1. หากเป็นแนวทางของผมนะครับลองค่อยๆอ่านกระทู้แรกที่ผมตอบดูนะครับ ผมจะบอกว่า เมื่อเวลาที่จิตเราฟุ้งซ่าน มันมาจากเราไปหยิบจับเอาธัมมารมณ์ คือ สิ่งที่รู้ด้วยใจ สังขารที่ปรุงแต่งจิต สิ่งที่เป็นเรื่อง สมมติบัญญัติทางใจ แม้คุณจะไม่รับรู้ยินเสียง ไม่รับรู้กลิ่น ไม่รับรู้รส ไม่รับรู้การกระทบสัมผัสทางกาย แต่อย่างไรใจคุณก็จะปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆนาๆ ตามที่คุณเคบได้สัมผัสรับรู้มาก่อนแล้วจดจำไว้ โดยมันจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นจากนั้นก็ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวทั้งตามที่ตนเองพอใจยินดี ไม่ว่าจะเป็นด้วย โลภะ หรือ โทสะ ก็ดี เมื่อคุณจับเอาเรื่องราวความตรึกนึก หรือ มโนภาพต่างๆที่สร้างขึ้นจากความจำได้จำไว้และสมมติไปต่างๆนาๆเหล่านั้นมาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิต คุณก็จะเสพย์เวทนานั้นๆ(ความสุขใจ ความทุกข์ใจ)ตามความจดจำและเรื่องราวสมมติที่คุณยกเอามาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิตขึ้นมาทันที // นี่คือภาวะการเสพย์เวทนาความเป็น สุข และ ทุกข์ จากธัมมารมณ์
2. สภาวะที่ผมใช้แก้ทางแล้วเกิดเห็นผลได้มีดังนี้ครับ2.1 คิดย้อนความคิด2.1.1 เมื่อธรรมชาติจิตมันคิด ดั่งคำที่ว่า ธรรมชาติใดคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต เราก็ใช้สติและสมาธินำกุศลวิตก คิดย้อนดูมันว่าที่เรามีความคิดฟุ้งซ่านต่างๆนาๆนั้นมันมาจากความจดจำในเรื่องใด เราสำคัญมั่นหมายในใจไว้อย่างไร จึงทำให้ตรึกนึกถึงประกอบกับความ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เนืองๆ เช่น ตรึกนึกว่ามีคนมาด่าเรา ขณะที่ตรึกนึกเอามาตั้งเป็นอารมณ์นั้นๆ เราให้ความสำคัญมั่นหมายแก่ใจต่อสิ่งนั้นว่า เรามีความพอใจยินดี หรือ เราไม่มีความพอใจยินดี เพราะเรามีความสำคัญไว้เช่นนี้จึงก่อให้เกิดความตรึกนึกประกอบกับความ รัก โลภ โกรธ หลง จนเสพย์เวทนาความ ไม่สบายกาย และ ใจ เพราะพอใจยินดีก็ชอบทะยานอยากได้ต้องการ ไม่พอใจยินดีก็โกรธคับแค้นใจทะยานอยากผลักหนีให้ไกลตน เป็นต้น ให้ดับที่ความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีที่เราสำคัญไว้นั้นๆ โดยระลึกอย่างนี้ว่าเราให้ความสำคัญมันไปมากเท่าไหร่ เราก็จะตรึกนึกและทุกข์มากเท่านั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นแค่สิ่งที่ผ่านมาแล้ว แล้วเราจดจำเอามานึกคิดสร้างเรื่องราวเองจาเกิดเป็นทุกข์ ให้ระลึกรู้ไว้ว่าความเป็นจริงในปัจจุบันขณะนี้แล้ว เรานั้นกำลังทำสมาธิอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ เป็นต้น // แล้ววางใจไว้กลางๆไม่ตั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดี ด้วยใจที่รู้เจริฐปฏิบัติในการมีความเป็นกุศลแห่ง ศีล หรหมวิหาร๔ ทาน คิดดี พูดดี ทำดี
