คุณคิดว่า การที่เราๆ มาเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง มันยากไม๊ละ
ในขณะที่เราเอง ก็พยายามที่จะคอยไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น
ต่างคนต่างเก่ง รู้ดีกันไปซะหมด ว่า เธอต้องทำอย่างนั้น เธอต้องทำอย่างนี้
แต่ไม่ค่อยจะรู้ตัวเราเอง ไม่ค่อยจะเปลี่ยนตัวเราเอง (ผู้เขียนเองก็เคยเป็น)
ไม่ค่อยจะทำตัวเองให้ดีขึ้น
นี้จะเป็นการตอบคำถาม ที่ว่า อยาก ได้ชัดเจน
ก็เราปล่อยตัวเรา ตามใจตัวเรา มา กันตั้งนานเท่าไหร่แล้วละ
บางคน เด็กหน่อย ก็ 10 ปี บ้าง 20 ปี บ้าง
บางคนมีอายุมากหน่อย ก็ 30 ปี บ้าง 40 ปี บ้าง
ส่วนผู้ที่อายุมาก ก็ อาจจะถึง 50 บ้าง
ที่เราได้ปล่อยจิตปล่อยใจของเรา ปล่ยใจ ตามใจตัวเองกันมานานซะขนาดนี้
ลองนึกถึงสิ่งที่ไม่ดีในตังของเราเอง ว่ามีไม๊ ตัวเราเองรู้ดีที่สุด อะไรละที่เราอยากจะเปลี่ยนให้มันดีขึ้น ทั้งนิสัยเราที่ไม่ดี ความคิดของเรา ที่ผ่านมา เช่น ว่า บางคนก็ติดหวย บอกตัวเองมาตลอดว่า จะไม่ซื้อแล้ว จะไม่เล่นแล้ว แล้วก็ซื้อ แล้วก็เล่นเหมือนเคยเลิกไม่ได้ หรือ จะเป็นเล่นบอล จะไม่เล่นๆ เพื่อนมาชวน ไม่แคล้วก็เล่นอีก หรือ จะไม่ตื่นสายแล้ว บอกกันตัวเอง ฉันจะต้องตื่นเช้า แล้วทำได้ไหม ก็ยังคงตื่นสายอยู่ คุณคิดว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นการอยากไม๊ละ จนตอนนี้อะไรที่เราอยากจะเปลี่ยน เราก็มาทำวันนี้
กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จะทำให้คุณเปลี่ยนได้ หลักการ มีอยู่ว่า นิมิตทั้งสามห้ามหาย นิวรณ์ธรรมห้ามเกิด แค่นี้ ถ้าคุณยังทำไม่ได้ ก็คงไม่ต้องไปพูดถึงสิ่งอื่น เพราะอะไร?
เพราะในนิวรณ์มี
๑. กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ใรอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูปเป็นต้น
๒. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ
๕. วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงได้
นิวรณ์ทั้ง ๕ อย่างนั้น ย่นลงใน อกุศลมูล ๓ ได้ ดังนี้
๑. ย่นกามฉันทะ ลงในโลภะ
๒. ย่นพยาบาท ลงในโทสะ
๓. ย่นถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา ลงในโมหะ
ด้วยประการนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เป็นการละกิเลส ไม่ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา ก็แล้วที่ผ่านมา เราทำได้ไหม ที่จะให้จิตใจของเราปราศจากกิเลส (ทำไม่ได้ หรือทำได้น้อย) แต่นี้เรามาปฏิกรรมฐาน ก็เพื่อให้กิเลส ของเราที่มีอยู่มันน้อยลง มิใช่ว่า จะสามารถทำให้กิเลสมันดับลงหายไปหมดได้เลยในทันที(ถ้าใคร่ทำได้ ก็สาธุ ด้วย นั้นหมายความว่า ท่าน สำเร็จ อรหัตผลแล้ว เป็นห่างไกลจากกิเลสแล้ว ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า เรา มาปฏิกัน