ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่อท่านแช่ม พระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษ.."บนปิดทองที่ตัวท่านได้"  (อ่าน 1773 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29312
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พ่อท่านแช่ม พระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษ

ผมเพิ่งนำคณะของ SCG ไปเที่ยวภูเก็ตมาครับ มีประวัติของพระภิกษุรูปหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ ชาวภูเก็ตเรียกท่านว่า "พ่อท่านแช่ม" แม้ว่าปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานกันอย่างไม่จืดจาง ผมจึงอยากขอนำเรื่องราวของพ่อท่านแช่มนี้มาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ

ท่านเป็นชาวถลางโดยกำเนิด คำว่า ''ถลาง'' เป็นชื่อเก่าแก่ที่ใช้เรียกเกาะภูเก็ตทั้งเกาะครับ ปัจจุบันลดฐานะลงมาเหลือเป็นแค่ตำบลหนึ่งของเกาะภูเก็ตเท่านั้น ท่านเกิดราวปี พ.ศ.2370 หรือในช่วงรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ตอนเด็กๆ บิดามารดาของท่านนำไปฝากเรียนไว้ที่วัดฉลอง ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองถลาง
     จนเมื่อมีความรู้แตกฉานอ่านสวดได้ระดับหนึ่ง จึงบรรพชาเป็นสามเณร
     ครั้นอายุครบบวชก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้
     ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจนเรียกว่าได้ญาณวิเศษ
     และในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าวัด หรือเจ้าอาวาสวัดของวัดนี้


ต่อมาเมื่อท่านมีอายุได้ 49 ปี ตรงกับ พ.ศ.2419 รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีชาวจีนที่อพยพมาจากแถบตอนใต้ของจีน ส่วนใหญ่เป็นชาวฮกเกี้ยน เข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ที่เมืองถลางเป็นจำนวนมากนับหมื่นๆ คน และได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่ม "อั้งยี่" และยกกำลังเข้าโจมตีหมู่บ้านและชุมชนตำบลต่างๆ ในเกาะถลาง
     บรรดาข้าราชการบ้านเมืองและราษฎรสู้ไม่ได้ ก็แตกลี้หนีตายกระจัดกระจายกันเข้าป่าไปหมดสิ้น
     ครั้งนั้นพวกจีนอั้งยี่เกือบจะยึดอำนาจการปกครองของเมืองถลางไปได้โดยเบ็ดเสร็จ
     เมื่อจีนอั้งยี่เหล่านั้นยกกองกันมาปล้นสะดมที่วัดฉลองแห่งนี้
     ราษฎรเป็นจำนวนมากที่เข้ามาอาศัยหลบซ่อนอยู่ในบริเวณวัด
     ต่างก็อ้อนวอนขอให้ พ่อท่านแช่มละทิ้งวัด และหนีเข้าป่าไปกับพวกตน



แต่พ่อท่านแช่มปฏิเสธ และกล่าวว่าท่านจำพรรษาอาศัยอยู่ที่วัดนี้มาแต่เล็กแต่น้อย และท่านเองก็เป็นเจ้าวัด จะไม่ขอหนีไปไหนทั้งสิ้น บรรดาเหล่าชาวบ้านเมื่อได้ทราบความนี้ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
      จะขอตายอยู่กับพ่อท่านแช่ม และขอเอาบารมีของพ่อท่านเป็นที่พึ่ง
      พ่อท่านเเช่มจึงได้ปลุกเสกผ้าประเจียดยันต์แจกให้ชาวบ้านจนทั่วทุกตัวคน เพื่อไว้ใช้คาดหรือโพกศีรษะ
      เมื่ออั้งยี่ยกเข้ามาปล้นสะดมครั้งใดก็สามารถป้องกันและขับไล่อั้งยี่ล้มตาย พ่ายแตกไปได้ทุกครั้ง


      กิตติศัพท์เหล่านี้ได้เลื่องลือออกไป พวกที่หนีไปอยู่ในป่าก็พากันออกมา และเข้าร่วมเป็นศิษย์ของพ่อท่านแช่มมากขึ้นทุกที จนอั้งยี่ตั้งค่าหัวให้พ่อท่านตอนนั้น เป็นมูลค่าถึง 5,000 เหรียญ ซึ่งนับว่ามากโข และอั้งยี่ก็ตั้งฉายาให้เหล่าชาวบ้านว่า "พวกหัวขาว" เพราะมีผ้าประเจียดยันต์ของพ่อท่านแช่มคาดหัวอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวคน สุดท้าย กองทัพจีนอั้งยี่ก็แตกทัพยับเยินไป ไม่อาจทานกำลังเหล่าชาวบ้านฉลองได้

    เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พ่อท่านแช่มขึ้นไปยังพระนคร ได้พระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุธิวงศาจารย์ญาณมุนี" ดำรงตำแหน่งสังฆปาโมกข์ แห่งเมืองภูเก็ต พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดฉลองใหม่ว่า "วัดไชยาธาราราม"
     ว่ากันว่าในครั้งนั้นมีเจ้าจอมของรัชกาลที่ 5 ท่านหนึ่งป่วยเป็นอัมพาตเรื้อรังรักษาไม่หายขาด
     พ่อท่านแช่มได้ทำน้ำมนต์ให้ดื่มและอาบ จึงได้ทุเลาเร็วจนถึงขั้นลุกขึ้นนั่งได้เลย เป็นที่อัศจรรย์



