อุรังคธาตุ..พระธาตุพนม..สถูปสถานหุ้นส่วนแห่งศรัทธา เครือญาติ การเมือง สองฝั่งโขง
คติการสร้างพระมหาสถูปเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมธาตุในดินแดนไทย เป็นสิ่งที่มีพัฒนาการมาแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อันเป็นระยะเวลาที่มีหลักฐานให้เห็นว่ามีการสร้างศาสนสถานที่เป็นถาวรวัตถุชัดเจน เกิดการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นหลักของบ้านเมืองและท้องถิ่นเรื่อยมา จนถึงการสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลที่เคารพกันขึ้นอย่างมากมาย
(ศรีศักร วัลลิโภดม. ความหมายพระบรมธาตุในอารยธรรมสยามประเทศ, ๒๕๓๙, น. ๑๔๑.) ดินแดนแถบถิ่นลุ่มน้ำโขงโดยเฉพาะกลุ่มวัฒนธรรมลาว ทั้งไทยอีสานและ สปป.ลาว
หากกล่าวถึงพุทธศิลป์ประเภทศาสนาคาร คงไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดถูกพูดถึงถกเถียงในวงวิชาการหรือเป็นที่รู้จักและสนใจของประชาชนได้มากเท่ากับเรื่องราวอุรังคธาตุ หรือที่เรียกกันอย่างสามัญว่าพระธาตุพนม
(จารึกโบราณของวัดพระธาตุพนมที่สร้างในปี ๒๑๕๗ เรียกว่าพระสารีริกธาตุ พระมหาธาตุเจ้า หรือมหาธาตุเจ้า)
ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำของ (โขง) ปัจจุบันคือเขตอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
พระธาตุพนมมักถูกหยิบยกพูดถึงในประเด็นมิติมุมมองที่หลากหลายศาสตร์สาขา โดยเฉพาะองค์ความรู้ทางศิลปศาสตร์ อันประกอบด้วยชุดความรู้ต่างๆ เช่นในด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี
โดยมีตำนานอุรังคธาตุ ซึ่งเป็นหลักฐานอ้างอิงบอกเล่าที่มาว่าเป็นมหาธาตุเจดีย์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในภาคอีสาน โดยสร้างขึ้นตามพุทธทำนายตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล
นอกจากนี้ยังบอกเล่าถึงพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมในดินแดนแถบนี้ แต่ละยุคสมัย โดยสาระเรื่องราวจำแนกออกเป็น
๑. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบถิ่นนี้ และ
๒. เรื่องราวการเคลื่อนย้ายติดต่อสัมพันธ์กัน และภูมิสัณฐานแห่งการสร้างบ้านแปลงเมือง การบรรจุพระอุรังคธาตุและการสร้างตลอดจนบูรณะพระธาตุพนม เป็นเรื่องของการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นหรือบ้านเมืองต่างๆ
ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ มีการก่อรูปและกลายร่างซ้อนทับรสนิยมในเชิงช่างในแต่ละยุคสมัยกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเงื่อนไขตัวแปรแห่งบริบทพัฒนาการทางสังคมการเมืองเรื่องคติความเชื่อและวิถีวัฒนธรรมทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในประเด็นความเก่าแก่หรือการกำหนดอายุสมัยการสร้างโดยเฉพาะในช่วงแรก อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔ โดยมีลักษณะรูปแบบอย่างเทวาลัย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนตามลัทธิความเชื่อในศาสนาฮินดู และช่วงที่ ๒ ประมาณราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๗ ปรับเปลี่ยนรูปแบบตามลัทธิความเชื่ออย่างพระพุทธศาสนานิกายมหายาน
โดยต่อมาในช่วงปี พ.ศ. ๒๒๓๓-๓๕ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบและคติความเชื่อเป็นพุทธแบบเถรวาท โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีการเรียบเรียงตำนานอุรังคธาตุในฐานะตำนานประวัติศาสตร์ เพื่อใช้อธิบายที่ไปที่มาขององค์พระธาตุกับสายสัมพันธ์อันแสดงความเป็นเครือญาติเดียวกัน โดยมีองค์พระธาตุพนมเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาความเชื่อ ที่เชื่อมโยงผู้คนที่แตกต่างทางลัทธิความเชื่อเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน
แม้จะผ่านการซ่อมสร้างมาอย่างต่อเนื่องแต่ส่วนที่ถูกปรุงแต่งใหม่น้อยที่สุดคือส่วนฐานที่แสดงให้เห็นร่องรอยความเก่าแก่ในยุคแห่งการสถาปนาตามคติฮินดู ด้วยรูปกายสังขารแบบเทวาลัย อย่างในวัฒนธรรมจาม รวมถึงวัฒนธรรมเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร
ส่วนการกลายร่างเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือตัวเรือนยอด ตั้งแต่วัฒนธรรมลาวเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากโดยเฉพาะการซ่อมสร้างในปี พ.ศ. ๒๒๓๓-๓๕ สมัยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก พระเถระชาวลาวเวียงจันทน์
