ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - Admax
หน้า: 1 ... 22 23 [24]
921  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิธีการปฏิบัติ และ พิจารณา ใน สมถะ-วิปัสนากัมมัฏฐาน (วิถี Admax) เมื่อ: เมษายน 26, 2012, 01:41:52 pm
ข. การออกจากสมาธิ (ตามวิถี Admax)

เมื่อเราเข้าสมาธิได้แล้ว เมื่อสภาพจิตมีสมาธิมาก มีจิตจดจ่อมากขึ้น หากอยู่เราออกจากการทำสมาธิเลย หรือกระทำการใดๆโดยฉับพลัน จะทำให้สภาพสมาธิจิตที่ยังคลุมกายและใจอยู่นั้นไม่คลายตัว เป็นเหตุให้หลายๆคนปวดตัวบ้าง ปวดกล้ามเนื้อบ้าง หมดแรงบ้าง หนักตัวบ้าง ไม่รู้สึกสงบ เบาบาง ผ่องใสเมื่อออกจากสมาธิ ดังนั้นหากได้ปฏิบัติเข้าสมาธิเสร็จแล้วจะถอยออกจากสมาธิให้ปฏิบัติดังนี้
๑. หายใจเข้าลึกๆจนสุดใจแล้วกลั้นไว้ นับในใจ 1-10  แล้วหายใจออกยาวๆจนสุดใจแล้วกลั้นไว้ นับในใจ 1-10  ทำเช่นนี้สักประมาณ 3-5 ครั้งตามแต่สะดวก
๒. ลืมตาตื่นขึ้นมองไปข้างหน้าพร้อมกับหายใจเข้าและออกยาว แล้วค่อยๆลดถอยออกมาจนหายใจเป็นปกติ
๓. ขณะนั่งอยู่ให้บิดตัวยืนเส้นไปด้านข้าง เริ่มจากด้านซ้ายหรือขวาก่อนก็ได้
               ยกตัวอย่าง เริ่มที่ด้านซ้าย...ให้บิดตัวและเอวหมุนไปด้านซ้ายเบี่ยงไปข้างหลังจนสุดลำตัวพร้อมเอามือทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นค้างไว้แล้วนับ 1-10 แล้วคลายตัวหันกลับมาในท่านั่งตรงปกติหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ จากนั้นบิดตัวไปด้านขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน สลับไปมาอย่างนี้สักข้างละ 3 ครั้ง
๔. เหยียดขาทั้งคู่ออกประชิดกันไปข้างหน้า แล้วงอตัวก้มลงเอามือยืดแตะที่หน้าแข้งหรือปลายเท้าเพื่อยืดเส้นไม่ให้ยึดขดงอจากการนั่งนานๆ
๕. จากนั้นก็ลุกขึ้นดำเนินกายตามปกติ หรือ หากยังไม่ได้สวดมนต์แผ่เมตตาก็ให้นั่งคุกเข่าพนมมือสวดมนต์ อรหังสัมมาฯ จากนั้นก็แผ่เมตตาให้ตนเอง แล้วแผ่เมตตาคนอื่น


ผมมี บทแผ่เมตตาสั้นๆบทหนึ่ง ที่ครูอุปัชฌาญ์อาจารย์ผมซึ่งเป็นสายพระป่าเป็นพระอริยะเจ้าองค์หนึ่งในกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น สอนสืบทอดสวดแผ่กันมา มีคุณประโยชน์หากแผ่ให้แก่คน-สัตว์และแมลงทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย หรือ แม้แต่สิ่งที่มารบกวนการปฏิบัติธรรมของเราทั้งหลายเป็นต้นดังนี้ครับ

สัพเพ สัตตา สะทาโหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน
ขอให้สัตว์ทั้งหลาย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเถิด

กะตัง ปุญญัง ผะลัง มัยหัง สัพเพ ภาคี ภะวันตุเต
ขอให้สัตว์ทั้งหลาย จงได้เสวยผลบุญ ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญเพียรด้วยกายวาจาใจนี้แล้วเทอญ สาธุ..