ในระหว่างเดินทางกลับเกาะถลางหรือภูเก็ต ท่านถูกโจรเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ในขณะที่บริวารของท่านหลับใหลไม่ได้สติด้วยยาเป่าของโจร หากแต่ท่านเจริญสมาธินิ่งอยู่และไม่เป็นอะไรเลย แถมโจรก็ไม่เห็นตัวท่าน โจรที่พากันมานั้นมีหลายคน แฝงตัวมาในความมืด ซ่อนตัวอยู่ใต้ศาลาที่พัก และเอื้อมมือขึ้นมาควานหาทรัพย์สินอย่างเปะปะ พ่อท่านแช่มเห็นอยู่นาน ด้วยความรำคาญจึงช่วยดันของนั้นให้เข้ามือโจร

      ครั้นโจรได้ทรัพย์สินและพากันกลับไปแล้ว บริวารทั้งหลายจึงฟื้นตื่นขึ้นและได้ไปแจ้งแก่เจ้าเมืองและหมู่ชาวบ้าน ซึ่งต่างก็อาสาที่จะไปติดตามโจรมาให้
      ท่านก็บอกว่า "ไม่ต้อง เดี๋ยวมันก็เอามาคืนเอง" ขาดคำท่านไม่นาน
      หมู่โจรก็หามนายโจรที่กำลังร้องครวญคราง บิดตัวไปมาด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้อง
      มาหาท่านพร้อมทรัพย์สินที่ลักขโมยไป ยอมมอบตัวแก่ทางราชการโดยดี


      เมื่อเจ้าเมืองจะลงโทษทัณฑ์สถานหนัก ท่านก็ขอบิณฑบาตไว้และขอให้ปล่อยตัวไป
      เพราะท่านหยั่งรู้ว่าโจรนั้นจะกลับใจอย่างแน่นอน


   
    ด้วยความที่พ่อท่านแช่มมีอิทธิฤทธิ์สมบัติสูง กับทั้งยังช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
    นอกจากนั้นยังสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ จึงมีผู้คนรำลึกพระคุณมากมาย
    และขอปิดทองที่ตัวท่านขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ท่านจะปฏิเสธในระยะแรก
    แต่ต่อมาก็ต้องผ่อนปรนให้ปิดทองได้ตามแขน ขา และที่เท้า
    ดังนั้นในเวลาที่ท่านมีกิจนิมนต์เข้าไปในตัวเมือง เมื่อกลับคืนวัดก็จะมีทองคำเปลวปิดตามตัวท่านระยิบระยับไปหมด


    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังได้ทรงกล่าวไว้ว่า
    ในบรรดาการปิดทองแก้บนที่ตัวพระนั้น
    เห็นจะมีแต่เฉพาะพ่อท่านแช่มองค์เดียวเท่านั้น ที่มีการปิดทองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


    เรื่องราวการปิดทองที่ตัวของท่านนั้น มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เล่าสู่กันฟังไม่รู้จบ คือมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะล้นๆ และออกจะทะลึ่งทะเล้น มีอาการปวดท้องปวดไส้ เมื่อพ่อเเม่พาตัวมาหาท่านเพื่อการรักษา สาวน้อยนางนี้ก็แอบบนในใจว่า 'ถ้าหายป่วยจะขอมาปิดทอง ถวายที่อวัยวะเพศของพ่อท่านแช่ม'
    ครั้นเมื่อกลับถึงบ้าน อาการต่างๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ด้วยความอับอายในความอุตริของตนเอง
    จึงไม่กล้าที่จะบอกใครเรื่องการบน วิตถารในครั้งนี้ และใช้วิธีนิ่งเงียบเพื่อให้เวลาผ่านไป


   
    ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านแช่ม แค่เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
    หญิงสาวคนนั้นก็ปวดท้องซ้ำขึ้นมาอีกและมากกว่าเดิม
    อาการลักษณะนี้คนโบราณจะทราบได้ดีว่าเป็นอาการของการ "ค้างบน"


    ดังนั้นพ่อแม่จึงคาดคั้นเอากับหญิงสาว จนทราบความจริงในที่สุด เมื่อหอบหิ้วกันมาถึงวัดและได้รับการรักษาจนหายอีกครั้ง แล้วจึงแจ้งความประสงค์ที่จะแก้บนให้ท่านได้รับทราบ ลองนึกดูสิครับว่า ถ้าเราๆ ท่านๆ เป็นพ่อท่านแช่ม เราจะทำตัวอย่างไร
    ในครั้งนั้นพ่อท่านแช่มได้แก้ไขสถานการณ์ด้วยการนั่งทับไม้ตะพดหรือไม้เท้า ของท่านไว้
    แล้วแหย่ออกมาจากใต้จีวรหว่างขาของท่าน เพื่อให้หญิงสาวนั้นได้ปิดทองที่หัวไม้เท้าสมความปรารถนาที่ได้บนไว้ เฮ้ออออ...โล่งอกไปที


    พ่อท่านแช่มมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงปี พ.ศ.2451 จึงได้มรณภาพ ซึ่งก็เป็นเพียง 2 ปี ก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะเสด็จสวรรคต ด้วยคุณความดีแห่งการเสียสละเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ชื่อเสียงและเกียรติยศของท่านจึงถูกจารึกเล่าขานเป็นตำนานแห่งคุณความดีสืบ มาจนทุกวันนี้.

เผ่าทอง ทองเจือ
www.facebook.com/paothong.pan
www.facebook.com/paothong.thongchua


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/319053
http://yutphuket.files.wordpress.com/,http://www.phukettrip4u.com/,http://www.holidaythai.com/,http://www.ktc.co.th/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2013, 10:44:54 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

komol

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +7/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 643
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สาธุ กับ พระอาจารย์ใน สายกรรมฐาน มัชฌิมา ภูเก็ต

 thk56 st11 st12
บันทึกการเข้า
พลังจิต พลังปราณ พลังสมาธิ เป็นพลังสมดุลย์ เพื่อปัญญา