ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มหาวิทยาลัยนาลันทา และ "อรหันต์ตุ่ม" ในสมัยพุทธกาล  (อ่าน 2458 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29309
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

มหาวิทยาลัยนาลันทา
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่เหลือแต่ซากอิฐใหญ่โตมโหฬาร ที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันไปชมเมื่อมาถึงเมืองนาลันทานั้น เดิมทีเป็นบริเวณบ้านเกิดของพระสารีบุตร

พระสารีบุตร หลังจากออกบวชแล้ว ได้ชักนำน้องชายคือ จุนทะ ออกบวชด้วย เมื่อจะนิพพาน (ตรงนี้แปลว่าตาย) ได้มาเทศน์โปรดมารดาให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นการแสดงกตเวทิตาธรรมให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง

หลังจากท่านนิพพานแล้ว ชาวนาลันทาได้สร้างสถูป ณ สถานที่ท่านดับขันธ์ไว้บูชา และสร้างกุฏิวิหารล้อมรอบพระสถูปนั้นด้วย ตกถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงจาริกแสวงบุญมานมัสการเจดีย์พระสารีบุตรแห่งนี้ ให้สร้างเจดีย์เพิ่มขึ้นอีกสององค์สำหรับพระสารีบุตรองค์หนึ่ง สำหรับพระโมคคัลลานะอีกองค์หนึ่ง และให้สร้างกุฏิวิหารล้อมรอบเจดีย์นั้น เพื่อให้เป็นสถานที่อยู่ของพระสงฆ์ และเป็นสถานที่เล่าเรียนพระพุทธศาสนา

    นาลันทา ได้เป็นสถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาระดับมหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.1172 ดังจดหมายเหตุที่พระถังซัมจั๋งเล่าไว้คราวท่านจาริกมาศึกษา ณ สถาบันแห่งนี้ว่า
   "มีตึกสูงถึง 6 ชั้น มีนักศึกษาประมาณ 10,000 คน
    มีพระพุทธรูปปางสมาธิสูงถึง 16 วา
    มีครูอาจารย์ 1,500 ท่าน
    มีห้องสมุดใหญ่ถึง 3 หลัง อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียว....."


ความกว้างใหญ่ไพศาลของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งนี้ ถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่กองทัพมุสลิม โดยการนำของอิคเทีย ขิลจิ บุกเข้าทำลายล้างจนสิ้นซาก

    ว่ากันว่าพวกเติร์กมุสลิมเอาเชื้อเพลิงมาสุมแล้วจุดไฟเผากิน เวลาเป็นแรมเดือนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมอดไหม้หมดสิ้น คิดดูเอาก็แล้วกันว่ามหาวิทยาลัยนี้จะมหึมาแค่ไหน



เมื่อประมาณ พ.ศ.2358 ลอร์ดแฮมิลตัน นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้อ่านบันทึกของหลวงจีนถังซัมจั๋ง เดินทางมาสำรวจพื้นที่ หวังจะพบที่ตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทาแห่งนี้ แต่ก็ไม่พบ เพราะมัวไปดูเสียที่อื่น ซึ่งห่างจากตัวมหาวิทยาลัยถึง 1 กิโลเมตร

ต่อมาอีก 45 ปี ท่านเซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม และพรรคพวกเดินทางมาสำรวจ ได้ค้นพบที่ตั้งมหาวิทยาลัย ช่วยกันแต่งเจดีย์และตึกต่างๆ ในเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่เศษ ดังใครไปก็จะได้เห็นซากอิฐปรักหักพังเรียงรายกันยาวเหยียด ให้บรรยากาศขรึมขลังประหลาด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2403

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.1499 ท่าน เจ.กัสสปะ พระอินเดียได้รับการอุปสมบทที่ลังกา กลับมาฟื้นฟูมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น จัดการเรียนการสอนแผนกภาษาบาลีโดยเฉพาะ ระยะแรกๆ ยังไม่มีที่เรียนถาวรก็อาศัยวัดจีนไปก่อน

