ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?  (อ่าน 5872 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?



พระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก

    พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

    ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติพระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-

   “ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”

    ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไปพระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ

     พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนาน พระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร”
     เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน

     ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก =กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์



     ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก  ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายพระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา

    เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงติดตามพระเถระไปยัง พระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
    ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง)
   ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้

    สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม
    ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
    จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี
    จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และ
    เมื่อโกนผมเสร็จท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


ที่มา http://84000.org/one/1/16.html
ขอบคุณภาพจาก http://4.bp.blogspot.com/,http://www.phasornkaew.org/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 01, 2012, 02:52:28 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 02:51:13 pm »
0


พระทัพพมัลลบุตรเถระ เอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ

    พระทัพพมัลลบุตร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ มีพระนามเดิมว่า “ทัพพราชกุมาร” แต่เนื่องจากว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช จึงนิยมเรียกกันว่า “ทัพพมัลลบุตร”

    ประสูติบนเชิงตะกอน
    เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า ทัพพะ ซึ่งแปลว่า ไม้ นั้นก็เพราะว่าในขณะที่พระมารดาของท่านตั้งครรภ์ใกล้จะประสูตร แต่ก็สวรรคตเสียก่อน บรรดาพระประยูรญาตจึงนำศพไปเผาบนเชิงตะกอน
    เมื่อไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพระนางอยู่นั้นท้องได้แตกออก ทารกในครรภ์ได้ลอยมาตกลงบนกองไม้ใกล้ ๆ เชิงตะกอนนั้น และไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย พวกเจ้าหน้าที่ได้อุ้มทารกนั้นมามอบให้พระอัยยิกา (ยาย) อาศัยเหตุการณ์นั้นจึงตั้งชื่อท่านว่า “ทัพพะ”


    โกนผมเสร็จก็บรรลุอรหันต์
    ขณะที่พระบรมศาสดา ประทับอยู่ ณ อนุปิยนิคม แคว้นมัลละแห่งนั้นพร้อมด้วยภิกษุพุทธสาวก ขณะนั้น ทัพพราชกุมาร มีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระอัยยิกาได้พาไปเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม พร้อมกับชาวเมืองทั้งหลาย ทัพพราชกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาค เกิดศรัทธาเลื่อมใสน้อมพระทัยไปในการออกบวช ได้กราบทูลลาพระอัยยิกา เพื่อขอบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอัยยิกาก็อนุโมทนา


    และรีบพามาสู่สำนักพระบรมศาสดา ท่านได้ทราบถวายบังคมแล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงมอบให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้

    พระภิกษุผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนตจปัญจกกรรมฐานแก่ ทัพพราชกุมารแล้ว
    ในขณะที่กำลังทำการโกนผมอยู่นั้น ทัพพราชกุมาร ได้พิจารณากรรมฐานที่เรียนมา คือ ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง โดยลำดับ

    เมื่อจรดมีดโกนครั้งที่ ๑ ได้บรรลุโสดาปัตติผล
    จรดมีดโกนครั้งที่ ๒ ได้บรรลุสกทาคามิผล
    จรดมีดโกนครั้งที่ ๓ ได้บรรลุอนาคามิผล และ
    เมื่อการโกนผมสิ้นสุดลง ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมมภิทา ๔ และอภิญญา ๖


ที่มา http://84000.org/one/1/21.html
ขอบคุณภาพจาก http://buddha.dmc.tv/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 03:09:51 pm »
0



    พระเรวตขทิรวนิยเถระ เอตทัคคะในทางผู้อยู่ป่า

    พระเรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวังคันตะ มารดาชื่อนางสารี ในหมู่บ้านตำบลนาลันทา แคว้นมคธ ซึ่งบิดาของท่านเป็นนายบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านนั้น อันตั้งอยู่ใน ท่านเป็นน้องชายอีกคนสุดท้องของพระสารีบุตรเถระ เดิมชื่อว่า เรวัตะ

