นิพพานเป็นภาวะธรรมชาติชนิดหนึ่งที่แสดงตัวอยู่ตลอด เวลา นิพพานนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเราแล้ว เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นเอง เหมือนกับว่าอากาศมีอยู่รอบตัวเราแต่เรามองไม่เห็น แต่นิพพานเป็นยิ่งกว่าอากาศ เพราะนิพพานมีอยู่ทุกที่ทุกสภาวะ
สภาวะ ของนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าทรงนิยามด้วยคำว่า “ไม่” ซึ่งมีถึง ๓๐ “ไม่” ในพระไตรปิฎก ไม่นับอีก ๑๐ “ไม่”ในคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่แก่ ไม่มีที่สุด ไม่มีใครสร้าง ไม่เคลื่อน ไม่ผุพัง ไม่เคยมีไม่เคยเป็น ไม่เศร้าหมอง ฯลฯ กล่าวคือเป็นภาวะที่ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ คนเรามักมองอะไรเป็นคู่ๆ(dualistic) เช่น สุข-ทุกข์ พบ-พราก ไป-มา ขาว-ดำ สั้น-ยาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ดำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือขาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ต่ำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือสูง ท่านจึงนิยามนิพพานด้วยคำว่าไม่ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ฯลฯ จริงๆ แล้วภาวะดังกล่าวเป็นการพูดในเชิงสมมติสัจจะทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น สั้นกับยาว ทุกอย่างเป็นทั้งสั้นทั้งยาวในตัวเอง ดินสอยาวเมื่อเทียบกับเข็ม แต่สั้นเมื่อเทียบกับไม้เมตร เป็นต้น นี่คือสิ่งที่เป็นสมมติ สุข-ทุกข์ก็เป็นสมมติเช่นกัน แต่นิพพานเป็นภาวะพ้นจากสมมติทั้งปวง คือเป็นปรมัตถ์
ในที่สุดท่านก็เลยอธิบายง่ายๆ ว่า นิพพานคือความสงบเย็น สงบเย็นเพราะเห็นแจ้งในความจริงว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดถือได้เลย จึงปล่อยวาง ไม่มีความอยากหรือการปรุงแต่งอีกต่อไป ความจริงข้อนี้ทำให้เราหลุดจากความหลง หลุดจากกิเลสและเข้าถึงความสงบเย็นที่แท้จริง
แต่เดิมคำว่า “นิพพาน” ในภาษาบาลีก็แปลว่า เย็น ท่านพุทธทาสอธิบายว่า เหล็กที่ร้อนแล้วเย็นลงก็เรียกว่าเหล็กนิพพาน ม้าที่พยศแล้วเชื่องลงก็เรียกว่าม้านิพพาน นิพพานเป็นภาษาที่ใช้กันในสมัยโบราณอยู่แล้ว ต่อมาพระพุทธเจ้านำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาวะที่สงบเย็นในจิตใจ