ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะมีปัญหาถามบอกว่าทำไมคนบางคน เกิดมาถึงระลึกชาติได้เล่า นี่มี ทำไมจะไม่มี ในประเทศไทย เราก็มีเยอะแยะ คนระลึกชาติ ในต่างประเทศทั่วโลกก็มีการระลึกชาติได้เยอะแยะ กระทั่งศาสตราจารย์ในอเมริกาเขาตั้งเป็นทุนให้มิสเตอร์ฟรานซิสตอรี่เข้ามา สืบสวน ทำประวัติต่างๆ ของบุคคลที่ระลึกชาติได้ทั่วโลก และท่านฟรานซิสตอรี่นี้ได้มา ถึงเมืองไทยเมื่อสองสามปีมานี้
มาทำชีวิประวัติของบุคคลที่ระลึกชาติได้ในเมืองไทย ทั้งพระทั้งคฤหัสถ์ ทั้งหญิงทั้งชาย หลายท่านด้วยกัน เอาไปในเมืองนอก เขาทำอย่างนั้น แล้วก็วิชาการสะกดจิตได้ทำให้การระลึกชาติได้ก็มีอยู่ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วย ไม่สบาย ไปหาจิตแพทย์รักษาจิตแพทย์ก็ต้องใช้การสะกดจิต เพื่อที่จะขุดขุ้ยเอาอารมณ์ค้างว่า ผู้หญิงคนนี้ที่มีความทุกข์ทนหม่นหมองในชีวิตที่แก้ไม่ตกจะต้องมีอารมณ์ ค้างอะไรในใจอย่างหนึ่ง
การที่จะตรวจหาอารมณ์ค้างซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ต้องใช้วิธีการสะกดจิตรักษา และก็ล้วงเอาอารมณ์ค้าง พูดง่ายๆ ล้วงเอาความลับในใจออกมา วิชาสะกดจิตนี่แม้แต่ในทางการเมืองเขายังใช้กัน ล้วงความลับศัตรูด้วยวิธีการสะกดจิต
ถูกสะกดแล้วมีอะไรเป็นความลับในใจ เปิดเผยออกมาหมดเลย อย่างนี้ ในประเทศอังกฤษ มีผู้หญิงคนหนึ่งไปให้หมดสะกด คือจิตแพทย์รักษาด้วยการสะกดจิต หมอคนนี้สะกดไปสะกดมา สะกดถอยหลัง อายุ 20 ปี ชีวิตได้มีประสบการณ์อะไรที่ประทับใจบ้าง ถอยหลังอายุ 15 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 10 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง อายุ 5 ปีมีอะไรประทับใจบ้าง เอ พอถึงอายุ 5 ปี ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบมาเลยว่ามีสิ่งประทับใจในชิต มีอะไรตอบเป็นจังหวะ ๆ ทีเดียว
หมอสะกดจิตก็ทดลองว่า ถ้าอย่างนั้นอายุ 1 ปี มีความประทับใจอะไรบ้าง ผู้หญิงคนนี้ก็ตอบได้ว่ายังเป็นเด็ก เด็กทารกอายุขวบเดียว มีสิ่งประทับใจอะไรเกิดแก่เขา หมอนั้นก็แปลกใจ เอ ลองสะกดต่อไปซิว่าอยู่ในครรภ์มีความประทับใจอะไรบ้าง หมดก็สะกดทีเดียว สะกดอย่างลึกซึ้ง ผู้หญิงคนนี้ตกภวังค์อย่งลึกซึ้งแล้วก็ถามความเป็นไปในตรงที่อยู่ในครรภ์ ว่า เมื่ออยู่ในครรภ์มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผู้หญิงคนนี้ก็สารภาพออกมาหมดว่าอยู่ในครรภ์แม่ มีความทุกขเวทนาอย่างไร ๆ เล่าอย่างที่ผมเล่าเมื่อสักครู่นี่แหละว่า เหมือนตกนรกนี่แหละ เล่ามาคราวนี้หมอก็อัศจรรย์ใจใหญ่ว่า เราสะกดกระทั่งล้วงเอาความรู้สึกเมื่ออยู่ในครรภ์แม่มาพูดได้ก็ถ้าอย่าง นั้นชาติก่อนก็ต้องพูดได้ซิ
ลองสะกดดูถึงชาติก่อนเลย เด็กผู้หญิงคนนี้ให้ถอยหลังระลึกซิ ระลึกว่าชาติก่อนจะมาเกิดเป็นผู้หญิงคนนี้เกิดอยู่ที่ไหน ทำอะไร มีอาชีพเป็นอะไร คราวนี้ระลึกชาติได้เลย สะกดในความเก่า ๆ ว่าชาติก่อนนี้เกิดในตำบลหนึ่ง ในภาคเหนือของอังกฤษ มีสามีเป็นกรรมกรในโรงงาน ขุดถ่านหิน แล้วสามีเป็นคนขี้เมาหยำเป ชอบทุบตีตัวเองเสมอ กระทั่งวันหนึ่งเกิดทะเลาะกับสามี ถูกสามีผลักหกล้ม กระดูกขาหักแล้วก็ตายไป จำที่ฝังศพของตัวได้ว่าอยู่ในโบสถ์นั้น ป่าช้าเท่านั้น เลขที่เท่านั้น ที่ฝังศพของตัว บอกหมด หมอหรือจิตแพทย์ผู้นี้ก็ทำรายงานทีเดียว ตามที่ผู้หญิงคนนี้บอก
ทำรายงานหมดแล้วก็คลาย สะกด พอคลายสะกด ผู้หญิงก็ฟื้น ไม่รู้หรอกสักครู่นี้ตัวเป็นอะไร พูดอะไรไปบ้างไม่รู้ หมอก็ปิดเป็นความลับ แล้วก็เสนอรายงานอันนี้ไปสู่ที่ประชุมของจิตแพทย์ให้สอบสวนว่า ข้อความหญิงที่ถูกสะกดจิตคนนี้จะมีข้อเท็จจริงประการใด
