หลวงตาจันทร์กับตาจันทร์..ศรัทธายังเหมือนเดิม
หลวงตาจันทร์กับตาจันทร์ ในวันที่ศิษย์..ศรัทธาเท่า "พระเทพสิทธิญาณรังสี" : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
"พระเทพสิทธิญาณรังสี" หรือ หลวงตาจันทร์ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าชัยรังสี ต.บ้านเกาะอ.เมือง จ.สมุทรสาคร สมัยบวชเป็นพระก็มีชื่อเสียงโด่งดังโดยเฉพาะเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ท่านตกเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนวงการพระครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นการเสนอรายชื่อเลื่อนสมณศักดิ์มาแบบเหนือเมฆโดยไม่ผ่านการพิจารณาตามลำดับขั้นตอนถึง ๖๐ รูปเมื่อสึกออกมาก็ดังไม่หยุด ทุกย่างก้าวยังอยู่ในความสนใจของผู้คนจำนวนมากกระทั่งถึงทุกวันนี้
หลังสละจากผ้าเหลืองท่านใช้ชื่อตามบัตรประชาชนว่า"นายจันทร์ อาจหาญ" อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๐๑/ ๕๐๑ หมู่บ้านปรีชา ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้มอ.สามพรานจ.นครปฐมโดยมีลูกศิษย์เป็นคนจัดหาให้ แต่ละวันจะมีลูกศิษย์ทั้งที่เป็นพระและฆราวาสแวะเวียนไปหาเป็นประจำตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ส่วนอาหารการกินจะมีลูกศิษย์นำมาส่งให้เป็นประจำ ทั้งพระที่เคยเป็นลูกศิษย์และลูกศิษย์ที่นับถือกันเมื่อครั้งยังเป็นพระ มักจะหาของโปรดของชอบมาฝากทุกวัน ยกเว้นวันไหนมีแขกที่คุ้นเคยมาบ้านก็จะลงมือทำอาหารเลี้ยงแขกด้วยตัวเอง อาหารจานเด็ดที่ชอบทำมากคือ ต้มโคล้งปลาดุกนา และน้ำพริกปลาร้า ที่ทุกคนกินแล้วต้องยกนิ้วให้
กิจวัตรประจำวันคือรับแขกเป็นงานหลักบางโอกาสลูกศิษย์จะเชิญไปเจิมร้าน เจิมบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่อยู่แถบฮ่องกง และสิงคโปร์ มักจะตีตั๋วให้บินไปเจิมร้านอยู่เป็นประจำ
ชนิดที่เรียกว่า "มากกว่าเมื่อครั้งเป็นพระเทพสิทธิญาณรังสีด้วยซ้ำ"
และกิจวัตรอย่างหนึ่งที่อดีตหลวงตาจันทร์ทำมาตั้งแต่สึกมาจนถึงทุกวันนี้ คือ สวดมนต์ โดยเฉพาะวันพระจะนิมนต์พระมาร่วมสวดมนต์ในห้องพระที่บ้านตลอดทั้งคืน โดยทุกๆ วันพระจะมีลูกศิษย์เดินทางไปร่วมสวดมนต์ ทั้งนี้หากเป็นวันพระที่ตรงกับเสาร์-อาทิตย์ จะมีมากหน่อย ส่วนวันธรรมดาก็น้อยลงบ้าง
ส่วนสรรพนามที่ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยจะเรียกชื่อติดปากว่า "หลวงตาจันทร์" เช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังเป็นพระ ส่วนคนที่นับถือรายใหม่ๆ ก็จะเรียกว่า "อาจารย์จันทร์" โดยอดีตหลวงตาจันทร์ยืนยันว่า "จะเรียกชื่ออย่างไหนก็ได้เพราะชื่อเป็นของสมมุติทั้งนั้น และที่นี่เป็นบ้านไม่ใช่สำนักเหมือนที่อื่นๆ ชอบเรียกกัน บ้านคนจะเรียกว่าสำนักได้อย่างไร เพราะไม่มีการทรงเจ้าเข้าทรง"