ก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่า มาทำวันนี้ แล้ว พรุ่งนี้ จะสำเร็จ เป็น พระอรหัน กันเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นี้คือความจริง แล้วการที่ท่าน ทั้งหลายปฏิบัติ กันแล้วไม่ก้าวหน้า ท่านไม่ก้าวหน้า หรือ กรรมฐานไม่ก้าวหน้า ท่าน ได้ ใช้ทุกกระบวนท่า ทุกความสามารถของท่านที่มีอยู่หรือเปล่า เช่น ท่าน มีความเพียรมากน้อยแค่ไหน มีความอดทนมากน้อยแค่ไหน มีความพยายามมากน้อยแค่ไหน มีวิริยะ อุสาห แค่ไหน ไหนลองแสดงสิ่งเหล่านั้นมาให้เพื่อนๆ ได้รู้ได้ดูกันซิ้ หลังจากนั้นแล้ว เราเอง อาจจะเห็นได้ว่า บางที ที่เราว่าเราทำ แล้ว ยังไม่สู้คนอื่นได้เลย แต่เรา เอาตัวเราเป็นหลัก บอกว่ายาก ท่านลองย้อนกลับไปศึกษาดูพระประวัติ ของพระอรหัน แต่ละรูปดูสิ ไม่มีใคร่ที่จะได้มาโดยง่าย โดยสบายเลย(หมายถึงตั้งแต่ท่านเกิด จนตาย) ก็ต้องประสบความลำบากกันบ้างทั้งนั้นแล้วเราละเป็นใคร จะไม่ให้มีอุปสักกวากหนามเลยหรือ
และการที่ท่านบอกว่ายากแน่นอน ก็มันเป็นการเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ ให้สูงยิ่งขึ้น ก็เริ่มตั้งแต่ สละความเห็นแก่ตัว สละ ทานสิ่งของ ท่านได้ทำหรือเปล่า ถ้ายังหรือทำไม่ได้ ก็แน่นอน มันก้ทำให้ท่านไม่สามารถที่จะมาปฏิบัติกรรมฐานอะไรๆได้หรอก ก็มันเริ่มจาก ทาน ศีล ภาวนา ตอนนี้ท่านมีศีล หรือเปล่า ถ้ายังไม่มีก็ไปที่วัดเข้าหาพระอราธนาศีล ทั้งสองอย่างแรกนี้ ถ้าท่ทานทำมาน้อยมีมาน้อย ท่านก็ปฏิบัติกรรมฐานได้น้อย เพราะ ยิ่งชัดเจนว่า นั่งกรรมฐาน ท่านยังคงมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ ในการดำนินชีวิตประจำวัน ท่านก็ต้องไปทำให้สิ่งเหล่านี้มันเกิดน้อยลงด้วย จึงจะมาช่วยในการปฏิบัติ ละชัดเจนว่า ถ้ามันเกิดขึ้นในต้องท่านมานั่งปฏิบัติ ก็หมายความได้ด้วยว่า ท่านมีสิ่งเหล่านั้นมามาก ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องมาสู้กัน ก็อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี
แต่สิ่งเหล่านี้ นี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีดว่า ท่านทั้งหลายจะต้องมีครูเพื่อที่จะได้มีผู้ชี้แนะให้ท่านได้ มิใช่ว่า ท่านทำของท่านเองเพียงแต่ตามลำพัง แล้วบอกว่า มันยาก ต้องเข้าหาครูบาอาจารย์บอกแจ้งกรรมฐาน ความสิ่งที่เกิดขึ้น หรือสอบถามข้อข้องใจ จะได้ถูกแก้ไข กำจัดไป ไม่ค้างคา ถามกลับ ท่านมีการแจ้งกรรมฐานกันบ้างไหม ถ้ามีแล้วมากน้อย บ่อยขนาดไหน แล้วก่อนแจ้ง ท่านได้มานั่งกรรมฐานก่อนแล้ว ตามธรรมเนียมหรือไม่ ถ้าไม่ได้มีเลย ก็เป็นธรรมดาที่ท่านจะปฏิบัติกันไม่ได้ (แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่มีคนปฏิบัติได้เลยนะ)