ปรากฏว่าไปสอบสวนที่ตำบลที่เกิดของหญิงคนนี้ ไปดูทะเบียนเกิด มีจริง ๆ เมื่อประมาณสัก 100 ปีมาแล้ว ทะเบียนใบเกิดยังอยู่ ผู้หญิงคนนี้เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ชื่อนางคนนี้ ชื่อนั้น สามีเป็นกรรมกรโรงงานทำถ่านหินแล้วก็ตายด้วยโรคนั้นๆ
แต่ว่าหาโบสถ์ที่ตั้งไม่อยู่ ปรากฏว่าโบสถ์นั้นถูกไฟไหม้แล้วก็เปลี่ยนใหม่ แล้วโบสถ์เก่าถูกไฟไหม้ไปและก็มีผู้มาเช่าทำที่ทางใหม่ ป่าช้านั้นก็ยังอยู่ สุสานนั้นก็ยังอยู่ นี่ข้อเท็จจริงอันนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ชาติก่อนมีจริง และการสะกดจิตนี้เป็นเหตุให้คนระลึกชาติได้ ถ้าหากว่าอยู่ในภาวะรับสะกดอย่างลึกซึ้ง อย่างนี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ชาติอนุสรณญาณ ชาติอนุสรณญาณนี้ไม่ใช่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อย่าปนกัน บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้ ต้องเกิดด้วยอำนาจฌาน ฌานสมาบัติ จัดอยู่ในอภิญญา ฌานสมาบัติแล้วก็อยู่ในอภิญญาวิถี ถึงจะเกิดได้ บุพเพสิวาสานุสติญาณนั้น แล้วผู้ที่ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่ระลึกได้หลายร้อยชาติ ถ้ายิ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วระลึกได้นับไม่ถ้วนชาติ พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกได้น้อยกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอรหันต์ชั้มหา สาวกระลึกได้น้อยลงมาอีก
กระทั่งถึงพระอรหันต์ชั้นไม่ใช่มหาสาวก ชั้นธรรมดา แต่เป็นเจโตวิมุติ พร้อมด้วยฉฬภิญญา ก็ระลึกได้น้อยกว่าชั้นมหาสาวก คราวนี้ถ้าเป็นฤษีนอกศาสนาที่ได้อภิญญาวิถีจิตมาแล้วก็ระลึกได้น้อยลงมาอีก ตามส่วน แต่ขนาดว่าน้อยแล้วก็ระลึกกันเป็นกัป ๆ ไม่ใช่ระลึกเพียง 10 – 20 ชาติ ระลึกกันได้เป็นกัปๆ 100 กัป เป็นแสน ๆ มหากัป คราวนี้ชาติอนุสรณญาณ ไม่ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่ได้เกิดในอภิญญาวิถี แต่ว่าเกิดกับปุถุชน ปุถุชนธรรมดาอาจจะมีชาติอนุสรณญาณได้ ระลึกได้อย่างมากไม่เกิน 2 ชาติ
แต่ส่วนใหญ่แล้วระลึกได้มากเพียงชาติเดียว คือชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วเท่านั้น ระลึกได้ อย่างผู้หญิงอังกฤษที่เล่านี่ ถูกระลึกด้วยอำนาจของการสะกด การสะกดนี่ถ้าจะว่าแล้วก็เป็นอิทธิวิธีอย่างหนึ่ง ท่านสงเคราะห์ว่า เป็นวิทยาธรอิทธิ อิทธิของพวกวิทยาธร เพราะว่าวิทยาธรคือผู้ทรงไว้ซึ่งวิทยาคุณ หมดสะกดจิตก็เป็นวิทยาธรประเภทหนึ่ง เป็นจิตตวิทยาธร เพราะฉะนั้นใช้อำนาจอิทธวิธีของเขา คือ อำนาจกระแสจิตของเขาสะกดหญิงคนนี้ให้ระลึกชาติได้
เพราะฉะนั้นชาติอนุสรณญาณเกิดได้จากเหตุปัจจัย 2 สถาน
สถานที่ 1 เกิดจากอำนาจสะกดของคนอื่นหรืออำนาจบันดาลของผู้ที่มีกระแสจิตสูงกว่า บันดาลให้เห็นไป อย่างองคุลีมาล องคุลีมาลตอนที่จะถูกพระพุทธเจ้าทรมานให้กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธเจ้าท่าน สะกดองคุลีมาลให้ระลึกชาติ องคุลีมาลถูกสะกด ชาติก่อนองคุลีมาลเกิดเป็นพญายมราช แล้วก็เบื่อหน่ายเหลือเกิน อธิษฐานใจบอกว่าอย่าเลย การทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาบาปโทษของสัตว์นรกน่าเบื่อหน่าย ทำมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีแล้ว ถ้ากระไรขอให้ชาติหน้าได้เกิดทันเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ได้เฝ้าพระองค์ ให้ได้สดับธรรมของพระองค์ แล้วให้ได้รู้เห็นธรรมของพระองค์ด้วยเถิด
