ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ้ทำอย่างไร จะทำให้เราเชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ แบบภพภูมิ อย่างจริงใจคะ  (อ่าน 3938 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
้ทำอย่างไร จะทำให้เราเชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ แบบภพภูมิ อย่างจริงใจคะ คือยังมีความรุ้สึกว่า บางเรื่องก็น่าเชื่อ บางเรื่อง ก็ดูไม่น่าเชื่อ ถ้ากล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ทำไมเรื่องภพภูมิ เทวดา นรก เหล่านี้ทำไมถึงพิสูจน์ไม่ได้ เลยมีความรู้สึกว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อ ครึ่ง ซึ่งหลายท่านก็มักบอกว่า เป็นเหตุผลว่า ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเพราะติดการใช้ปัญญามากไป พิสูจน์มากไป

   ก็ยังแปลกใจ ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ท้าให้คุณมาพิสูจน์ไม่ใช่หรือคะ ดังนั้นก็เลยไม่เข้าใจว่า ทำอย่างไรจะทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ไม่เคยเห็นนี้ได้อย่างไร หรือมีวิธีปฏิบัติต่อความเชื่อเหล่านี้อย่างไร คะ

  :c017: :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

• ไม่เชื่อนรกสวรรค์มีโทษร้ายแรงแค่ไหน? •

ถาม : มักมีผู้กล่าวว่าถ้าไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ก็ถือว่ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้หลงผิด เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ไปสู่อบาย อันนี้จริงเท็จอย่างไร บอกตรงๆ ว่าอยากเชื่อ แต่ไม่เคยปลงใจได้สนิท ในเมื่อไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นจะให้หลอกตัวเองว่ารู้แจ้งเห็นจริงอย่างไรไหว?

ตอบ : เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์นั้น ชาวพุทธเรามีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามี จริงชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อแบบค้านหัวชนฝา ส่วนพวกที่อยู่ตรงกลางๆ นั้นผม
ไม่ค่อยอยากนับ เพราะเมื่อสืบกันลึกๆ แล้วพวกที่บอกว่าเผื่อใจไว้ทั้งสองแบบ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่แท้ก็แอบคิดเงียบๆ ไปในสุดโต่งข้างหนึ่งอยู่ดี ไม่เห็นจะเป็นกลางจริงสักคน


    และการจะบอกว่าใครเอียงไปทางเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ต้องดูด้วยว่าเป็นจังหวะไหนของชีวิตเขา บางคนสมัยวัยรุ่นท้าตีท้าต่อยกับเทวดามั่วไปหมดเพราะนึกว่าไม่มี เห็นเป็นเรื่องสนุกกับการท้าทายสิ่งที่ตนสรุปว่างมงาย แต่พอโตขึ้นอีกหน่อย ผ่านความประจักษ์แจ้งว่าสิ่งที่ตนไปท้าทายเอาไว้นั้นน่าจะมีจริง และสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาด้วยประสบการณ์แสบๆ คันๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีศีรษะน้อมลงไหว้ได้ทั่วทั้งสิบทิศไป บางรายกลายเป็นคนทรงเจ้าไปเลยก็มี

    ชาวพุทธกลุ่มที่ ‘เชื่อว่ามี’ นั้น มักแสดงความเป็นห่วงเป็นใยคนไม่เชื่อไปต่างๆ นานา เข้าขั้นพยายามบีบบังคับแบบหักดิบทำนองว่า ‘เธอต้องเชื่อ เพราะแค่ไม่เชื่อก็ต้องไปนรกแล้ว’ นี่เป็นคำที่ศาสนิกชนทั้งหลายมักใช้ทิ่มแทงกัน ไปๆ มาๆ ความหวังดีก็กลายเป็นการสาปแช่งคนอื่นโดยไม่ทันรู้สึกตัว คือออกอาการทำนองว่าไม่เชื่อคนรู้ดีอย่างเรา เดี๋ยวสวย เดี๋ยวเจอนรกสถานเดียว เป็นต้น

    การเชื่อแบบไม่รู้เห็นกับตัวว่านรกสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร แถมไม่รู้จักเหตุแห่งการไปสู่นรกหรือสวรรค์อย่างแท้จริงนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้พ้นจากความน่ากลัวนะครับ เช่น เที่ยวไปสาปแช่งคนที่เขาไม่เชื่ออย่างเราเป็นประจำ ก็ได้ชื่อว่ายังนิยมในการเบียดเบียนด้วยวาจา ยังชอบทิ่มแทงให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บใจ ยังติดนิสัยข่มขู่ให้ใครต่อใครหวาดกลัว อย่างนี้ย่อมเป็นผู้เหมาะที่จะได้รับผลสะท้อนกลับเป็นภพที่อาศัยอันเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เต็มไปด้วยการทิ่มแทงให้เจ็บปวด เต็มไปด้วยความน่าพรั่นพรึงอยู่