2.1.2 สร้างความคิดที่ทำให้ใจเราเป็นสุขย้อนความคิดที่ ติดข้อง ขัดข้องมัวหมองใจ โดยขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ให้คุณละความคิดขุ่นมัวใจออก แล้วสร้างมโนภาพหรือความคิดที่ทำให้คุณเป็นสุข โดยในสิ่งนั้นต้องเป็นเรื่องกุศล เช่น ได้ทำบุญทำทานตามความพอใจยินดี ได้สมาธิที่งดงาม ได้อยู่ในที่ๆเป็นสุขกายสบายใจ ได้พบเจอพระพุทธเจ้า เป็นต้น เพื่อให้จิตใจคุณนั้นเกิดความปิติโสมนัส ตามฉันทะเจตสิก โดยเมื่อปรุงแต่งในความเป็นกุศลแล้ว จิตจะปิติยินดีโดยตัดจากความโลภเข้าสู่กุศล
2.2 เลือกสิ่งที่ควรเสพย์ ๑. เลือกความพอใจยินดีที่ควรเสพย์ และ ไม่ควรเสพย์ ๒.เลือกความไม่พอใจยินดีที่ควรเสพย์ และ ไม่ควรเสพย์ ๓.เลือกความวางเฉยมีใจเป็นกลางๆที่เควรเสพย์ และ ไม่ควรเสพย์ โดยสิ่งไหนที่ดีเป้นกุศลที่ควรจะเสพย์เป็นอารมณ์ ให้เลือกเจริญปฏิบัติในสิ่งนั้น และ ละไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ควรจะเสพย์ ข้อนี้ต้องอาศัยความมี สติ และ สัมปชัญญะ เป็นอย่างมาก เพราะจะต้องใช้พิจารณาในสิ่งที่ถูก ที่ควร ที่ดีงาม ที่เราควรจะทำ แล้ว เลือกเจริญปฏิบัติในสิ่งนั้น ดังนั้นในข้อนี้ต้องอาศัย ความเห็นชอบ และ พรหมวิหาร๔ เป็นเบื้องต้น
2.3 ยอมรับตามความจริงคือการเข้าใจความเป้นจริงในสัจธรรม รู้เห็นจริงตามสัจธรรม มี ศีล ความเห็นชอบ และ พรหมวิหาร๔ และ ทาน เป็นเบื้องต้น เพื่อละในความติดข้องใจจากความตรึกนึก และ สมมติ นั้นๆ เพราะมันไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดๆแก่เรานอกจากทุกข์ (ดูได้ในข้อที่ 2. ทางดับทุกข์นั้น ในกระทู้แรกที่ผมตอบคุณไป)
2.4 ระลึกรู้กึ่งวิปัสนา2.4.1 เมื่อเกิดความนึกคิดแล้วเสพย์เวทนาต่างๆไม่ว่าจะเป็น สุข ทุกข์ เฉยๆ มีความดำเนินไปของกิเลสที่เป็นอย่างไร เช่น รักใคร่ได้ยินดี โลภ โกรธ หลง
- หากคุณคิดในทางที่เป็นไปเพื่อความ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ให้รู้ว่าขณะนั้นเรามีความคิดที่เป็น "อกุศลจิต" อยู่
- หากคุณคิดไปในทางที่ไม่เบียดเบียนทำร้ายคนอื่น คิดดำรงอยู่ในความที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ปารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข อนุเคราะห์เอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่น รู้จักการอดโทษแก่คนอื่น รู้จักการให้เพื่อให้ผู้รับเป็นสุขโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนกลับคืน ยินดีเมื่อผู้อื่นเป็นสุข ให้รู้ว่าขณะนั้นคุณมีความคิกที่เป็น "กุศลจิต"
2.4.2 เมื่อรู้ในความคิดแล้ว ให้มารู้ในสภาพความจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่เราว่ารู้สึกเช่นใดอยู่
- หากสติระลึกรู้ความรู้สึกในขณะนั้นว่า มีความอัดอั้นใจ อึดอัดใจ คับแค้นใจ ขุ่นมัวใจ ทะยานใจ กรีดใจ หวีดใจ หวิวใจ ติดข้องใจ เป็นต้น นี่คือ อกุศลจิต
- หากสติระลึกรู้ความรู้สึกในขณะนั้นว่า มีความสงบ อบอุ่น ปิติยินดี อิ่มเอมใจ สุขกาย สบายใจ โดยตัดขาดจากความติดข้องใจ ไม่ติดข้องต้องการ ไม่ขุ่นมัวขัดข้องใจ เป้นต้น นี่คือ กุศลจิต
- ให้ระลึกรู้ในสภาพความคิดกึ่งวิปัสนานี้ไปเรื่อยๆ ใจเราจะจดจ่อรู้สภาพความจริงที่เรียกว่า ปรมัตถธรรมมากขึ้น กว่าที่เราจะไปเสพย์เวทนาจากความคิดปรุงแต่ง บัญญัติ ในธัมมารมณ์
