเกลียดชังความชั่วโดยใช้ตบะหรือความเพียรอยู่. ประพฤติอย่างไรจึงจะสมบูรณ์ อย่างไรจึงไม่สมบูรณ์. พระผู้มีพระภาคก็ตรัสตอบตามลัทธิของเขา เช่น เปลือยกายยืนถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และกินอาหารเลียมือที่เลอะอาหารแทนการล้าง เป็นต้น แล้วตรัสถามว่า ประพฤติอย่างนี้ ชื่อว่าบริบูรณ์หรือยัง ปริพพาชกกราบทูลว่า บริบรูณ์แล้ว . แต่กลับตรัสว่า จะทรงชี้ข้อเศร้าหมองในการปฏิบัติอย่างนี้ที่ ( ถือกันว่า ) บริบูรณ์แล้วให้ฟัง.
๓. ปริพพาชกถามว่า จะทรงชี้ข้อเศร้าหมองในการปฏิบัตินี้อย่างไร ตรัสตอบว่า
๑. การที่บำเพ็ญตบะแล้วอิ่มเอิบใจ เต็มความปรารถนาด้วยตบะนั้น
๒. ยกตน ข่มผู้อื่น เพราะตบะนั้น
๓. มัวเมา เพราะตบะนั้น
๔. ทำลาภสักการะและชื่อเสียงให้เกิด เพราะตบะนั้น แล้วอิ่มเอิบใจ เต็มความปรารถนาด้วยลาภสักการะและชื่อเสียนั้น
๕. ยกตน ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและชื่อเสียงนั้น
๖. มัวเมา เพราะลาภสักการะและชื่อเสียงนั้น
๗. แบ่งแยกในเรื่องอาหารว่า นี้ชอบใจ นี้ไม่ชอบใจ อันไหนไม่ชอบใจก็เพ่งเล็งละทิ้ง อันไหนชอบใจก็ติดใจ ไม่เห็นโทษ
๘. บำเพ็ญตบะเพราะใคร่จะได้ลาภชื่อเสียง เพื่อให้พระราชา, มหาอำมาตย์, กษัตริย์, พราหมณ์ , คฤหบดี, เดียรถีย์สักการะตน
๙. รุกรานสมณพราหมณ์บางพวกด้วยเรื่องการบริโภคพืชผลไม้
๑๐. ริษยาและตระหนี่ในสกุลเมื่อเห็นสมณพราหมณ์บางพวกมีผู้สักการะเคารพนับถือ
๑๑. นั่งแสดงตนในทาง ( ที่คนผ่านไปมา )
๑๒. พูดไม่ตรงความจริง ชอบว่าไม่ชอบ ไม่ชอบว่าชอบ
๑๓. เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรม ไม่ยอมรับปริยายที่ควรยอมรับ
๑๔ เป็นผู้มักโกรธ และผูกโกรธ
๑๕. เป็นคนมักลบหลู่บุญคุณท่านและตีเสมอ
๑๖. เป็นคนมักริษยาและตระหนี
๑๗ . เป็นคนโอ้อวดและมีมายา
๑๘. เป็นคนกระด้างและดูหมิ่นท่าน
๑๙. มีความปรารถนาลามก ตกอยู่ใต้อำนาจของความปรารถนาลามก
๒๐. มีความเห็นผิด ประกอบด้วยความเห็นยึดส่วนสุด
๒๑. ยึดแต่ความเห็นของตน ถือมั่น สลัดยาก. แต่ละอย่างนี้เป็นความเศร้าหมองของผู้บำเพ็ญตบะ.
ครั้นแล้วตรัสถามว่า การเกลียดชังความชั่วโดยบำเพ็ญตบะดังกล่าวมานี้ จะนับว่าเศร้าหมองหรือไม่. นิโครธปริพพาชกยอมรับว่าเป็นความเศร้าหมอง มีฐานะที่ผู้บำเพ็ญตบะบางคนอาจประกอบด้วยความเศร้าหมองครบทุกข้อ จึงไม่ต้องกล่าวถึง เพียงข้อใดข้อหนึ่ง ( ว่าจะมีใครไม่มีความเศร้าหมองนี้บ้างเลย).
๔. ต่อจากนั้นทรงแสดงการบำเพ็ญตบะที่บริสุทธิ์ คือตรงกันข้ามกับ ๒๑ ข้อข้างต้น. นิโครธปริพพาชกยอมรับว่าเป็นการเกลียดชังความชั่ว โดยบำเพ็ญตบะที่บริสทธิ์ ถึงความเป็นยอดและสาระแต่พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า ยังไม่ใช่ถึงความเป็นยอดหรือสาระ แต่ถึงความเป็นสะเก็ดเท่านั้น.
๕. นิโครธปริพพาชกขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงวิธีบำเพ็ญตยะ ที่ถึงความเป็นยอดหรือเป็นแก่น. จึงทรงแสดงความสังวร ๔ ประการ คือ
๑. ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ใช้ให้ฆ่า, ไม่ยินดีต่อผู้ฆ่า
๒. ไม่ลักทรัพย์, ไม่ใช้ให้ลัก, ไม่ยินดีต่อผู้ลัก
๓. ไม่พูดปด, ไม่ยินดีต่อผู้พูดปด
๔. ไม่เสพกามคุณ, ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเสพ, ไม่ยินดีต่อผู้เสพ และทรงแสดงการเสพเสนาสนะ ( ที่นอนที่นั่งหรือที่อยู่อาศัย ) อันสงัด นั่งทำสติกำจัดนิวรณ์ ๕ คือ
๑. อภิชฌา ( ความอยากได้ )
๒. พยาบาท ( ความปองร้าย)
๓. ถีนมิทธะ ( ความหดหู่ง่วงงุน)
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ( ความฟุ้งสร้านรำคาญใจ)
๕. วิกิจฉา ( ความลังเลสงสัย). เมื่อละนิวรณ์ ๕ ได้ เมื่อความเศร้าหมองแห่งจิตลดนอยลงเพราะปัญญาแล้ว ก็เจริญพรหมวิหาร ๔ แผ่ไปทั้วทุกทิศ สู่โลก ทั้งสิ้น. ครั้นตรัสแล้วตรัสถามว่า เท่านี้ การบำเพ็ญตบะจะชื่อว่าบริสุทธิ์หรือไม่. กราบทูลว่า บริสุทธิ์ ถึงความเป็นยอดเป็นสาระ แต่ตรัสตอบว่า ยังไม่ถึงความเป็นยอดความเป็นสาระ ถึงเพียงแค่เปลือกเท่านั้น.
๖. นิโครธปริพพาชกขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงวิธีบำเพ็ญตบะที่ถึงความเป็นยอดหรือเป็นแก่น . จึงตรัสแสดงข้อปฏิบัติต่อไป โดยเท้าความการปฏิบัติข้างต้น แล้วแสดงการได้ผล คือการระลึกชาติได้ ตั้งแต่ ๑ ชาติถึงแสนชาติและหลายกัปป์ แล้วตรัสว่า เป็นเพียงกะพี้. ๗. เมื่อทราบถูกขอร้องให้แสดงต่อไปอีก จึงตรัสถึงการได้ผล คือทิพยจักษุ แล้วทรงสรุปว่าการบำเพ็ญตบะอย่างนี้ ถึงความเป็นยอดเป็นแก่น . แล้วสรุปต่อไปว่า เป็นอันตอบปัญหาครั้งแรกที่นิโครธปริพพาชกทูลถามที่ว่า ทรงแนะนำสาวกด้วยธรรมอะไร ให้มีความปลอดโปร่งใจในการปฏิบัติพรหมจรรย์เบื้องต้น คือทรงและนำถึงฐานะอันยิ่งว่า ประณีตกว่าที่แสดงไว้อีก.
ปริพพาชกทั้งหลายก็แสดงความประหลาดใจที่ตนไม่เห็นไม่รู้ฐานะที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ( ยิ่งกว่าการได้พิพย์จักษุที่ว่ายอด แล้วยังมีอะไรยอดขึ้นไปอีก)
สันธานคฤหบดีจึงกราบทูลทบทวนถึงข้อที่นิโครธปริพพาชกกล่าวกระทบกระทั้งพระผู้มีพระภาคในตอนแรก ซึ่งทำให้นิโครธปริพพาชกนั่งนิ่งเก้อเขิน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า กล่าวไว้อย่างนั้นจริงหรือไม่ นิโครธปริพพาชกรับว่าจริง และกราบทูลขออภัย. จึงตรัสถามให้ตอบด้วยความจริงใจ ถึงถ้อยคำบอกพวกปริพพาชกเก่า ๆ ว่า เขากล่าวถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตว่าชอบส่งเสียงดัง พูดเรื่องไร้สาระหรือว่าชอบสงบอยู่เสนาสนะอันสงัด . นิโครธปริพพาชกก็ยอมรับว่าเคยได้ยินได้ฟังมาว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ทรงปฏิบัติเหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคในปัจจุบันนี้. จึงตรัสสรุปว่า วิญญูชนผู้สูงอายุนั้น ( หมายถึงปริพพาชกโบราณ ) มิได้คิดว่า “ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อความตรัสรู้, ทรงฝึกพระองค์แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อการฝึก ( ให้ผู้อื่นฝึกตนเอง ) , ทรงสงบระงับแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบระงับ , ทรงข้ามพ้นแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อการข้ามพ้น, ทรงดับเย็นแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อความดับเย็น ” .
นิโครธปริพพาชกจึงกราบทูลขออภัยซ้ำอีก. พระผู้มีพระภาคตรัสประทานอภัยแล้ว จึงทรงแสดงการปฏิบัติอย่างได้ผลในพระธรรมวินัยนี้ภายใน ๗ ปี ถึง ๗ วัน แล้วตรัสว่า มิได้ทรงประสงค์จะได้เขามาเป็นศิษย์, มิได้ประสงค์จะให้เขาเลิกเรียน ( แบบปริพพาชก ) จะให้เลิกจากชีวะ ( การดำเนินชีวิตแบบปริพพาชก ), มิได้ทรงประสงค์จะให้ตั้งอยู่ในอกุศลธรรม , ถ่ายถอนจากกุศลธรรม. หากทรงแสดงธรรมเพื่อให้ละอกุศลธรรม เมื่อปฏบัติอย่างไรจะละอกุศลธรรมได้ ธรรมอันผ่องแผ่วจะเจริญขึ้น ก็จงทำให้ปัญญาบริบูรณ์ ทำให้แจ้งความไพบูรณ์อยู่ในปัจจุบันเถิด. 
ขอบคุณภาพจากhttp://www.larnbuddhism.com
ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)