    ๗ ขวบ ได้แต่งงาน
    เมื่อท่านอยู่ในวัยเด็ก อายุประมาณ ๗-๘ ขวบเท่านั้น บิดามารดาของท่านได้ปรึกษากันว่า:-
    “บุตรธิดาของเราออกบวชไปแล้ว ๖ คน ยังเหลือเรวตะเพียงคนเดียว ถ้าเรวตะ ออกบวชอีก ก็จะไม่มีผู้ใดสืบทอดวงศ์ตระกูล เราควรผูกมัดเราวตะ ไว้ด้วยการให้มีภรรยา รับผิดชอบต่อครอบครัวเสียแต่ในวัยเด็กนี้จะดีกว่า ถ้าปล่อยไว้อาจถูกพระสงฆ์พุทธสาวกพาไปบวชอีก"


    เมื่อปรึกษาและมีความเห็นชอบตรงกันแล้ว จึงจัดการสู่ขอนางกุมาริกาผู้มีฐานะชาติตระกูลเสมอกันแล้วกำหนดวันวิวาหมงคล ครั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ และถึงกำหนดนัดวันวิวาห์แล้ว ขณะทำพิธีแต่งงาน ญาติมิตรต่างทยอยกันเข้าหลั่งน้ำ และกล่าวคำอวยพรคู่บ่าวสาว

    ตามประเพณีนั้น มีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว เป็นคุณยายอายุประมาณ ๑๒๐ ปี กล่าวคำอวยพรให้เจ้าบ่ายเจ้าสาวปรองดองครองรักกันยาวนานมีอายุยืนยาวเหมือนคุณยายนี้

    เรวตะได้ฟังคำอวยพร และเห็นคุณยายร่างกายแก่หง่อม หลังค่อมโกง ผิวตกกระ งก ๆ เงิ่น ๆ หากความงามอันเป็นที่เจริญจิตเจริญใจมิได้เลย แล้วหวนคิดเปรียบเทียบกับเจ้าสาวของ ตนซึ่งจะมีสภาพร่างกายเหมือนคุณยายนี้ จึงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที และเริ่มคุ่นคิดหาวิธีเพื่อหลีกหนีชีวิตครอบครัวฆราวาส และมองเห็นว่าวิธีเดียวที่จะพ้นได้ ก็คือต้องออกบวชเหมือนพี่ ๆ จึงจะพ้นได้

    หนีเมียบวช
    ดังนั้น ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนยานพาหนะเดินทางไปสู่เรือนหอนั้น ท่านได้แสดงอาการว่าท้องเสียขอตัวเพื่อลงไปถ่ายท้องในป่าข้างทาง ครั้งแรก ๆ บิดามารดาได้สั่งให้คนคอยติดตามดู เพราะกลัวว่าจะหนี เรวตะ เห็นว่ามีคนคอยติดตามดูอยู่จึงกลับมาด้วยดี บิดามารดา และคนคอยติดตามก็เชื่อว่าคงจะท้องเสียจริง ๆ จึงเลิกติดตาม


    เรวตะ จึงได้โอกาสหนีไปได้สำเร็จและได้พบ สำนักพระภิกษุผู้อยู่ในป่า จึงเข้าขอบรรพชาในสำนักของท่าน ส่วนพระภิกษุรูปนั้นพอทราบว่า เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ก็รับจักการบวชให้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตบิดามารดาก่อน เพราะพระสารีบุตรเถระได้สั่งไว้ว่า “ถ้าพบน้องชายของเราให้บวชได้ทันที” เนื่องจากถ้าไปขออนุญาตบิดามารดาก็จะไม่ได้บวช เพราะบิดามารดาของท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    พระสารีบุตรเถระได้ทราบข่าวว่า เรวตะน้องชายบวชแล้ว คิดจะไปเยี่ยมจึงกราบทูลลา พระผู้มีพระภาค ถึง ๒ ครั้ง พระพุทธองค์ตรัสห้ามยับยั้งไว้ ส่วนสามเณรเรวตะคิดว่า ถ้าอยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์นี้ต่อไป บรรดาญาติ ๆ ทั้งหลาย อาจจะตามมาพบและนำตัวเรากลับไปก็ได้

    จึงเรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์นั้นแล้ว ได้ลาไปบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในป่าไม้ตะเคียน (ขทิรวนิยะ) ระยะทางไกลออกไปประมาณ ๓๐ โยชน์ ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้น
    เพราะท่านอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานานจึงได้นามใหม่ว่า “พระเรวตขทิรวนิยเถระ”

    พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยม
    เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรเถระกราบทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อไปเยี่ยม พระรวตะ อีกครั้ง พระบรมศาสดารับสั่งว่าจะเสด็จไปด้วย และรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย ประมาณ ๕๐๐ รูปเตรียมเดินทางไปด้วยกัน