อดีตหลวงตาจันทร์บอกว่า เป็นพระหรือฆราวาสไม่ใช่ข้อจำกัดของการปฏิบัติธรรม
การโกนหัวห่มจีวรที่เขาเรียกว่า "พระ" ใช่ว่าจะมีศีลครบ ๒๒๗ ข้อ หรือละกิเลสได้เสมอไป
ขณะเดียวกันการใส่เสื้อผ้าปกติที่เรียกว่า "ชาวบ้าน" หรือ "ฆราวาส" ก็สามารถปฏิบัติได้ไม่แพ้พระ
ไม่ต่างอะไรกับข้าราชการทการ ไม่ว่าจะเป็นทหารบก ทหารเรือ รวมทั้งทหารอากาศ ต่างก็เป็นหารของกองทัพทำหน้าที่ปกป้องประเทศ เพราะทั้งพระทั้งฆราวาสต่างก็เป็นพุทธบริษัท ๔ มีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา
ดังที่พระพุทธเจ้าฝากพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท ๔ และบุคคลทั้ง ๔ นี้ สามารถปฏิบัติตนให้บรรลุธรรมได้เช่นกัน 
อย่างไรก็ตามเมื่อครั้งที่ยังเป็นพระเทพสิทธิญาณรังสีสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อ คือ
"หลวงตาเป็นพระที่ให้หวยแม่นมาก เจ้ามือไม่รับแทง"
ซึ่งไม่ต่างเลขที่เกี่ยวข้องกับพระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา
ทุกวันนี้เมื่อถึงวันเกิด เลขที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นปีเกิด (พ.ศ.๒๔๙๕) เลขที่บ้าน เลขทะเบียนรถ เบอร์โทรศัพท์มือถือ กลายเป็นเลขเด็ดของลูกศิษย์
จนต้องปลดเลขที่บ้านออก หมู่บ้านปรีชาจนกลายเป็น "บ้านไม่มีเลขที่"
ทั้งนี้ ใครอยากไปพบใช่ว่าจะหาไม่เจอ เพียงแค่ถามว่า "บ้านหลวงตาจันทร์อยู่ไหน" ใครๆ ก็รู้
ทั้งนี้ หากใครถามว่า "ปีนี้อายุเท่าไร" เพื่อไปเล่นหวยก็จะได้รับคำตอบว่า"มากว่าปี่ที่แล้ว ๑ ปี"
นอกจากให้โชคลาภแล้วลูกศิษย์มักจะให้หลวงตาจันทร์เป่ากระหม่อมให้ตามความเชื่อ แม้เป่าเสร็จหัวจะแดงไปด้วยสีหมาก ที่หลวงตาจันทร์กินอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
รวมถึงการลงนะหน้าทอง ที่อดีตหลวงตาจันทร์จะนำแผ่นทองคำเปลว ๙ แผ่นขนาดเท่าฝ่ามือมาเสกเป่า
แล้วให้คนมาลงนะหน้าทอง ทาที่ใบหน้าและลำคอ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทองคำเปลวหายในพริบตาไม่เหลือแม้แต่เศษทองคำเปลว
สำหรับคณะ ลิเกหลวงตาจันทร์ เปิดโรงครั้งแรกวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ที่บ้านย่านพุทธมณฑล ชื่อคณะ "หนุ่มพุทธมณฑล คณะปัญจพล อาจหาญ" คณะลิเกของอดีตหลวงตาจันทร์ ตั้งคณะมา ๗ ปี แล้วโดยอดีตหลวงตาจันทร์มักจะรับบทเป็นเจ้าเมือง ส่วนพระเอกและนางเอก จะเปลี่ยนตลอดเวลา แล้วแต่อารมณ์หลวงตาจะเป็นผู้กำหนด ถ้าแม่ยกคิดจะมาเฝ้าพระเอกคนใดคนหนึ่งอาจต้องผิดหวัง
โดยรับงานแสดงทั่วประเทศ ส่วนราคาค่าจ้างถ้าเป็นการแสดงในจังหวัดภาคกลางต้องไม่ต่ำกว่า ๑๒๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าเป็นไกลว่านั้นต้อง ๒๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าแพง