พญายมราชอธิษฐานอย่างนี้ พอหมดบุญลงไป ก็มาเกิดเป็นองคุลีมาล มาเกิดเป็น อหิงสกกุมาร เพราะฉะนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานองคุลีมาลในป่านั้น พระพุทธเจ้าได้เข้าสมาบัติแล้วก็สะกดองคุลีมาลให้องคุลีมาลระลึกชาติเก่า ของตัวได้ว่า ชาติเก่าเราเกิดเป็นพญายมราช แล้วทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรกอย่างนั้น ๆ แล้วก็เบื่อหน่ายในหน้าที่ของตัว จนกระทั่งในที่สุดกลับมาเกิดเป็นตัวเรา ณ. บัดนี้ พอพระพุทธเจ้าคลายสะกด องคุลีมาลก็เลยเชื่อแล้ว บุญบาปมี เชื่อแล้ว นรกสวรรค์มีจริง แล้วเลิกเชื่ออเหตุกวาทะ อกิริยาวาทะ เกิดมีโลกียสัมมาทิฏฐิขึ้นในขณะนั้น พอพระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา องคุลีมาลก็ได้โลกุตตรสัมมาทิฏฐิ เป็นอรหันตบุคคลขึ้นในขณะนั้นเอง นี่เพราะฉะนั้นข้อแรกชาติอนุสรณญาณนั้นเกิดจากอำนาจสะกดของผู้มีฤทธิ์ทำให้ เราระลึกชาติได้ ช้อที่ 1
สถานที่ 2 ไม่ต้องอาศัยสะกด สถานที่ 2 เกิดจากตัวเราเอง ความประทับใจอย่างรุนแรงในเหตุการณ์ก่อนจะตายในชาติที่แล้ว เป็นเหตุให้เราระลึกได้ในชาตินี้ แต่ทั้งนี้ต้องหมายความว่า ตายจากคนก็เกิดเป็นคน สวนทันทีทันควัน ถ้าหากว่าตายจากคนแล้วไปตกนรกเสีย 100 ปี กลับมาเกิดเป็นคนใหม่จำไม่ได้ ตายจากคนขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ตั้งกัปหนึ่งแล้วลงมาเกิดเป็นคนอีกก็ระลึก ชาติไม่ได้ ตายจากคนไปเกิดเป็นหมาเสียชาติหนึ่ง พอตายจาหมามาเกิดเป็นคนอีก ก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะอะไร….

เพราะมีชาติอื่นภพอื่นมาคั่น ที่จะระลึกชาติได้จะต้องตายจากคนก็เกิดเป็นคนทันทีทันควันเลย อย่างนี้ระลึกได้ และการระลึกได้จะต้องมีความประทับใจในอารมณ์เก่าอย่างรุ่นแรงด้วย มีความประทับใจอย่างรุนแรงมหาศาล อย่างนี้ระลึกได้ ถ้าไม่มีความประทับใจรุนแรงมหาศาล ระลึกไม่ได้ ก็ต้องมีความประทับใจรุนแรงมหาศาล ถึงจะระลึกได้ ยกตัวอย่างที่ผมเคยเล่าไว้ว่า แม่ชีชื่อนารี จังหวัดอุดร เคยเล่ามาแล้ว
ชาติก่อนเกิดเป็นช้างที่เขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เป็นลูกช้าง พออายุได้ 3 ปี พลัดแม่ ถูกชาวจังหวัดขอนแก่นจับได้ จับได้ก็มาข้ามจังหวัด มาที่จังหวัดสกลนคร ขายให้พวกควาญช้างที่สกลนคร แล้วบ้านควาญช้างจังหวัดสกลนครนี่เอาลูกช้างตัวนี้มาเลี้ยงไว้ในบ้าน เอาให้เล่นกับลูก กระทั่งเชื่อง ลูกช้างตัวนี้เจ้าของใช้ไปทำงานบ้าง ช่วยตำข้าวในบ้านบ้าง เอาลูกช้างตำข้าว มีลานนวดข้าวแล้วก็ใช้ลูกช้างนี่ตำข้าว
เอางวงของมันไปจับครกตำข้าวทำงานไป ถึงเวลาเช้า เพล ก็เอาปิ่นโตใส่ให้มันเอาไปถวายพระในวัดใกล้ ๆ บ้าน ใกล้ ๆ หมู่บ้าน เวลาไป ลูกเจ้าของบ้านขี่คอมันไปด้วย เจ้าของบ้านตั้งชื่อให้ว่า อีตุ้ม เรียกลูกช้างตัวนี้ว่าอีตุ้ม เลี้ยงลูกช้างตัวนี้อยู่ประมาณสัก 2 ปี 5 ปีเข้าไปแล้ว วันหนึ่งเจ้าของเขาขายให้กับควาญช้างทางจังหวัดสุรินทร์เขามาขอซื้อ ขายให้ไปตอนขายเขาไปนี่ ความรู้สึกของลูกช้างตัวนี้เสียใจมาก เสียใจเหลือเกิน จะต้องพลัดพรากจากบ้านที่ตัวอยู่ด้วยความสบาย ไปไม่ถึงจังหวัดสุรินทร์ ก็ไปขาดใจตายในระหว่างทาง ด้วยความเสียใจอย่างรุนแรง พอตายไปความรู้สึกก็เกิดใหม่ว่าเป็นคน รู้สึกว่าเห็นภาพของตัวนี้เป็นร่างของช้างนอนอยู่ แต่ความรู้สึกของตัวนี้เป็นคนแล้ว ออกมาจากร่างช้างเป็นคนออกมาแล้ว คนนี้ก็ล่องลอยกระทั่งมาถึงจังหวัดอุดร มาถึงเวลาโพล้เพล้เข้าใต้เข้าไฟทีเดียว หิวน้ำเป็นกำลัง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตัดฟืนในป่า ก็ตามผู้หญิงคนนี้ ตามมาเรื่อย มาถึงผู้หญิงคนนี้ก็ตักน้ำล้างเท้าขึ้นบ้าน ตัวเห็นตักน้ำก็ดีใจจะเข้าไปกินน้ำ เลยถึงวิสัญญีในขณะนั้น ว่าหายไปในโอ่งน้ำนั่นเอง พอเกิดความรู้สึกอีกทีหนึ่ง ก็อยู่ในครรภ์ของแม่แล้ว ครรภ์ของผู้หญิงคนนั้นแหละ อยู่ในครรภ์เสียแล้ว มีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง กระทั่งครบ 10 เดือน คลอดออกมา คลอดออกมาใหม่ ๆ ยังจำความไม่ได้ ยังไม่รู้เรื่อง นอนเมาะอยู่