ที่มา http://84000.org/one/1/26.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.baanjomyut.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 03:32:32 pm »
0



พระราหุลเถระ เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา

พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร
     ในวันที่ ๗ พระราหุลมารดา ทรงส่งพระกุมาร ซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์พรรษา ๗ ปี ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า และทรงสั่งพระโอรสว่า ดูกรราหุล พระสมณะนั้น เป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดกต่อพระองค์เถิด


     ฝ่ายพระกุมารครั้นพอเสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลับเกิดความรักในพระบิดา มีพระหฤทัยรื่นเริงยินดี ยืนรับสั่งถ้อยคำเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นอันมาก โดยมิได้รับสั่งเรื่องที่พระมารดาสั่งให้มาทูลพระบรมศาสดา

     พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเสร็จภัตกิจแล้ว กระทำอนุโมทนา เสด็จลุกจากพระที่นั่งกลับไป

     ฝ่ายพระกุมารเมื่อทรงนึกถึงถ้อยคำที่พระมารดาสั่งไว้ได้จึงได้ทรงติดตามไปทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด พระสมณเจ้า ขอพระองค์ประทานทรัพย์มฤดกแก่หม่อมฉันเถิด

     ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงพระอาราม แล้วทรงพระดำริว่าทรัพย์อันใดของบิดาที่ราหุลนี้ปรารถนา ทรัพย์อันนั้นเนื่องด้วยวัฏฏะ เป็นไปกับด้วยความคับแค้น เราจักทำเธอให้เป็นเจ้าของมฤดกอันเป็นโลกุตตระ ดังนี้แล้วรับสั่งหาท่านพระสารีบุตรมา แล้วตรัสว่า ราหุลกุมารนี้ขอทรัพย์มฤดก เพราะเหตุนั้นท่านจงบวชราหุลกุมารนี้เถิด

     ในสมัยนั้น ตั้งแต่พระบรมศาสดาทรงโปรดให้พระสารีบุตรอุปสมบทพระราธเถระ และทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธี ไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม อันเป็นวิธีอุปสมบท โดยมีสงฆ์เป็นใหญ่ พระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก การอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนบรรพชา (สามเณร) ยังมิได้เคยมีมาก่อน เพราะเหตุนั้น ความสงสัยจักเกิดขึ้นแก่ภิกษุทั้งหลายในอนาคตว่า ชื่อว่าบรรพชา (สามเณร) นี้ จะพึงทำด้วยกรรมวาจา เหมือนอุปสมบท (พระภิกษุ) หรือว่า พึงทำด้วยไตรสรณคมน์ เพื่อตัดความสงสัยเช่นนี้พระธรรมเสนาบดี จึงทูลถามว่า ข้าพระองค์จะผนวชพระราหุลกุมารอย่างไร พระเจ้าข้า ?

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตร เป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์

    ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรผู้มีอายุ ยังพระราหุลกุมารให้ผนวชแล้ว
    โดยพระมหาโมคคัลลานเถระปลงพระเกศาของพระกุมาร แล้วถวายผ้ากาสายะ
    พระสารีบุตรได้ถวายสรณะ
    พระมหากัสสปเถระได้เป็นโอวาทาจารย์


พระพุทธองค์ทรงโปรดสั่งสอนพระราหุล
     เมื่อพระราหุลบรรพชาแล้ว พระศาสดาก็ได้ตรัสราหุโลวาทสูตร เป็นโอวาทเนือง ๆ แก่พระราหุลนั้น ตั้งแต่พระราหุลมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาจนถึงเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษา
     ในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๗ พรรษา ทรงแสดง อัมพลัฎฐิยราหุโลวาทแก่ราหุลสามเณรนั้นว่า ราหุลอย่ากล่าว สัมปชานมุสา แม้เพื่อจะเล่าโดยความเป็นเด็กเลย ดังนี้เป็นต้น