   คนเราชอบมีอำนาจ ชอบรู้สึกว่าตัวเองมีอิทธิพลเหนือคนอื่น แล้วก็มักจะนึกว่าความรู้หรือความปักใจเชื่อของตนคืออำนาจ สามารถเอาไปใช้บีบให้ผู้อื่นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางความเชื่อของตน นี่จึงมักเกิดโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ
    เช่น พร่ำพูดเรื่องนรกสวรรค์ด้วยวิธีขู่เข็ญบังคับหรือสาปแช่ง เมื่อซักไซ้รายละเอียดเข้าก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง เป็นแต่เพียงฟังคนอื่นมา


    ดังนั้นแทนที่ผู้ฟังจะเกิดความคล้อยตามก็กลายเป็นรู้สึกต่อต้าน พานจะทำให้เห็นนรกสวรรค์เป็นแค่เรื่องของคนงมงายไป  หากปรารถนาดีกับผู้อื่นอย่างแท้จริง ต้องเข้าใจให้ได้ว่าการบีบบังคับให้เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงนั้น อาจทำลายศรัทธาเสียก่อนที่ศรัทธาจะเกิดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับยุคที่เต็มไปด้วยความน่าคลางแคลงนี้

   เคยมีคนทูลถามพระพุทธเจ้าทำนองว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ด้วยวิธีใดดี
   พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบโดยใจความสรุป คือ
       เมื่อเราเป็นผู้สั่งสมบุญ ย่อมเกิดสุขทางใจในปัจจุบัน และอุ่นใจว่าถ้าชาติหน้ามี
       เราย่อมเป็นผู้ได้เสวยสุขในสรวงสวรรค์ แต่หากเราเป็นผู้สั่งสมบาป ก็ย่อมเกิดทุกข์ทางใจในปัจจุบัน
       และต้องหวาดหวั่นว่าถ้าชาติมี เราอาจไม่แคล้วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ


   นอกจากนั้นท่านยังตรัสไว้ว่า การสร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง มีความสลักสำคัญเหนือการคาดหวัง เหนือการพร่ำวอน เหนือการปักใจเชื่อตามๆ กันมา กล่าวคือ
    เมื่อทำเหตุอันควรจะไปสู่สวรรค์
    แม้ไม่ปรารถนาหรือพร่ำภาวนาว่า เราจงไปสวรรค์ทุกค่ำเช้า เขาก็จะไปสู่สวรรค์อยู่ดี
    ตรงข้ามเมื่อทำเหตุอันควรจะไปสู่นรก
    แม้ปรารถนาหรือพร่ำภาวนาว่า เราจงพ้นนรกทุกค่ำเช้า เขาก็ย่อมต้องไปสู่นรกอยู่ดี


   แม้จะเป็นผู้มีความเห็นถูกอยู่ส่วนหนึ่ง คือ เชื่อว่านรกสวรรค์มี แต่ยังมีความเห็นผิดว่าตนเบียดเบียนคนอื่นไม่เป็นไร การผูกเวรกับใครๆ ไม่ต้องรับโทษ อย่างนี้เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ และตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนว่าคติข้างหน้าจะร้ายหรือดีเช่นเดียวกัน หรืออาจจะยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อนรกสวรรค์เสียอีก




• ทำอย่างไรจะเชื่อคนที่บอกว่า เห็นมาจริง?

ถาม : จะเชื่อได้อย่างไรว่าใครเห็นนรกสวรรค์จริง ฟังเล่ามาแต่ละคนพูดกันไปคนละเรื่อง บางทีขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพวกที่หลับตาไปเห็นแบบนั่งทางใน จะรู้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้คิดฝันไปเอง?

ตอบ : ความเชื่อยุคใหม่นั้นมีอะไรประหลาดๆ ได้ไม่จำกัด บางคนบอกว่าจะเชื่อนรกสวรรค์ก็
ต่อเมื่อเห็นภูตผีปีศาจหรือเทวดานางฟ้าด้วยตาเปล่า บางคนหนักกว่านั้น คือ บอกว่าจะเชื่อนรกสวรรค์ก็ต่อเมื่อพูดให้เขาเชื่อด้วยหลักฐานและเหตุผลอันคิดตามได้ เรียกว่าเป็นพวกหัวดื้อเต็มพิกัดจะยอมลงให้กับคัมภีร์ไหนศาสนาใดก็ต่อเมื่อมีใครป้อนภาพ เสียง สัมผัสที่เกี่ยวกับนรกสวรรค์ให้แก่เขา โดยที่เขาไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย ขอเป็นช้างกินอ้อยที่ถูกยื่นมาถึงปากเท่านั้น