พออายุ 3 ขวบ ความรู้สึกระลึกชาติได้ เกิดชาติอนุสรณญาณขึ้น ระลึกความเก่าว่าชาติที่แล้วมาเราเกิดเป็นช้างชื่อ อีตุ้ม อยู่จังหวัดนั้นอย่างทีเดียว ด้วยอานิสงส์บุญญาธิการที่ได้ส่งปิ่นโตถวายพระทั้งเช้าทั้งเพล เจ้าของเขาใช้ให้ไปส่งปิ่นโตถวายพระอยู่ 2 ปีเศษ มาบันดาลให้เกิดในกามสุคติ มนุษยภูมิ มาเกิดเป็นคน ได้ระลึกความเก่า ก็บอกกับแม่ว่า บอกว่าแม่ ชาติก่อนนี้หนูเกิดเป็นช้างนะ บอกได้หมด ชื่อนั้น ๆ ทีเดียว อยู่บ้านนั้น ตำบลนั้นทีเดียว แม่ตกใจ บอกว่านี่ผีปอบเข้าแล้ว ผีป่ามันเข้าสิงแล้ว ถึงมาพูดรวนเรอย่างนี้ที่ไหน
แกให้หมอผีมาทำพิธียกขวัญกันใหญ่ทีเดียว ทำบายศรีเรียกขวัญสู่ขวัญ พิธีปัดรังควาน ปัดรังควานอย่างไรก็ไม่หาย เด็กก็ยังบอกว่าแม่ หนูเกิดเป็นช้างนะ จำความเก่า ว่าเขาฝังซากของตัวอยู่ที่ไหนจำได้หมด พอโตขึ้น เบื่อหน่ายเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงออกบวชชี เวลานี้ตายหรือยังก็ไม่รู้ แต่ตอนเล่าเรื่องนี้อายุแม่ชี 50 เศษแล้ว บวชชี และก็มาตรงป่าที่เขาฝังซากของตัวในชาติเก่านี่ แล้วก็ขุดหลุมดู ขุดหลุมบางหลุมที่ขณะเป็นช้างซ่อนอาหารไว้ กินกล้วยกินอะไรต่างๆ ยังเหลือก็ซ่อนกล้วยซ่อนอะไรฝังเอาไว้
แล้วขุดไปเจอแต่ใบตองแห้งๆ อยู่ใต้ดิน กล้วยหายไปหมดแล้ว คงละลายหายสูญไปกับแร่ธาตุต่างๆ เหลือแต่ใบตองแห้ง ๆ ซากอะไรต่างๆ หมด นี่เป็นเรื่องของแม่ชีนารีระลึกชาติได้อย่างหนึ่ง อย่างนี้เพราะความประทับใจ ความเสียใจมากที่ถูกเจ้าของบอกขายนี่รายหนึ่ง
อีกรายหนึ่ง เกิดสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อต้นปีนี่เอง ที่จังหวัดนครสวรรค์ ที่เล่าบอกว่าเด็กระลึกชาติได้ หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ไทยรัฐ ไปทำข่าวกันใหญ่โต เกือนทุกฉบับทำข่าวเด็กคนนี้ ชาติก่อนเด็กคนนี้เกิดเป็นหนุ่ม ไปเที่ยวในงานวัดแห่งหนึ่ง แล้วพอเดินผ่านป่า ถูกเพื่อนคู่อริแทงตาย ในขณะที่แทงตาย ยังไม่ทันนึกว่าจะตาย เพราะเขาแทงข้างหลังก็ตายไป ตามข้อความที่เด็กคนนี้เล่าบอกว่าพอตายไปแล้วก็เห็นซากของตัวนอนขาดใจ ตายอยู่ ตัวก็ล่องลอยออกจากร่างไป พอล่องลอยออกจากร่างไปนี่ ไปเจอแม่ของตัวในชาตินี้อยู่ในป่าอีกนั่นแหละ เกาะชายกระเบนแม่มาเข้าบ้าน
เกาะชายกระเบนแม่มา พอเข้าบ้านแล้วก็หมดวิสัญญีอีกเหมือนกัน พอรู้ความอีกที ก็กลายเป็นลูกผู้หญิงคนนี้แล้ว จำความเก่าได้ทีเดียวว่าชาติก่อนตายที่นั่น ชื่อนั้น ผู้กำกับตำรวจก็บอกว่ามีความจริง มีคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้น ในพ.ศ.นั้น ๆ จริง เท่ากับอายุของเด็กคนนี้ทีเดียวที่ปัจจุบันนี้อายุเท่าไร ทางโรงพักก็สอบสวน มีเรื่องราวออกมาเป็นหลักฐาน อันนี้ก็แสดงว่าเกิดจากความประทับใจอย่างรุนแรงคือตอนถูกเขาฆ่าโบราณท่านว่า ผีตายโหงเป็นผีดุ ที่ดุไม่ใช่อื่นไกล ผีตายโหงที่ไม่ทันรู้ตัวว่าจะตาย การเตรียมตัวว่าจะตายไม่มี พอชีวิตสังขารถูกพรากออกจากเรือนร่างอันนี้ ความเตรียมตัวจะตายก็ไม่มี ก็อาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจะพรากไป จึงมาเวียนวน มาปรากฏร่างให้เราเห็น เราก็บอกว่าผีมันหลอก ผีหลอกไม่ใช่อื่นไกล คือเจ้าของร่างเขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเขาจะตาย พอมารู้ตัวอีกที เข้าร่างเขาไม่ได้แล้ว