ต่อมาได้สร้างอาคารเรียนขึ้น ตรงข้ามกับที่ตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทาเก่า ตั้งชื่อว่า "นวนาลันทามหาวิหาร" พระไทยไปเรียนปริญญาโทและเอกทางภาษาบาลีจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้หลายรูป ท่านมหายอดก็เป็นรูปหนึ่งในจำนวนนั้น


หลวงพ่อพระองค์ดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แกะสลักด้วยหินแกรนิตสีดำ เดิมประดิษฐานอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทา

ไม่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัยนาลันทานัก มีพิพิธภัณฑ์รวบรวมศิลปวัตถุที่ขุดพบบริเวณนาลันทาและกรุงราชคฤห์มาไว้มากมาย ส่วนมากเป็นรูปสลักหินและรูปสำริดของพระโพธิสัตว์ และเทพของศาสนาพราหมณ์ ดูป้ายอธิบายส่วนมากบอกว่า เป็นศิลปะยุคคุปตะและยุคปาละ สวยๆ ทั้งนั้น แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

เดินอ้อมหลังตึกพิพิธภัณฑ์ ได้ยินเสียงหัวหน้าธัมมาตะโกนเรียกหาผมโหวกเหวกๆ นัยว่าท่านต้องการให้ดูอะไรสักอย่าง

"นี่แน่ะไต้ คุณดูซะ ตุ่มแขกมันใหญ่โตขนาดไหน" พลางชี้ให้ดูตุ่มยักษ์สองใบตั้งเรียงกันอยู่

"มันมโหฬารอย่างนี้ทุกใบเหรอโยม" พระไกรสร หนึ่งในหลวงพ่อหลวงพี่ที่ไปกับทัวร์คราวนี้ถามขึ้น

"ส่วนมากใหญ่เกือบขนาดนี้ทั้งนั้น" หัวหน้าตอบ "สมัยพุทธกาลก็คงใหญ่ขนาดนี้ ไม่งั้นพระวินัยไม่ระบุห้ามจำพรรษาในตุ่มหรอก"


เออ จริงสินะ สมัยเรียนนักธรรมอ่านเจอข้อความว่าห้ามพระจำพรรษาในตุ่ม นึกสงสัยว่าหนังสือเขียนผิด ตุ่มอะไรคนจะเข้าไปอยู่ได้ พอมาเห็นของจริงเข้า มันใหญ่พออยู่ได้จริงๆ

อลัชชีบางรูปอาศัยตุ่มใหญ่ชนิดนี้หลอกลวงชาวบ้านบริโภคไปวันๆ ก็มี นั่งอยู่บนกุฏิเห็นญาติโยมกำลังเดินมาหาแอบเข้าไปซ่อนในตุ่ม พวกเขาค้นหาไม่เจอ กำลังเดินกลับไป อลัชชีรีบออกจากตุ่มมาเรียกพวกเขากลับ ครั้นถูกถามว่า "เมื่อกี้ท่านอยู่ที่ไหน พวกผมหาไม่พบ"

"อยู่ที่นี่แหละ" เจ้ากูตอบ

"ทำไมพวกผมไม่เห็นละครับ"

"อาตมาจะให้พวกคุณมองเห็นหรือไม่เห็นก็ได้" เจ้ากูโอ่ ชาวบ้านฟังแล้วก้มกราบจนก้นโด่ง เชื่อมั่นว่าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา

อย่างนี้เรียกว่า "อรหันต์ตุ่ม" ครับ!!!



ข้อมูลและภาพจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341126190&grpid=&catid=06&subcatid=0600
ขอบคุณภาพจาก http://www.watthasai.org/,http://www.pixpros.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 02, 2012, 09:37:39 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29309
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เผยแพร่เมื่อ 2 พ.ค. 2012 โดย siddhini


อัปโหลดโดย luangpunenkham เมื่อ 20 ม.ค. 2010


อัปโหลดโดย luangpunenkham เมื่อ 20 ม.ค. 2010
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