     ในเวลาที่สามเณรมีอายุ ๑๘ พรรษา ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร แก่ราหุล ผู้เดินบิณฑบาตตามหลังของพระตถาคต มองดูรูปสมบัติของ พระศาสดาและของตน ตรึกวิตกที่เนื่องด้วยครอบครัว พระราหุลสำเร็จโสดาบันและสกทาคามิด้วยพระสูตรนี้
     ส่วนราหุโลวาท ในสังยุตก็ดี ราหุโลวาทในอังคุตตรนิกายก็ดี เป็นฐานแห่งวิปัสสนาของพระเถระทั้งนั้น

     ภายหลัง ในเวลาที่ราหุลเป็นภิกษุได้ครึ่งพรรษา ประทับอยู่ที่ป่าอันธวัน เขตพระนครสาวัตถี พระศาสดาทรงทราบว่า ธรรมเจริญด้วยวิมุตติ ๑๕ ของพระเถระแก่กล้าแล้ว จึงทรงตรัส จุลลราหุโลวาทสูตร พระราหุลบรรลุพระอรหันต์ด้วยพระสูตรนี้



ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-rahoon.htm
ขอบคุณภาพจาก http://www.kammatthana.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 04:27:52 pm »
0

สังกิจจสามเณร      
       
        สามเณรของพระสารีบุตรเถระชื่อสังกิจจสามเณร มีอายุ ๗ ปีโดยกำเนิด.
        ได้ยินว่า มารดาของสังกิจจสามเณรนั้น เป็นธิดาของตระกูลมั่งคั่งในกรุงสาวัตถี. เมื่อสามเณรนั้นยังอยู่ในท้อง มารดานั้นได้ทำกาละในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยความเจ็บไข้อย่างหนึ่ง. เมื่อมารดานั้นถูกเผาอยู่ เนื้อส่วนที่เหลือไหม้ไป เว้นแต่เนื้อท้อง.


       ลำดับนั้น พวกสัปเหร่อยกเนื้อท้องของนางลงจากเชิงตะกอน แทงด้วยหลาวเหล็กในที่ ๒-๓ แห่ง. ปลายหลาวเหล็กกระทบหางตาของทารก. พวกสัปเหร่อแทงเนื้อท้องอย่างนั้นแล้ว จึงโยนไปบนกองถ่าน ปกปิดด้วยถ่านนั่นแลแล้วหลีกไป.

      เนื้อท้องไหม้แล้ว ส่วนทารกได้เป็นเช่นกับรูปทองคำบนกองถ่าน เหมือนนอนอยู่ในกลีบแห่งดอกบัว.
       แท้จริง สัตว์ผู้มีในภพเป็นที่สุด แม้ถูกภูเขาสิเนรุทับอยู่ ชื่อว่ายังไม่บรรลุพระอรหัต แล้วสิ้นชีวิตไม่มี.


       ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมาด้วยคิดว่า "จักดับเชิงตะกอน" เห็นทารกนอนอยู่อย่างนั้น
       เกิดอัศจรรย์และแปลกใจ คิดว่า "ชื่ออย่างไรกัน?
       เมื่อสรีระทั้งสิ้นถูกเผาอยู่บนฟืนเท่านี้ ทารกไม่ไหม้แล้ว จักมีเหตุอะไรกันหนอ?"


      จึงอุ้มเด็กนั้นนำไปภายในบ้านแล้ว ถามพวกหมอทายนิมิต.
       พวกหมอทายนิมิตพูดว่า "ถ้าทารกนี้จักอยู่ครองเรือน พวกญาติตลอด ๗ เครือสกุลจักไม่ยากจน,
       ถ้าจักบวช จักเป็นผู้อันสมณะ ๕๐๐ รูปแวดล้อมเที่ยวไป.
       "พวกญาติขนานนามว่า สังกิจจะ เพราะหางตาของเขาแตกด้วยขอเหล็ก.


       สมัยอื่น เด็กนั้นปรากฏว่า "สังกิจจะ" ครั้งนั้น พวกญาติเลี้ยงเขาไว้ ด้วยปรึกษากันว่า "ช่างเถิด, ในเวลาที่เขาเติบโตแล้วพวกเราจะให้เขาบวชในสำนักพระสารีบุตรผู้เป็นเจ้าของเรา.

       ในเวลาที่ตนมีอายุได้ ๗ ขวบ สังกิจจะนั้นได้ยินคำพูดของพวกเด็กๆ ว่า
       "ในเวลาที่เจ้าอยู่ในท้อง มารดาของเจ้าได้กระทำกาละแล้ว, เมื่อสรีระมารดาของเจ้านั้นแม้ถูกเผาอยู่ เจ้าก็ไม่ไหม้"
       จึงบอกแก่พวกญาติว่า "เขาว่า ฉันพ้นภัยเห็นปานนั้น, ประโยชน์อะไรของฉันด้วยเรือน ฉันจักบวช."