2.5 ระลึกรู้คิดแยกจิตว่างออกจากการความคิดปรุงแต่ง- ขณะคุณรู้ตนว่ากำลังคิดอกุศลอยู่ ในขณะนั้นสภาพจิตที่เป็นอกุศลของคุณจะเกิดขึ้นสลับกับสติความระลึกรู้และรู้ตัว คุณจะรู้ทันทีว่าในขณะนั้นทั้งกุศลจิตและอกุศลจิตจะเกิดขึ้นสลับกันไปมาไม่รู้จบ หากคุณเอาจิตไปจับเอาความตรึกนึกใดมาตั้งเป็นอารมณ์ คุณก็จะเสพย์เวทนาจากความรู้สึกนึกคิดนั้นๆทันที เช่น ในขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องคนรักเรื่องผิวพรรณรูป การเสพย์กาม(อันนี้ยกตัวอย่างนะครับ)อยู่นั้น จากนั้นเมื่อคุณมีสติระลึกรู้ว่าคุณกำลังคิดติดข้องในกามารมณ์ ตามความกำหนัดใคร่ได้ยินดีของตนอยู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งไม่ดีงามไม่ควรจับยึดเกาะ เป็นสิ่งที่ควรละ สภาพจิตในขณะนั้น โลภ+ราคะ จะเกิดดับสลับกับ สติ-กุศลวิตก ความระลึกรู้และนึกคิดที่เป็นกุศลเสมอ
- หากคุณไปหยิบจับเอาเรื่องกามมาตั้งเป็นอารมณ์ตรึกนึก คุณก็จะเสพย์เวทนาจากกิเลสตัณหานั้นๆทันที
- หากคุณไปหยิบจับเอาความคิดที่รู้ตนและรู้ว่าาสิ่งที่คิดอยู่นั้นมันไม่ดี ควรละเสียให้ได้ คุณก็จะเสพย์เวทนาจากกุศลเจตสิกนั้นๆทันที(แต่จะทานกับตัณหาได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับกำลังของสติที่คุณมีอยู่นะครับ)
- เมื่อรู้ความเป็นไปจริงๆของการเกิดดับของจิตและความคิดที่เกิดขึ้นกับคุณเป็นเบื้องต้นในระดับความคิดอย่างนี้แล้ว ให้คุณสร้างมโนภาพคิดเป็นเส้นแบ่งในใจดังเช่นว่า เส้นฝั่งซ้ายคือกองกิเลส เส้นฝั่งขวาเป็นกุศล สติ แล้วระลึกว่ามีอีกเส้นเป็นขีดระนาบแบ่งกลางระหว่าง 2 เส้นนั้น แล้วพึงระลึกในใจว่าหากคุณคิดอกุศลเท่ากับคุณเอนเอียงใจไปฝั่งซ็าย หากคุณคิดกุศลเท่ากับคุณเองเอียงไปด้านขวา ดังนั้นทิ้งความคิดทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเสีย แล้ววางใจให้อยู่กลางๆ ไม่หยิบจับเอาความตรึกนึกใดๆมาตั้งเป็นอารมณ์ เพราะติดข้องใจในตรึกนึกใดๆนั้น ความฟุ้งซ่านและความทุกข์ย่อมเกิดแก่ตน ให้พยายามประครองใจให้อยู่ในเส้นระนาบกลางๆ แรกๆที่ทำนั้น สภาพ อกุศล และ กุศล และ ความมีใจกลางๆ(อุเบกขาจิตก็เป็นกุศลเช่นกันนะครับเพียงแต่จะไม่ยึดจับเอาความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีมาเป็นอารมณ์แต่จะวางใจอยู่กลางๆ) จะเกิดดับสลับกันไป-มา พอเมื่อเริ่มมีสติ-สัมปชัญญะมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น หรือ เริ่มชัดเจนในใจมากขึ้นสภาพความมีใจกลางๆจะเกิดมากขึ้น จนเข้าได้ถึงสภาพว่างได้
ดูวิธีวางอุเบกขาจิต เพิ่มเติมได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.03. วิธีที่ดีๆที่พระคุณเจ้าท่านได้แนะแนวทางไว้ รวมไปถึงหลายท่านที่ให้แง่คิดแนะแนวทางที่ดีและเป้นประโยชน์กว่าแนวทางของผมมาก ซึ่งให้ประโยชน์ได้ไม่จำกัดกาล ดูได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6327.0สุดท้ายบุญใดๆที่ผมได้กระทำมาแล้วในอดีตและปัจจุบันกาล ของบุญนั้นได้ส่งผลให้คุณพบทางที่สว่างงดงาม ตัดจากความฟุ้งซ่านใจได้ และพบความสุขตลอดสิ้นกาลนานเทอญ