พวกท่านรู้ไหม หลายคนที่ปฏิบัติเก่งดีแล้ว เขาเหล่านั้นในปัจจุบัน เขาไม่ได้สนใจทีวีกันแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้อ่านกันแล้ว นี้เป็นข้อเปรียบเทียบ ท่านละ ยังคงดู ยังคงอ่านกันอยู่หรือเปล่า ถ้าทำอยู่ แนะนำว่า ให้เลิกดู เลิกอ่าน เพราะ เห็นประโยชน์จะมีน้อย จะยิ่งเป็นการสะสมกิเลส เข้าไปอีกตั้งหาก เช่นว่า เห็นโฆษณาชุดนี้ แล้วอยากได้ นั้น กิเลสเกิดทันที เกิดอยากจะได้ขึ้นมาละ แล้วทำไงทีนี้ ก็พยายามที่จะสนองกิเลสตัวเอง ก็นั้นแหละที่ทำให้ท่าน ๆ ปฏิบัติกันแล้วไมา่ได้ ก็มานั่งกรรมฐาน วันละครึ่งชัวโมง แต่ ดูทีวี เที่ยงกันทั้งวัน ไม่ก็ไม่ได้นะสิ มันก็แพ้กิเลสนะสิ ก็แล้วดูทีวีแล้วมันทำให้ปฏิบัติกรรมบานได้ดีขึ้นไหม อ่านหนังสือพิมพ์แล้วปฏิบัติกรรมฐานได้ดีขึ้นไหม วันนี้พานหัวข่าว โจรใต้ยิ่งทหารดับ อ่านแล้วใจหดหู่ มันทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้นไม๊ หรือ แม่ค้าถูรางวัลที่หนึ่งได้เงินเป็นล้าน แล้วท่านละ อ่านเสร็จก็ยังคงจนอยู่เหมือนเดิม มันไม่ได้ทำให้การปฏิบัติดีขึ้นเลย
ท่านต้อง หันมาปฏิบัติให้มากขึ้น บางคนบอกปฏิบัติมาเป็นปีแล้ว ถามว่า ไอ้ที่ว่า เป็นปีนะ ท่านทำทุกวันหรือเปล่า หรือว่า ทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง แต่พอพูดก็บอกว่าเป็นปี แล้วปฏิบัติวันหนึ่งๆ มากแค่ไหน บางคนก็ครึ่งชั่วโมง บางคน ก็หนึ่งชั่วโมง บางคนก็สองชั่วโมง แล้วท่านคิดว่า จะต้อง ทำวันหนึ่งๆ กี่ชั่วโมงละมันถึงจะได้
ตามประสบการที่ผ่านมา ที่เห็น ถ้าปฏิบัติวันละ อย่างน้อย หนึ่งชั่วโมงทุกวัน ภายในหนึ่งอาทิตย์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว หนึ่งเดือนนี้ตอบตัวเองได้เลยว่า ฉันมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกคน(แต่ต้องปฏิบัติให้ถูกนะ)
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแนะนำ การปฏิบัติที่ควรจะเป็นไป ในส่วนนึง ก็ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับ นักปฏิบัติมือใหม่ ทั้งใหม่ในการปฏิบัติ และใหม่มาจากที่อื่นกรรมฐานอื่น ขอเน้นว่าถ้าท่านาปฏิบัติวันละ อย่างน้อย หนึ่งชั่วโมงทุกวัน ภายในหนึ่งอาทิตย์ จะได้แน่นอน (กลับไปดูวิธีการปฏิบัติทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง)
หรือเอาอย่างนี้กันเลยก็ได้ ให้ท่านทั้งหลายเขียนมาส่ง จะถือเป็นข้อสอบเลยก็ได้ ว่าวิธีการปฏิบัติในฐานจิตแรก ต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าใคร่ไม่สามารถที่จะบอกได้ถูก ก็แสดงให้เห็นได้ว่า ก็ท่านปฏิบัติไม่ถูกต้องตามขั้นตอน อาจจะมีการกระโดด ลัดขั้นตอน หรือลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ไม่ครบตามที่ครูบาอาจารย์บอกสอน
จะเป็นการพิสูจน์ดูได้ด้วย จะลองดูเป็นการตรวจตัวเองก็ได้
(คราวนี้ขอเป็นแบบอารมณ์ดุดันหน่อย จะได้ไปช่วยกระตุ้น)