เสียดาย ความอาลัยอาวรณ์ ความห่วงใยลูกเต้า สมบัติพัสถานยังมีอยู่ ไม่อยากจะจากไป ก็มาให้ลูกเต้าเห็นบ้าง ถ้าปรากฏว่าสถานที่ตายอยู่ตรงไหนก็มักจะไปปรากฏสิงสู่อยู่ตรงนั้นบ้าง ให้เราเห็นไป พอเราผ่านมา มาเจอ ก็บอกว่าผีหลอกแล้ว นี่เขาถึงว่าผีตายโหงดุเพราะอย่างนี้ อย่างผีตายทั้งกลมที่ดุ เพราะว่าคลอดลูกตาย คลอดลูกตายที่ดุไม่ใช่อื่นไกล คือความรักลูก ความห่วงลูก ความเจ็บปวดเพราะการคลอดลูกนี่ มันมีมากความรู้สึกอันนี้ก็รุนแรง ตายไปก็หาว่าผีตายทั้งกลมนี้มันดุ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ที่ตายเป็นผี ท่านทั้งหลายอย่านึกว่ายังไม่เกิดนะ คนส่วนมากยังนึกว่าตายแล้วเป็นผียังไม่เกิด ไม่มีหรอก ปุถุชนถึงพระอนาคามี ที่ไม่ผุดไม่เกิดไม่มี ผู้ที่ไม่ผุดไม่เกิดมีประเภทเดียวในโลกคือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นใครด่าเราบอกว่า ขอให้เจ้าอย่าผุดอย่าเกิดควรอนุโมทนา บอกสาธุ ให้สมพรปากเถิด ไม่ผุดไม่เกิดเป็นการดีหนอ ดีแล้ว เจริญพร ให้พรเราปีใหม่ ใครแช่งด่าว่าไม่ผุดไม่เกิดควรดีใจ ผู้ไม่ผุดไม่เกิดในโลก คือ พระอรหันต์ นอกนั้นผุดเกิดทั้งนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นที่ตายแล้วเป็นผีตายท้องกลมมาหลอกก็ดี ผีตายโหงมาหลอกก็ดี ไปเกิดเป็นผีแล้วตายจาผีมาเกิดเป็นคน ผีสงเคราะห์อยู่ในภูมิอะไร ผีสงเคราะห์อยู่ในภูมิเปรต ภูมิอสูร อสูรภูมิ เปรตภูมิ อยู่ในภูมินี้ เพราะฉะนั้นที่เห็นผีหลอก คือพวกเปรตมาหลอก ถ้าหากว่ามาดีก็เป็นเปรต ถ้าหาว่ามาร้ายมาแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน มาแหวะอกให้ดู ก็เป็น อสูร อสุรกายมาหลอกเรา เปรตกับอสุรกายนี่เป็นภพซ้อนภพอยู่ในโลกของเรา เราทุกวันนี้เดินถนน บางทีเราสวนกับเปรตโดยที่เรามองไม่เห็นเขา รู้ไหม สวนกับเปรต เขาเดินมา เราสวนกับเขา บางทีในห้องประชุมธรรมสภาเรา อาจจะมีพวก อสุรกาย พวกเปรตเข้ามานั่งฟังธรรมด้วย เราก็ไม่รู้ คือ ว่าภพเปรตกับภพมนุษย์มันซ้อนกันอยู่ โดยที่เขาก็ไม่เห็นเรา เราก็ไม่เห็นเขา เขาจะเห็นเราก็ต่อเมื่อเขามีอีทธิวิธีเขาตั้งใจจะเห็น จึงเห็น เหมือนกับมนุษย์เรา มนุษย์ที่มีอำนาจฌานสมาบัติ มีอำนาจสมาธิ ถ้าตั้งใจจะเห็นกายทิพย์พวกนี้แล้วจึงเห็น ถ้าไม่ตั้งใจเห็นแล้วจะไม่เห็น นี่เป็นภพซ้อนภพ
เพราะฉะนั้นการการที่เกิดชาติอนุสรณญาณ หากเราตายไปแล้วตกนรก ชาติอนุสรณญาณก็เกิดไม่ได้และเมื่อเราตายจากนรกแล้วเกิดมาเป็นคนใหม่ เราระลึกชาติไม่ได้ เราไปเกิดเป็นเทวดา ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา แล้วตายจากเทวดาไปเกิดเป็นคนใหม่ เราก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่านรกมันทุกข์จัดเทวดาสบายจัด ที่ไหนมีของจัด ๆ แล้วละก็ไม่เป็นของกลาง ๆ กึ่ง ๆ กลาง ๆ ละก็ พูดง่าย ๆ ว่าทุกข์ก็ทุกข์แรง สุขก็สุขอย่างมโหฬารทีเดียว อย่างนี้ระลึกไม่ได้หรอก
เพราะว่าภพใหม่ภูมิใหม่อันนี้มันเป็นของกล้ำกึ่ง โลกมนุษย์เราเอย เปรตโลกเอย อสุรโลกเอย 3 โลกนี้สุขทุกข์มันกล้ำกึ่งกัน ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวสุข นี่มันเปลี่ยนแปลง พูดง่ายๆ ถ้าจะเปรียบเป็นโรคก็เป็นโรคไข้จับสั่นสะบัดร้อนสะบัดหนาวอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นโรคอะไร เป็นโรคอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่ใช่ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว อย่างนี้แหละครับ