โดยมีเอกลักษณ์สำคัญที่รูปแบบในส่วนที่ภาคกลางเรียกว่าองค์ระฆัง หรือรูปลุ้งคว่ำ บ้างก็เรียกทรงโกศ (ฝั่ง สปป.ลาวนิยมเรียกว่ายอดดวงปลี) ซึ่งนักวิชาการไทยในยุคหลังนิยมเรียกว่าทรงบัวเหลี่ยม ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่พบมากที่สุดในรูปแบบของธาตุสายสกุลช่างล้านช้างรวมถึงอีสาน เช่นที่ พระธาตุพนม พระธาตุก่องข้าวน้อย และพระธาตุเชิงชุม
ซึ่ง อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และ อาจารย์พิเศษ เจียจันทรพงษ์ ได้ตั้งข้อสังเกตร่วมกันถึงที่มาว่า เป็นพัฒนาการต่อยอดมาจากรูปสถูปที่ปรากฏอยู่บนกลางใบเสมาหินในดินแดนอีสานสมัยทวารวดี ตามเมืองโบราณในแถบลุ่มน้ำชี
มิติทางการเมืองและความหมายเชิงสัญญะ พระธาตุพนมก็เหมือนกับศิลปะงานช่างวัตถุสถานอื่นๆ ที่ล้วนมีนัยยะทางการเมืองอยู่ร่วมเสมอ เฉกเช่นในยุค พ.ศ. ๒๒๓๓-๓๕ สมัยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กมาซ่อมสร้าง ก็ใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่จะหลอมรวมผู้คนเป็นฐานอำนาจทางการเมือง ในยุคที่อีสานยังอยู่ในวัฒนธรรมลาวเป็นกระแสหลัก จนมาถึงยุคการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา
โดยรัฐไทยสอนให้เชื่อและศรัทธาความเป็นไทยแบบเชื้อชาติเดียว ภายใต้ข้ออ้างหนึ่งที่มักถูกหยิบยกมาเสมอคือเรื่องลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในบริบทของอินโดจีน
เพราะฉะนั้นการบูรณะซ่อมสร้างองค์พระธาตุพนมในยุคนี้จึงไม่เคารพต่อรูปแบบงานช่างท้องถิ่นอีสาน โดยในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ยุคปฏิรูปศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทยฉบับแห่งชาติ) ภายใต้การอำนวยการของหลวงวิจิตรวาทการ
ซึ่งขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมศิลปากร ได้นำเข้ากลุ่มช่างและรูปแบบศิลปะโดยเฉพาะการตกแต่งด้วยลวดลายแบบเครื่องคอนกรีตสกุลช่างภาคกลาง โดยการต่อยอดให้สูงขึ้นไปอีกเพื่อสถาปนาความยิ่งใหญ่ให้มองเห็นได้แม้ในฝั่ง สปป.ลาว ทำให้ส่งผลต่อความมั่นคงทางโครงสร้างจนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดการพังทลายในอีก ๓๕ ปีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และเป็นที่น่าเสียดายที่รัฐไทยยุคต่อมายังคงแนวคิดเดิมในการบูรณะองค์พระธาตุด้วยรูปแบบดังกล่าว
พระธาตุพนมในวิถีสังคมใหม่ ถูกนำไปเป็นภาพตัวแทนของพระธาตุแห่งอีสาน (อย่างจอมเจดีย์ทั้ง ๘แห่งในเมืองไทยซึ่งเป็นสัญญะแทนความหมายของเส้นเขตแดนของอำนาจทางการเมืองของรัฐไทย) และท้ายสุดถูกลดฐานานุศักดิ์จากรูปแบบพระธาตุของพระพุทธเจ้า มาสู่ลักษณะธาตุโหลที่ใช้บรรจุอัฐิชาวบ้านทั่วไป 
ดังนั้นแม้ในวงวิชาการด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ยังคงมีข้อถกเถียงที่ไม่มีบทสรุปว่าสถูปสถานแห่งนี้มีอายุเท่าใด ใครเป็นผู้สร้าง แต่ด้วยอำนาจของเรื่องเล่าขานผ่านตำนานต่างๆ โดยเฉพาะตำนานอุรังคธาตุ ทำให้เรามองเห็นภาพประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ซึ่งมีผู้คนพื้นถิ่นต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมปะทะสังสรรค์ด้วยรสนิยมทางศิลปะเชิงช่างทั้งของพื้นถิ่นหรือวัฒนธรรมภายนอกจากเวียดนาม กัมพูชา และลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ซึ่งบูรณาการซ้อนทับกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมผ่านการเป็นหุ้นส่วนทางศรัทธาความเชื่อเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงแห่งบริบททางสังคมการเมืองเรื่องวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัยว่าใครมีอำนาจรัฐเหนือกว่าใคร
ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นความเป็นเครือญาติที่มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในลักษณะถ่ายมาเทไปของผู้คนในแถบถิ่นนี้ที่มีมาช้านานและต่อเนื่อง ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344675009&grpid=03&catid=&subcatid=http://a7.sphotos.ak.fbcdn.net/ติ๊ก แสนบุญ เล่าเรื่อง ศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม 2555