ขอพร
การเซ่นสรวงบูชาวิงวอนขอ มีมาตั้งแต่ปฐมบรรพ์ และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ขอให้ประสบโชคลาภ ขอให้แคล้วคลาดปราศจากภยันอันตราย และอีกหลายอย่างที่พร่ำขอกัน ขอแต่ไม่ยอมกระทำจะสำเร็จได้อย่างไร แม้ได้ตามที่ขอก็เพราะบุญเก่ามาประจวบเหมาะให้ผลมากกว่า (อดีตเหตุไม่มีทฤษฏีบังเอิญ) ถ้าขอแล้วได้ผลกันจริง ๆ ก็คงไม่มีใครผิดหวัง เราคงขอไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายได้ ในครั้งพุทธกาลเขาขอเพื่อให้ มิใช่ขอเพื่อได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมรพระวรกายหมักหมมด้วยของเป็นโทษประสงค์จะฉันยาถ่าย รับสั่งให้พระอานนท์ทราบ พระอานนท์รับทราบ นำความไปบอกแก่หมอชีวก หมอชีวกจึงเข้าไปทูลถวายพระโอสถ เพื่อให้พระผู้มรพระภาคเจ้าถ่าย ๓๐ ครั้ง หลังจากที่พระองค์เสวยพระโอสถและทรงถ่าย ๓๐ ครั้งแล้ว พระวรกายก็กลับเป็นปรกติดังเดิม หมอชีวกถือผ้าสิไวยกะคู่หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์ทูลขอพรอย่างหน่ึงจากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าข้า"
"ตถาคตทั้งหลายเลิกให้พรแล้ว ชีวก"
"ข้าพระองคฺทูลขอพรที่เหมาะสม และไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า"
"ถ้าเช่นนั้น ก็พูดมาเถิด"
"พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทรงถือผ้าบังสุกุลอยู่เป็นวัตร ผ้าสิไวยกะคู่นี้เป็นผ้าเนื้อดีชั้นเลิศ เยี่ยมกว่าผ้าอีกหลายแสนคู่ ขอพระองค์โปรดรับผ้าสิไวยกะคู่หนึ่งนี้เถิด และโปรดอนุญาตคหบดีจีวร (จีวรที่ชาวบ้านจัดถวาย) แก่พระภิกษุสงฆ์ให้นุ่มห่มได้"
ปัจจุบันญาติโยมที่มาทำบุญถวายทานภัตกิจเสร็จลง พระสงฆ์ก็ให้พรเป็นภาษาบาลี และบางถิ่นที่พระสงฆ์ออกเดินรับบิณฑบาตก็ให้พรย่อเป็นภาษาบาลีเช่นกัน ซึ่งการให้พรนั้น ก็ขอให้ประสบความสุขความเจริญ ว่าตามความจริง ความสุขความเจริญ หรืออายุ วรรณะ สุขะ พละ นั้น ให้กันไม่ได้ ต้องเกิดจากการปฏิบัติอย่างถูกวิธี เช่น ถ้าต้องการให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ก็ต้องรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ และหมั่นออกกำลังกาย พระสงฆ์ให้พรจึงเป็นเพียงการให้กำลังใจ หรือทำให้ญาติโยมมีความรื่นเริงบันเทิงใจในทานการกุศล แต่ถ้ากล่าวตามนัยพระไตรปิฏกแล้ว การขอพรและให้พรนั้นต้องเนื่องด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ พรเป็นกิจกรรมที่ทุกคนยอมรับ และเป็นข้อปฏิบัติที่ควรปฏิบัติร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและคนอื่น สรุปได้ว่า พรนั้นต้องเอื้อประโยชน์ และจะเกิดประโยชน์ได้จริงก็ต่อเมื่อกระทำเท่านั้น
ติดตาม บล็อก ได้ที่ :
http://2351teen.blogspot.com/2013/10/blog-post.html