เพราะฉะนั้น คนที่ตายแล้วไปเป็นผีแล้วกลับมาเกิดอีกเป็นคนใหม่ พวกนี้ระลึกชาติได้ แต่ทว่าจะต้องมีความประทับใจในอารมณ์เก่ารุนแรง ถ้าไม่มีความประทับใจอย่างรุนแรงแล้วก็ระลึกไม่ได้ เหตุนั้นการระลึกแบบนี้ท่านจึงกล่าวไว้ในพระศาสนาว่า เป็นชาติอนุสรณญาณ เป็นอย่างนี้ เป็น ชาติอนุสรณญาณ มิใช่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกได้อย่างมากไม่เกิน 2 ชาติ ส่วนมากก็ชาติเดียว ส่วนมากระลึกได้ชาติเดียว ส่วนที่ระลึกไม่ได้มีเป็นอันมาก ก็อย่านึกว่าเราระลึกไม่ได้ ชาติก่อนเคยตกนรกมากระมัง ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละครับ
อาจจะเคยตกนรกมา ใครจะรู้ อาจจะเคยขึ้นสวรรค์มา ใครจะรู้ อาจจะเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้ว ถึงมาเกิดเป็นคน ใครจะรู้ แต่ทว่าที่ระลึกไม่ได้ เหตุสำคัญอันหนึ่งก็คือ เรื่องของอารมณ์ค้าง อารมณ์ต่างๆ ที่หมักหมมฝังอยู่ในพื้นเพของชาติสันดาน หรือ จิตสันดานของเรานี่แหละ มันขุ่นเพาะกิเลส เรามองไม่เห็นอารมณ์ที่สั่งสมก็มีมาก
จนกระทั่งจับต้นชนปลายไม่ถูก มิหนำซ้ำยังมารับเอาร่างกายใหม่ มันสมองใหม่จากพ่อแม่ในชาติปัจจุบัน อันเป็นอุปสรรคเป็นกำแพงกีดขวางทำให้ทางเดินของพฤติภาพของใจนี่ไม่สามารถจะ แล่นไปเพื่อที่จะทำการระลึกให้มันโจ่งแจ้งได้ เราถึงระลึกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าชาติหน้าชาตินี้ไม่มี อันนี้ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชาติภพข้อหนึ่งที่นำมาเสนอในที่นี้
อีกข้อหนึ่งก็คือปัญหาเรื่องจิตประภัสสรหรือ จิตบริสุทธิ์ที่อยากจะนำมาพูดในที่นี้ตามทรรศนะของผม เรื่องจิตบริสุทธิ์ที่มีพุทธภาษิตในอังคุตตรนิกายว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติ ประภัสสร ที่ขุ่นหมองเพราะอาคันตุกกิเลสที่จรมา อาคันตุกกิเลสในที่นี้ผมวินิจฉัยว่าได้แก่ อุปกิเลส อุปกิเลส 16 ข้อนี่แหละ ไม่ใช่อื่นไกล อุปกิเลส 16 ข้อนี้ในอุปกิเลสดูเหมือนจะไม่มีอวิชชา ถ้าหากว่าผมจำไม่ผิดครับ ดูเหมือนจะไม่มีอวิชชา
เพราะฉะนั้นคำว่า จิตประภัสสรนี้ไม่มีอวิชชาไม่ได้บอกไว้หรอก ไม่มี แค่อิปกิเลสเท่านั้นเอง แล้วประภัสสรนี้ถ้าว่าตามนัยอรรถกถาแล้ว อรรถกถาของเราแก้บอกว่าได้แก่ ภวังค์ ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเห็นด้วยเลยว่าเป็นภวังค์ ไม่อยากเห็นด้วยเลย ทำไมถึงไม่อยากเห็นด้วยว่าเป็นภวังค์ เพราะว่า หากว่าเป็นภวังค์แล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะมาตรัสทำไม
มีอะไรเป็นข้อวิเศษ หรือที่มาทรงแจกแจงว่าภวังคจิตประภัสสร แล้วที่ขุ่นหมองเพราะมีอาคันตุกกิเลสมาหุ้มห่อ มาพูดทำไม มาตรัสทำไม ไม่น่าอัศจรรย์ ภวังค์มีกันทุกคน คนเราวินาทีหนึ่งลงภวังค์กี่โกฏิครั้งก็ไม่รู้ในชาติ ๆ หนึ่ง ตกภวังค์ไม่รู้นับไม่ถ้วน กี่พันล้านมหากัปโกฏิครั้ง นับไม่ถ้วน นับสังขยา นอกจากว่าอุปไมย นับไม่ได้ อสงไขย จะคำนวณก็ไม่ได้ นี่ภวังค์ของคนเรา
เพราะว่าเราลงภวังค์แล้ว ทุก ๆ ขณะวิถีจิตที่จิตรับอารมณ์ภายนอก จิตต้องขึ้นวิถีรับอารมณ์ พอรับอารมณ์เสร็จ อารมณ์หนึ่งก็ลงภวังค์ร้อยไป ถ้าเช่นนั้นแล้วมีอะไรเป็นคุณวิเศษถึงกับพระบรมศาสดาจะต้องหยิบยกขึ้นมาว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตนี้ผ่องใส ที่มันไม่ผ่องใสก็เพราะว่ากิเลสที่ทำหน้าที่เป็นแขก เราไม่ได้เชื้อเชิญเขา เขาเข้ามากรุ้มกริ่มทำให้ยุ่งยากอลเวงขึ้นเอ
ไม่น่าจะเป็นภวังค์ตามอรรถกถาแก้เลย อรรถกถาแก้เป็นภวังค์ ผมยังไม่เห็นด้วย คือยังไม่เห็นนัยที่ควรจะแก้ว่าเป็นภวังคจิต เพราะภวังค์มีกันดาษดื่นธรรมดาสามัญทุก ๆ คนอยู่แล้ว ไม่น่าจะเป็นข้ออัศจรย์ที่เป็นเหตุให้พระบรมศาสดายกขึ้นมาเป็นข้ออุเทศแสดง แก่ภิกษุทั้งหลายเป็นพิเศษ ถ้าเช่นนั้นแล้วจิตประภัสสรได้แก่จิตอะไรเล่า ?