       ญาติเหล่านั้นรับว่า "ดีละพ่อ" แล้วนำไปยังสำนักพระสารีบุตรเถระ
       ได้ถวายด้วยกล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวช."
       พระเถระให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้วก็ให้บวช
       สามเณรนั้นบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเอง

       ชื่อว่าสังกิจจสามเณรเพียงเท่านี้.


อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ แบบเต็มๆได้ที่
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ เรื่องสังกิจจสามเณร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=18&p=9
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammathai.org/s
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 05:00:09 pm »
0


พระวนวาสีติสสเถระ

ทารกบริจาคทาน              
        ทารกนั้นนอนอยู่บนผ้ากัมพลนั้นเอง แลดูพระเถระแล้ว คิดว่า "พระเถระนี้เป็นบุรพาจารย์ของเรา, เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้, การที่เราทำการบริจาคอย่างหนึ่งแก่ท่านผู้นี้ ควร" อันญาตินำไปเพื่อประโยชน์แก่การรับสิกขาบท ได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นยึดไว้.

        ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายของทารกนั้นคิดว่า "ผ้ากัมพลคล้องที่นิ้วมือแล้ว" จึงปรารภจะนำออก. ทารกนั้นร้องไห้แล้ว พวกญาติกล่าวว่า "ขอพวกท่านจงหลีกไปเถิด, ท่านทั้งหลายอย่ายังทารกให้ร้องไห้เลย" ดังนี้แล้ว จึงนำไปพร้อมกับผ้ากัมพลนั่นแล. ในเวลาไหว้พระเถระ ทารกนั้นชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ให้ผ้ากัมพลตกลง ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ.

        ลำดับนั้น พวกญาติไม่กล่าวว่า "เด็กเล็กไม่รู้กระทำแล้ว" กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ผ้าอันบุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วทีเดียว" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้สิกขาบทแก่ทาสของท่าน ผู้ทำการบูชาด้วยผ้ากัมพลนั่นแหละ อันมีราคาแสนหนึ่ง."
               พระเถระ. เด็กนี้ชื่ออะไร?
               พากญาติ. ชื่อเหมือนกับพระผู้เป็นเจ้า ขอรับ.
               พระเถระ. นี่จักชื่อ ติสสะ.


        ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ได้มีชื่อว่า อุปติสสมาณพ, แม้มารดาของเด็กนั้น ก็คิดว่า "เราไม่ควรทำลายอัธยาศัยของบุตร." พวกญาติ ครั้นกระทำมงคลคือการขนานนามแห่งเด็กอย่างนั้นแล้ว ในมงคลคือการบริโภคอาหารของเด็กนั้นก็ดี ในมงคลคือการเจาะหูของเด็กนั้นก็ดี ในมงคลคือการนุ่งผ้าของเด็กนั้นก็ดี ในมงคลคือการโกนจุกของเด็กนั้นก็ดี ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย แก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน.

        เด็กเจริญวัยแล้ว กล่าวกะมารดา ในเวลามีอายุ ๗ ขวบว่า "แม่ ฉันจักบวชในสำนักของพระเถระ." มารดานั้นรับว่า "ดีละ ลูก, เมื่อก่อนแม่ก็ได้หมายใจไว้ว่า ‘เราไม่ควรทำลายอัธยาศัยของลูก’, เจ้าจงบวชเถิดลูก" ดังนี้แล้ว ให้คนนิมนต์พระเถระมา ถวายภิกษาแก่พระเถระนั้นผู้มาแล้ว กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ทาสของท่านกล่าวว่า ‘จักบวช’, พวกดิฉันจักพาทาสของท่านนี้ไปสู่วิหารในเวลาเย็น" ส่งพระเถระไปแล้ว ในเวลาเย็นพาบุตรไปสู่วิหารด้วยสักการะ และสัมมานะเป็นอันมาก แล้วก็มอบถวายพระเถระ.