    หากเข้าใจว่าคนเราสามารถเห็นนรกสวรรค์ได้ด้วยตาเปล่า ก็คงไม่ต่างจากการเข้าใจว่า คนเราสามารถเห็นสัญญาณโทรทัศน์ได้ หรือฟังคลื่นวิทยุได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องรับ และหากเข้าใจว่าคนเราสามารถตระหนักในความมีอยู่ของนรกสวรรค์ได้ด้วยความคิด ก็คงไม่ต่างจากการเข้าใจว่าคนเราสามารถล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของเชื้อโรคเล็กๆ และแกแลกซี่ใหญ่ๆ โดยไม่ต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์และกล้องดูดาว

    อย่างไรก็ตาม ในทางตรงข้าม บางคนก็พร้อมจะศรัทธาภาพเสียงพิเศษบางอย่างรวดเร็วเกินไป เช่นเพียงหลับฝันชัดๆ หรือบางคนนั่งสมาธิได้ความนิ่งเพียงเล็กน้อยแล้วเกิดนิมิตต่างๆนานา ก็หลงปักใจเชื่ออย่างเอาเป็นเอาตายว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นถูกยิ่งจริงแท้ แล้วนำมาขยายให้ผู้อื่นฟัง บางทีก็ใส่สีตีไข่เข้าไปตาอัตโนมัติ,ของตน หรือหนักกว่านั้นคือตั้งใจหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อว่าตนเป็นผู้รู้เห็นนรกสวรรค์แจ่มแจ้ง ทั้งที่ทราบแก่ใจว่าตนเป็นเพียงหนึ่งในพวกสิบแปดมงกุฎเท่านั้น

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการประจักษ์ความมีอยู่จริงของนรกสวรรค์นั้น เป็นเรื่องรู้เห็นเฉพาะตัวพูดง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องที่คนๆ หนึ่งต้องสำรวจตนเองด้วยความซื่อสัตย์ว่า วิธีเห็นของเขานั้นน่าเชื่อเพียงใด สำหรับผู้ฟังซึ่งปราศจากญาณรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องยากที่จะไปรู้ไต๋ของเขา คงได้แต่กล่าวว่า

    คนรู้จริงเขาสำรวจตัวเองกันอย่างไร เขาดูครับว่าขณะนั้นมีสิ่งใดทำให้จิตบิดเบี้ยว เห็นผิดเพี้ยนเหมือนมองผ่านกระจกเว้าหรือกระจกนูนได้บ้างหรือไม่ หากมีเหตุปัจจัยที่ทำให้บิดเบี้ยวได้อยู่ เขาก็จะค่อยๆ กำจัดปัจจัยนั้นทิ้งไปทีละข้อๆ จนกระทั่งจิตกลายสภาพเป็นเหมือนกระจกใสที่เรียบสนิท ไม่หลงเหลือแม้รอยขีดข่วนเป็นฝ้ามัวสักนิดเดียว

สิ่งที่ทำให้จิตบิดเบี้ยวไม่อาจรู้เห็นอะไรได้ตามจริง จำแนกเป็นข้อใหญ่ๆ ได้ดังนี้

๑) สิ่งปิดกั้นอย่างหยาบ – เช่น ความโลภอยากรู้เห็น ความโลภอยากเป็นผู้อยู่เหนือมนุษย์ ความเป็นผู้ไม่อาจสลัดความติดใจในราคะ ความเป็นผู้ไม่อาจหลุดจากความพยาบาท ความเป็นผู้มีความหดหู่ง่วงงุน ความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านซัดส่ายจับไม่ติด และความเป็นผู้คิดลังเลสงสัยกลับไปกลับมาไม่หยุด หากปราศจากสิ่งปิดกั้นอย่างหยาบดังกล่าวมาแล้ว จิตก็จะสามารถตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความรู้เห็นคมชัด ทรงคุณภาพพอต่อการน้อมไปรู้สิ่งที่เกินหูเกินตาบ้างแล้ว

๒) สิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นพร่าเพี้ยน – เช่น ความช่างปรุงแต่งจินตนาการ ความปักใจเชื่ออยู่ก่อนว่านรกสวรรค์เป็นอย่างไร ความตั้งมั่นของจิตที่ไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ความลิงโลดหรือขนลุกขนชันในยามแรกเห็น ความเพลิดเพลินในปีติสุขอันเกิดแต่วิเวกในสมาธิซึ่งก่อนิมิตวิจิตรตระการหากจิตมีความเป็นกลาง เที่ยงตรงเหมือนตาชั่งที่อยู่ในดุลพอดี ปราศจากความยินดียินร้ายใดๆ ก็สามารถน้อมไปรู้เห็นสิ่งลี้ลับเหนือโลกได้ตามจริง หลายสิ่งจะเปิดเผยต่อจิตอันทรงอุเบกขานั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าตาเห็นรูปและหูได้ยินเสียง