ผมก็อยากวินิจฉัยว่าถ้าเราดูตามนัยในมัชฌิมนิกาย ท่านแสดงไว้ที่ใน วัตถูปมสูตร ท่านแสดงไว้ดีทีเดียว ท่านไม่ได้ว่าจิตประภัสสรหรอก ท่านว่าถึงจิตเป็น สังกิลิฏฐะ กับ อสังกิลิฏฐะ สังกิลิฏฐะ คือ จิตที่ประกอบด้วยสังกิเลสเศร้าหมอง สังกิลิฏฐะแปลว่าความเศร้าหมอง จิตที่เศร้าหมองที่ว่าสังกิลิฏฐธรรม อสังกิลิฏฐะ คือจิตที่ไม่เศร้าหมองชื่อว่าอสังกิลิฏฐธรรม เพราะฉะนั้นจิตประภัสสรในที่นี้หมายถึง จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะ จิตที่เป็นอสังกิลิฐะไม่ใช่จิตบริสุทธิ์
ท่านไม่ใช้คำว่า “ สุทธิ “ ไม่มี ไม่ใช้คำว่าสุทธิ แต่ยกตัวอย่างที่ท่านยกพุทธภาษิตว่า จิตเต อะสังกิลิฆเฐ สุคติ ปาฏิกังขา จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา จิตประภัสสร คือ จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะอันเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ นี่แหละที่พระองค์ยกขึ้นแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่เป็นประภัสสรนี้คือ ได้แก่จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะ จิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะนี้จะอำนวยอานิสงส์คือ ไปสู่สุคติภพ สุคติปาฏิกังขาหมดความสงสัย ต้องได้สุคติแน่ เพราะความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะจิตหมดจด จิตผ่องแผ้ว จิตจึงไปสู่คติแน่
เพราะความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะจิตหมดจด จิตผ่องแผ้ว จิตจึงไปสู่สุคติ ผ่องแผ้วในที่นี้เอาแคผ่องแผ้วจากอาคันตุกกิเลส ไม่ได้ผ่องแผ้วจากอวิชชา อวิชชา ตัณหายังมีอยู่พร้อม เพียงแต่ว่าไม่มีกิเลสชนิดที่เป็นอุปกิเลส พูดง่ายๆ ว่า อุปกิเลสไม่มีในจิตที่เป็นมหากุศลจิต ถ้าจะว่าแล้วจิตที่เป็นอสังกิลิฏฐะก็คือ จิตที่เป็นมหากุศลจิต 8 รูปาวจรกุศลจิต 5 และอรูปาวจรกุศลจิต 4 จิตทั้ง 3 กองนี้ สงเคราะห์เป็นจิตประภัสสรได้ตามชั้นภูมิ
เพราะเหตุนั้นจิตประภัสสรจึงไม่น่าจะเป็นเพียงภวังค์ ซึ่งเป็นของดาษ ๆ ธรรมดา น่าจะเป็นตามนัยแห่งวัตถูปมสูตร มากกว่า ที่ท่านแสดงไว้ในมัชฌิมนิกายว่าธรรมดาจิตนั้น ถ้าหากว่าชำระขัดเกลาอุปกิเลสแล้ว จิตก็จะสะอาดเหมือนกับน้ำใส มองเห็นเต่า ปู ปลา ในพื้นแม่น้ำชัดเจน เพราะฉะนั้นอาคันตุกกิเลสนี้จึงเป็นกิเลสก่อน ไม่ใช่กิเลสอันเป็นสันดานเดิม ไม่ใช่เป็นอาสวกิเลส กิเลสมีถึง 3 ขั้น คือ ปริยุฏฐานกิเลส วีติกมกิเลส และอาสวกิเลส ( อนุสัยกิเลส ) วีติกมกิเลสนั้นเป็นกิเลสอย่างหยาบ ที่ทำเข้าแล้วมันปะทุออกทางกายกรรม วจีกรรม เป็นเหตุให้ล่วงศีลเป็นเหตุให้ศีลวิบัติ ปริยุฏฐานกิเลสได้แก่อุปกิเลส 16 หรือพูดอย่างย่อ ๆ ได้แก่นิวรณ์ 5 อันประกอบด้วยกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นิวรณ์ 5 เป็นปริยฏฐานกิเลสที่มากลุ้มรุมทำใจให้เศร้าหมอง
ถ้าหากว่าเป็นไปล่วงแล้วก็ทำให้ใจเป็นสังกิลิฏฐ ย่อมเป็นทุคติปาฏิกังขา ไปสู่ทุคติเป็นอันหวังได้ ส่วนที่เป็น อาสวกิเลส หรืออนุสัยกิเลส อันเป็นกิเลสนอนเนื่องนั้น เมื่อพ้นไปแล้วจิตจึงชื่อว่าเป็นจิตวิสุทธิ เพราะฉะนั้นท่านจึงใช้คำว่า จิตประภัสสร ไม่ใช้คำว่า “ วิสุทธิ “ คำว่าประภัสสรจึงหมายความเพียงว่าจิตอสังกิลิฏฐธรรมเท่านั้นเอง จิตถึงภูมิอสังกิลิฏฐะ ไม่เศร้าหมอง จิตถึงภูมิแค่ไม่เศร้าหมอง ซึ่งจะอำนวยผลแค่เพียงสุคติปาฏิกังขา อันสุคติก็มีทั้ง กามสุคติ รูปาวจรสุคติ อรูปาวจรสุคติ ยังอยู่ในภพภูมิ ยังอยู่ในวัฏฏะ ยังไม่พ้นวัฏฏะไปได้ ต่อเมื่อสามารถทำลายอาสวกิเลส อนุสัยกิเลสแล้ว
วัฏฏะจึงพ้นได้ วันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา เรื่องข้อเบ็ดเตล็ดบางประการในพระศาสนานำมาเสนอในที่นี้ก็เพียง 2 ข้อ ยังมีอีกหลายข้อ ไว้เสนอในโอกาสต่อไป ขอจบธรรมกถาวันนี้เพียงเท่านี้
ที่นี้มีท่านผู้ถามปัญหาท่านหนึ่งเขียนหนังสือมา ถามอย่างนี้ครับว่า มีเด็กคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนเขาอยู่สบาย มีดอกบัว มีสระและดอกไม้ และเดี๋ยวนี้เด็กคนนั้นมีนิสัยชอบดอกไม้ ชอบนอนในที่มีแสงสว่าง และที่แปลกมากก็คือ ไม่ยอมแก้ผ้าอาบน้ำ ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย อยากทราบว่าเด็กคนนี้จะมาจากภพไหน ? และที่ระลึกได้อย่างนี้เพราะเหตุไร !