การบวชทำได้ยาก               
       พระเถระกล่าวกับเด็กนั้นว่า "ติสสะ ชื่อว่าการบวชเป็นของที่ทำได้ยาก, เมื่อความต้องการด้วยของร้อนมีอยู่ ย่อมได้ของเย็น, เมื่อความต้องการด้วยของเย็นมีอยู่ ย่อมได้ของร้อน, ชื่อว่า นักบวชทั้งหลายย่อมเป็นอยู่โดยลำบาก, ก็เธอเสวยความสุขมาแล้ว."
       ติสสะ. ท่านขอรับ กระผมจักสามารถทำได้ทุกอย่าง ตามทำนองที่ท่านบอกแล้ว.


กัมมัฏฐานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เคยทรงละ              
        พระเถระกล่าวว่า "ดีละ" แล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการกระทำไว้ในใจโดยความเป็นของปฏิกูลแก่เด็กนั้น ให้เด็กบวชแล้ว.

        จริงอยู่ การที่ภิกษุบอกอาการ ๓๒ แม้ทั้งสิ้นควรแท้, เมื่อไม่อาจบอกได้ทั้งหมด พึงบอกตจปัญจกกัมมัฏฐานก็ได้, ด้วยว่า กัมมัฏฐานนี้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่ทรงละแล้วโดยแท้. การกำหนดภิกษุก็ดี ภิกษุณีก็ดี อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี ผู้บรรลุพระอรหัตในเพราะบรรดาอาการทั้งหลายมีผม เป็นต้น

         ส่วนหนึ่งๆ ย่อมไม่มี. ก็ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่ฉลาด เมื่อยังกุลบุตรให้บวช ย่อมยังอุปนิสัยแห่งพระอรหัตให้ฉิบหายเสีย เพราะเหตุนั้น พระเถระพอบอกกัมมัฏฐานแล้ว จึงให้บวช ให้ตั้งอยู่ในศีล ๑๐.

         มารดาบิดาทำสักการะแก่บุตรผู้บวชแล้ว ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อยเท่านั้นแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารนั่นเองสิ้น ๗ วัน. ฝ่ายภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า "เราทั้งหลายไม่สามารถจะฉันข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อยเป็นนิตย์ได้." มารดาบิดา แม้ของสามเณรนั้น ได้ไปสู่เรือนในเวลาเย็นในวันที่ ๗. ในวันที่ ๘ สามเณรเข้าไปบิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลาย.


ให้ของน้อยแต่ได้ผลมาก               
         ของน้อยอันบุคคลให้แล้วในฐานะใด ย่อมมีผลมาก, ของมากที่บุคคลให้แล้วในฐานะใด ย่อมมีผลมากกว่า, ฐานะอื่นนั้น ยกพระพุทธศาสนาเสียมิได้มี. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ของน้อยที่บุคคลให้แล้วในหมู่ภิกษุเช่นใดมีผลมาก; ของมากที่บุคคลให้แล้วในหมู่ภิกษุเช่นใดมีผลมากกว่า, หมู่ภิกษุนี้ก็เป็นเช่นนั้น." แม้สามเณรมีอายุ ๗ ปี ได้ผ้ากัมพลพันหนึ่ง ด้วยผลแห่งผ้ากัมพลผืนหนึ่งด้วยประการฉะนี้.

         เมื่อสามเณรนั้นอยู่ในพระเชตวัน พวกเด็กที่เป็นญาติมาสู่สำนักพูดจาปราศรัยเนืองๆ.
         สามเณรนั้นคิดว่า "อันเราเมื่ออยู่ในที่นี้ เมื่อเด็กที่เป็นญาติมาพูดอยู่ ไม่อาจที่จะไม่พูดได้ ด้วยการเนิ่นช้า คือ การสนทนากับเด็กเหล่านี้ เราไม่อาจทำที่พึ่งแก่ตนได้ ไฉนหนอ เราเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว พึงเข้าไปสู่ป่า."


ติสสสามเณรออกป่าทำสมณธรรม              
         ติสสสามเณรนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลให้พระศาสดาตรัสบอกกัมมัฏฐานจนถึงพระอรหัต ไหว้พระอุปัชฌายะแล้ว ถือบาตรและจีวรออกไปจากวิหารแล้ว คิดว่า "ถ้าเราจักอยู่ในที่ใกล้ไซร้, พวกญาติจะร้องเรียกเราไป" จึงได้ไปสิ้นทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์.