ทั้งนี้ อดีตหลวงตาจันทร์บอกว่า "ฉันไม่ใช้ลิเกขอทาน เฉพาะฉากเวทีการแสดงและเครื่องเสียงต้องใช้รถบรรทุก ๖ ล้อ๓ คันบรรทุกส่วนนักแสดงมีกว่า ๗๐ ชีวิตคณะลิเกของฉันดังไปถึงมาประเทศเลเซีย โดยปีห
น้าจะไปแสดงที่วัดในมาเลเซีย ๙ คืน เพื่อช่วยวัดไทยและให้คนไทยที่มาเลเซียได้ดู"
เมื่อถามถึงเงินรายได้จากการเล่นลิเกรวมทั้งเงินที่ได้จากศรัทธาขของลูกศิษย์ อดีตหลวงตาจันทร์ บอกว่า เอาไว้ทำบุญอย่างเดียว โดยมีหลักในการทำบุญ คือ ทำไปเรื่อยๆ มีเพื่อให้ ได้เพื่อสละ โดยไม่เลือกวัด แต่ก็จะดูเรื่องความเหมาะสมเป็นหลัก โดยเฉพาะทำบุญแล้วเพิ่มกิเลสให้พระ หรือว่าพระต้องการลดกิเลส ที่เรียกว่า การทำบุญอย่างฉลาดนั้น อย่ามุ่งแต่ศรัทธาอย่างเดียว ต้องเอาปัญญามาเป็นที่ตั้งด้วย มีเงินก็ต้องใช้อย่างมีสติ 
คติธรรมาจากอดีตหลวงตาแก่ๆ "ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทุกคนเมื่อคิดจะเป็นผู้นำ ผู้บริหารประเทศ ไม่ว่าฝ่ายพุทธจักร ฝ่ายอาณาจักร
ให้คิดอยู่เสมอๆ ว่า เป็นผู้นำแก้ปัญหาเพื่อยุติปัญหา ไม่ใช่เป็นผู้นำ ไม่ใช่เป็นนักบริหาร แก้ปัญหาเพื่อสร้างปัญหา บ้านเมืองจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่บ้านเมือง
อย่างบ้านที่เราอยู่ ถ้าคนอยู่ไม่ทำความสะอาด ไม่รักษาบ้าน
ในที่สุดบ้านก็โทรมและอาจจะพังทลายลงมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แต่ถ้าคนในบ้าน ทำความสะอาด รักษาบ้าน ก็กลายเป็นบ้านที่น่าอยู่"
นี่เป็นส่วนหนึ่งของคติธรรมที่อดีตหลวงตาจันทร์ฝากไว้เป็นข้อคิด
แม้วันนี้อดีตหลวงตาจันทร์จะไม่ได้อยู่ในสมณเพศนุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็ตามทุกครั้งที่ลูกศิษย์มาหาไม่ว่าจะด้วยธุระและเหตุผลใดก็ตาม เขาก็ยังคงทำหน้าที่เผยแผ่หลักธรรมตั้งแต่ลาสิขาจากสมณเพศ ยิ่งเมื่อได้ตั้งคณะลิเก ทุกครั้งเมื่อถึงบทร้องก็จะสอดแทรกหลักธรรม และธรรมะสำหรับชีวิตประจำวันเสมอๆ ชนิดที่เรียกว่า "คนดูลิเกได้ฟังธรรมโดยไม่รู้ตัว"
อดีตหลวงตาจันทร์พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "การเป็นพระไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง ไม่อยู่ที่การโกนหัว รวมทั้งไม่ได้อยู่ที่วัด หากอยู่ที่ใจ อยู่ที่การปฏิบัติ ทั้งนี้ เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกแห่ง ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ใครคิดว่าปฏิบัติธรรมเมื่อเข้าวัดนั้น ต้องคิดเสียใหม่ ไม่ว่าเราอยู่ในที่ไหน สถานภาพใดเราต้องมีธรรมะอยู่เสมอ ที่สังคมวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เพราะคนไม่มีธรรม อย่าว่าแต่คนเลย พระอยู่ที่วัดแท้ๆ ยังขาดธรรมะ สังคมพุทธจักร พระสงฆ์จึงวุ่นวาย" ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121029/143445/หลวงตาจันทร์กับตาจันทร์ศรัทธายังเหมือนเดิม.html#.UI8v3mfvolh