ตอบยากครับ ถามมาจากภพไหน ผมเองก็ไม่มีบุพเพสิวาสานุสติญาณที่จะระลึกชาติและระลึกของคนอื่นให้ได้ และทั้งไม่มีชาติอนุสรณญาณ เพราะฉะนั้น ตอบปัญหาข้อนี้ก็ต้องอาศัยเรื่องของการเดาโดยใช้เหตุผลเข้าจับ คือใช้เรื่อง ตรรกมาประมาณ จับตามลักษณะ เข้าใจว่าเด็กคนนี้ชาติก่อนอาจจะเกิดเป็นผู้หญิง เราสังเกตดูจริตมารยาทว่าเด็กคนนี้มีนิสัยค่อนไปทางสตรีหรือ เปล่า อาจจะเป็นสตรีเพศมาก่อน แล้วอาจจะเกิดในกามสุคติภูมิ คือเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน เพราะว่ามีดอกบัวมีสระมีดอกไม้นี่ประการหนึ่ง
ถ้าไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้ อาจจะเป็นเด็กผู้หญิง ถ้าไม่ใช่เกิดเป็นผู้หญิงก็จะต้องเกิดเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมขัดเกลาอยู่ใน สกุลชั้นสูงมาแล้ว ถึงมีความอาย แม้แต่เพียงเด็กก็ไม่ยอมแก้ผ้าอาบน้ำ และก็ที่บอกว่าชอบนอนในที่สว่าง ๆ มาก ๆ เด็กคนนี้อาจจะเกิดในที่ทำงานกลางแจ้งมากๆ ในชาติก่อน ชอบทำงานกลางแจ้งมาก ๆ ในชาตินี้ก็เลยชอบความสว่างมาก ๆ ไปด้วย นี่อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะผิดก็ได้ เพราะผู้ตอบเองก็ไม่มีญาณอะไร เรามีข้อสังเกตง่าย ๆ ครับ คนที่มาจากพรหมโลก คนที่ไปเกิดเป็นพรหมแล้วลงมาในมนุษย์โลกนี้ สังเกตได้ว่าเป็นคนมีราคะเบาบาง พอเกิดมาแล้ว ถ้าเกิดเป็นผู้ชาย เบื่อหน่าย รังเกียจสตรีเพศผู้หญิงเข้าใกล้ไม่ได้ คนที่ถือพรหมจรรย์นาน ๆ นั้นมีใจโน้มเอียงไปในทางเนกขัมมะ ปฏิปทาอยากจะออกบวชตั้งแต่เด็ก ก็สันนิษฐานได้ 2 สถาน
ถ้าชาติก่อนจะต้องเกิดเป็นพระ คือบวชเรียนมาแล้ว และตายในผ้าเหลือง มีความรักในพรหมจรรย์รุนแรง ชาตินี้ก็เอานิสัยอันนี้ตามมา พอชาติใหม่มาเกิดแล้วสตรีเข้าใกล้ความรู้สึกอบรมในชาติก่อนมา คือ กลัวผู้หญิง เกิดความกลัวผู้หญิง และก็มีราคะเบาบาง
ถ้าเกิดเป็นพรหม จุติมาจากพรหมโลก ลงมาจากพรหม ลงมาเกิดความโกรธก็เบาบาง โทสะมีน้อยเหลือเกิน ผู้ที่มาจากพรหมโลกนี้น้ำใจเยือกเย็นเป็นหิมะทีเดียว ใจเย็น พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แล้วก็หนักในพรหมจรรย์ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ใคร่อยากจะบวช อยากเรียน ใครจะมาชวนให้ค้าขาย จะมาชวนให้ร่ำรวยไม่เอา อยากจะบวชเรียนท่าเดียว อย่างนี้พอพิสูจน์ได้ว่าท่านผู้นี้เคยบวชเรียนมาในชาติก่อน ตายในผ้าเหลืองมาแล้ว ความรักในพรหมจรรย์มี ไม่ใช่คนบวชกระทั่งตายคาผ้าเหลือง แต่บวชด้วยความพอใจในพรหมจรรย์