         ครั้งนั้น สามเณรเดินไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง เห็นชายแก่คนหนึ่ง จึงถามว่า "อุบาสก วิหารในป่าของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในประเทศนี้มีไหม?"
               อุบาสก. มี ขอรับ.
               สามเณร. ถ้าอย่างนั้น ขอท่านช่วยบอกทางแก่ฉัน.
               ก็ความรักเพียงดังบุตรเกิดขึ้นแล้วแก่อุบาสก เพราะเห็นสามเณรนั้น.

         ลำดับนั้น อุบาสกยืนอยู่ในที่นั้นนั่นแล ไม่บอกแก่สามเณรนั้น กล่าวว่า "มาเถิด ขอรับ ผมจักบอกแก่ท่าน" ได้พาสามเณรนั้นไปแล้ว. สามเณร เมื่อไปกับอุบาสกแก่นั้น เห็นประเทศแห่ง ๕ แห่ง อันประดับแล้วด้วยดอกไม้และผลไม้ต่างๆ ในระหว่างทาง จึงถามว่า "ประเทศนี้ชื่ออะไร? อุบาสก"

         ฝ่ายอุบาสกนั้นบอกชื่อประเทศเหล่านั้น แก่สามเณรนั้น ถึงวิหารอันตั้งอยู่ในป่าแล้ว
         กล่าวว่า "ท่านขอรับ ที่นี่เป็นที่สบาย, ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด"
         แล้วถามชื่อว่า "ท่านชื่ออะไร? ขอรับ" เมื่อสามเณรบอกว่า "ฉันชื่อวนวาสีติสสะ อุบาสก."
         จึงกล่าวว่า "พรุ่งนี้ ท่านควรไปเที่ยวบิณฑบาตในบ้านของพวกกระผม"
         แล้วกลับไปสู่บ้านของตนนั่นแหละ บอกแก่พวกมนุษย์ว่า "สามเณร ชื่อวนวาสีติสสะมาสู่วิหารแล้ว, ขอท่านจงจัดแจงอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อสามเณรนั้น."

        ครั้งแรกทีเดียว สามเณรเป็นผู้ชื่อว่า "ติสสะ" แต่นั้นได้ชื่อ ๓ ชื่อเหล่านี้คือ ปิณฑปาตทายกติสสะ กัมพลทายกติสสะ วนวาสีติสสะ ได้ชื่อ ๔ ชื่อภายในอายุ ๗ ปี. รุ่งขึ้น สามเณรนั้นเข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้นแต่เช้าตรู่. พวกมนุษย์ถวายภิกษา ไหว้แล้ว. สามเณรกล่าวว่า "ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข, จงพ้นจากทุกข์เถิด."   

         แม้มนุษย์คนหนึ่งถวายภิกษาแก่สามเณรนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะ (กลับ) ไปยังเรือนได้อีก, ทุกคนได้ยืนแลดูอยู่ทั้งนั้น. แม้สามเณรนั้นก็รับภัตพอยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อตน. ชาวบ้านทั้งสิ้นหมอบลงด้วยอก แทบเท้าของสามเณรนั้นแล้ว กล่าวว่า
         "ท่านเจ้าข้า เมื่อท่านอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาสนี้ พวกกระผมจักรับสรณะ ๓ ตั้งอยู่ในศีล ๕ จักทำอุโบสถกรรม ๘ ครั้งต่อเดือน. ขอท่านจงให้ปฏิญญาแก่กระผมทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ในที่นี้."

         สามเณรนั้นกำหนดอุปการะ จึงให้ปฏิญญาแก่มนุษย์เหล่านั้น เที่ยวบิณฑบาตในบ้านนั้นนั่นแลเป็นประจำ. ก็ในขณะที่เขาไหว้แล้วๆ กล่าวเฉพาะ ๒ บทว่า
         "ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข, จงพ้นจากทุกข์" ดังนี้แล้ว หลีกไป.


         สามเณรนั้นให้เดือนที่ ๑ และเดือนที่ ๒ ล่วงไปแล้ว ณ ที่นั้น
         เมื่อเดือนที่ ๓ ล่วงไป ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.




อุปัชฌายะไปเยี่ยมสามเณร               
        ครั้นเวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอุปัชฌายะของสามเณรนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะไปยังสำนักติสสสามเณร."
               พระศาสดา. ไปเถิด สารีบุตร.