    หากผู้ที่ทรงสมาธิได้เป็นปกติ น้อมจิตไปรู้เห็นนรกสวรรค์ได้เป็นปกติ ไม่ใช่เห็นแบบภาพล้มลุก หรือฟลุกเจอแบบนานทีปีหน ก็จะมีชีวิตที่ไม่จำกัดอยู่ด้วยกรอบคับแคบของหูตา แต่จะมีชีวิตที่เปิดกว้างด้วยอายตนะรับรู้เหนือมนุษย์ คล้ายเศรษฐีที่อาจเดินทางด้วยเครื่องบินเปลี่ยนบรรยากาศไปทุกมุมโลกได้ตามปรารถนา ไม่ต้องจำเจอยู่แต่เฉพาะในเมืองใดประเทศไหนเพียงหนึ่งเดียวเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

 


สรุปรวบรัดว่า
    สำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะเหนียวแน่น ไม่มีเวลาปฏิบัติ ภาวนาจนเกิดสมาธิผ่องแผ้วนั้น ควรหมั่นศึกษาให้มากว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ กระทั่งเกิดกุศลจิตอยู่เป็นปกติ จิตอันรวมเป็นกระแสมหากุศลนั้นจะบอกเราเองครับว่าถ้านรกมี เราก็ไม่พรั่นเลย เพราะเราจะไม่ไหลลงนรกด้วยกระแสแห่งอกุศลเป็นแน่
    ขณะเดียวกันถ้าสวรรค์มี เราก็ไม่รู้สึกแปลกแยกหรือต่ำต้อยเกินกว่าจะเอื้อมถึงแต่อย่างใด เพราะจิตวิญญาณย่อมอุบัติบนสรวงสวรรค์ด้วยแรงส่งของพลังกุศลโดยแท้__



คัดลอกจาก เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๑ โดย ดังตฤณ
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/,http://larnbuddhism.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2012, 12:19:27 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
้ทำอย่างไร จะทำให้เราเชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ แบบภพภูมิ อย่างจริงใจคะ คือยังมีความรุ้สึกว่า บางเรื่องก็น่าเชื่อ บางเรื่อง ก็ดูไม่น่าเชื่อ ถ้ากล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ทำไมเรื่องภพภูมิ เทวดา นรก เหล่านี้ทำไมถึงพิสูจน์ไม่ได้ เลยมีความรู้สึกว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อ ครึ่ง ซึ่งหลายท่านก็มักบอกว่า เป็นเหตุผลว่า ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเพราะติดการใช้ปัญญามากไป พิสูจน์มากไป

   ก็ยังแปลกใจ ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ท้าให้คุณมาพิสูจน์ไม่ใช่หรือคะ ดังนั้นก็เลยไม่เข้าใจว่า ทำอย่างไรจะทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ไม่เคยเห็นนี้ได้อย่างไร หรือมีวิธีปฏิบัติต่อความเชื่อเหล่านี้อย่างไร คะ

  :c017: :25:

    คุณสุนีย์เคยตั้งคำถามลักษณะนี้ไว้แล้ว ขอให้กลับไปอ่านอีกครั้ง
    "เราควรเชื่อ เรื่อง ชาติ หน้า อย่างไร จึงจะถูกต้องคะ"
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6289.0

    ปุถุชนยังละวิจิกิจฉา(ความสงสัยลังเล)ไม่ได้ ถือเป็นเรื่องปรกติ
    ผู้ที่เชื่อเรื่องนี้ได้อย่างสนิทใจ ต้องเป็นอริยบุคคล ระดับโสดาบันปัตติผลเป็นอย่างต่ำ
    เนื่องจากโสดาบันละสังโยชน์ข้อวิจิกิจฉาได้


    หากถามว่า แล้วปุถุชนควรปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะเชื่อได้อย่างสนิทใจ
    ความเห็นส่วนตัว คือ ต้องปฏิบัติธรรมให้ได้เห็นผลระดับหนึ่ง
    ระดับไหนนั้นตอบไม่ได้ เชื่อว่าระดับของวิจิกิจฉาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
    บารมีธรรมของแต่ละคนที่สั่งสมมาในกาลก่อนต่างกัน
    อินทรีย์บารมีในชาติปัจจุบันก็อ่อนแข็งไม่เท่ากัน
    ความต่างของบารมีธรรมและอินทรีย์บารมีของแต่ละคน ทำให้ระดับของวิจิกิจฉาต่างกันด้วย
    ขอให้เดินอยู่ในมรรค ๘ ต่อไปเถอะครับ สักวันความลังเลสงสัยจะค่อยๆถูกล้างไปเอง

     :welcome: :49: :25: :s_good:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2012, 12:43:43 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