         พระสารีบุตรเถระนั้น เมื่อพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นบริวารของตน หลีกไป กล่าวว่า
         "โมคคัลลานะผู้มีอายุ กระผมจะไปยังสำนักติสสสามเณร" พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
         "ท่านผู้มีอายุแม้กระผมก็จักไปด้วย" ดังนี้แล้ว ก็ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป.
         พระมหาสาวกทั้งปวง คือ พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระอุบาลีเถระ พระปุณณเถระ เป็นต้น ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณองค์ละ ๕๐๐ รูป โดยอุบายนั้นแล.


         บริวารของพระมหาสาวกแม้ทั้งหมด ได้เป็นภิกษุประมาณ ๔ หมื่น. อุบาสกผู้บำรุงสามเณรเป็นประจำ เห็นภิกษุเหล่านั้น ผู้เดินทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ถึงโคจรคามแล้ว ณ ประตูบ้านนั่นเองต้อนรับไหว้แล้ว.



อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ แบบเต็มๆได้ที่
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ เรื่องพระวนวาสีติสสเถระ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=15
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/,http://www.palungjit.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เหตุอัศจรรย์.! ของ'อริยสามเฌร' ที่อยากให้ทราบ..?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2012, 05:59:59 pm »
0

ภาพจาก http://www.sahapatibat.org/

ความเหมือนที่แตกต่าง

๑. พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์
    อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง มีพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌายะถึง ๔ รูป คือ พระสีวลี พระราหุล พระสังกิจจะ และพระวนวาสีติสสะ
    ส่วนพระเรวตขทิรวนิยะ มีศักดิ์เป็นน้องชายของพระสารีบุตร


๒. บรรลุอรหันต์ขณะอายุ ๗ ขวบ
    อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง บรรลุอรหันต์เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ มี ๕ รูป คือ พระสีวลี พระทัพพมัลลบุตร พระเรวตขทิรวนิยะ พระสังกิจจะ และพระวนวาสีติสสะ
    ส่วนพระราหุลนั้นบรรลุอรหันต์เมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว


๓. บรรลุอรหันต์ด้วย "ตจปัญจกกรรมฐาน"
    ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง)
    อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง บรรลุอรหันต์ด้วย "ตจปัญจกกรรมฐาน" ๔ รูป คือ พระสีวลี พระทัพพมัลลบุตร พระสังกิจจะ และพระวนวาสีติสสะ


๔. บรรลุอรหันต์ "ขณะปลงผม"
    อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง บรรลุอรหันต์ "ขณะปลงผม" ๓ รูป คือ พระสีวลี พระทัพพมัลลบุตร และพระสังกิจจะ

๕. ปลอดภัยอยู่ในครรภ์ อย่างอัศจรรย์
    อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง มี ๓ รูป ที่มีบุญบารมีเต็มเปี่ยม เป็นชาติสุดท้ายของท่าน หากยังไม่บรรลุอรหันต์ก็จะไม่สื้นชีีพ แม้อยู่ในครรภ์ เมื่อมีเหตุให้ออกจากครรภ์ไม่ได้ ห็หาได้มีอันตรายไม่  ได้แก่ พระสีวลี พระทัพพมัลลบุตร และพระสังกิจจะ

๖. เกิดบนเชิงตะกอน มารดาตายก่อนเกิด
     อริยสามเณรทั้ง ๖ รูปที่ยกมาแสดง มี ๒ รูป ที่เกิดบนเชิงตะกอน และมารดาตายก่อนเกิด แม้มารดาถูกเผาไปแล้ว ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา(ขณะเผา)กลับไม่เป็นอันตราย สองรูปนั้นได้แก่ พระทัพพมัลลบุตร และพระสังกิจจะ



    เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "คำถามของคุณสุนีย์" (sunee) จากกระทู้นี้ครับ
    รู้ไหมว่า..สามเณรไม่ได้ถือศีลแค่ ๑๐ ข้อ..ซ้ำยัง 'รับเงินไม่ได้'


อนุโมทนา สาธุ คะ
สามเณร เก่ง ๆ มีมากหรือไม่คะ ที่สำเร็จพระอรหันต์ ในครั้งพุทธกาล หรือในปัจจุบัน อย่างนี้ คะ

  :25: :c017:

:25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 01, 2012, 06:02:14 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