วิธีการเข้า-ออกสมาธิ ที่คุณหมิว ได้ตั้งกระทู้ถามไว้แล้วพระคุณเจ้า arlogo และ ท่าน aaaa กรุณาตอบไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ดูได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7516.0
922  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีการปฏิบัติ และ พิจารณา ใน สมถะ-วิปัสนากัมมัฏฐาน (วิถี Admax) เมื่อ: เมษายน 26, 2012, 01:41:21 pm
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย  ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด

บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีการปฏิบัติ และ พิจารณา ใน สมถะ-วิปัสนากัมมัฏฐาน ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้


ก. การเจริญสมาธิ (ตามวิถี Admax)

          การทำสมาธิตามแนววิถีทางของผมนั้น เริ่มต้นไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเรียนรู้อะไรมา ถึงจะเรียนจบอภิธรรมครบจนหมด หรือ เรียนปริยัติจบเปรียญ ปธ. ๙ ก็ตามแต่ ให้ท่านทั้งหลายทิ้งความเป็นมหานั้นไปให้หมด (เพราะคนเรานั้น ยิ่งเรียนมามาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งเอาความรู้ทั้งหลายมาคิดสับไปสับมาวุ่นวายไปหมดจน เกิดข้อสงสัยไม่เกิดความว่าง เกิดความติดข้องใจ ถกเถียงขึ้นในจิต ทำให้เป็นปัญหาแก่การทำสมาธิเป็นอย่างมาก) แล้วเริ่มปฏิบัติพิจารณาดังนี้

- เริ่มแรกในการเข้าสู่การกัมมัฏฐานนั้นให้เริ่มต้นดังต่อไปนี้
๑. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่มีคุณเป็นเอนกอนันต์ ที่ทรงสละทุกอย่างแสวงหาโมกขธรรมเพื่อเป็นทางแห่งการพ้นทุกข์แล้วเผยแพร่ให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์อันประเสริฐนั้น
๒. ให้ตั้งจิตระลึกถึงพระธรรมที่องค์ตถาคตนั้นได้ตรัสรู้มาโดยชอบแล้ว ดีแล้ว งดงามแล้ว ไพเราะแล้ว ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นธรรมที่ประกอบไปด้วยประโยชน์เป็นอันมากให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมแห่งการพ้นทุกข์
๓. ให้ตั้งจิตระลึกถึงพระสงฆ์ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้ควรแก่การนอบน้อมอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลกได้สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลาย และ ได้นำพระธรรมของพระตถาคตเจ้านั้นมาเผยแพร่และคงอยู่ให้เราได้ร่ำเรียนศึกษาจนเห็นทางพ้นทุกข์อันชอบนั้น
๔. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณบิดา-มารดา และ บุพการีทั้งหลาย ที่ได้คลอด และ เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ เป็นผู้มีความเมตตา กรุณา มุทิตา แก่เรา เป็นผู้ให้ทานอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นแก่เรา เพื่อให้เราได้รับประโยชน์สุขด้วยใจที่ประเสริฐยิ่ง จนทำให้เราได้มารู้จักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วในพระพุทธศาสนานี้เพื่อปฏิบัติตนให้พ้นจากกองทุกจ์ทั้งสิ้นนี้
๕. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณของครูอุปัชฌา-อาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้สั่งสอน อบรม ได้ชี้แนะแนวทาง และ พระธรรมในพระพุทธศาสนาอันประเสริฐ ประกอบไปด้วยประโยขน์นี้ให้เราให้เห็นทางอันดี ประเสริฐ และทางพ้นทุกข์ทั้งหลาย
๖. นั่งคุกเข่าตั้ง นโม 3 จบ แล้วสวดบทสวดมนต์ อรหังสัมมาฯ ว่าบัดนี้จักขอเข้าสู่กรรมฐานเพื่อปฏิบัติเจริญในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า

๗. จากนั้นเริ่มปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในอริยาบถต่างๆตามแต่จริตตนดังนี้

๗.๑ การเจริญสมาธิด้วยการยืน ให้เริ่มต้นจากการที่เราหลับตาสงบนิ่งเหมือนธรรมดาทั่วไปก่อน ไม่ต้องไปตรึกนึกเอาอภิธรรมใดๆเข้ามาพิจารณา ให้ระลึกรู้แค่เพียงลมหายใจเข้า-ออก โดย หายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่ยืนอยู่นี้ พร้อมหายใจเข้าพึงระลึกรู้บริกรรมในใจว่า "ยืน" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจเข้า) แล้วหายใจออกพึงระลึกรู้บริกรรมในใจว่า "หนอ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจออก) มีจิตจดจ่อรู้ลมหายใจหรือสภาพอิริยาบถของกายที่ยืนอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่ นิ่ง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ว่าง  ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหนเวลาใดก็ได้ แม้ยามที่เราลืมตาอยู่ก็ตาม หากกระทำได้เช่นนี้แล้ว แม้จะยืนลืมตาอยู่สภาพจิตก็จะไม่ไหวติงใดๆเกิดเป็นสมาธิที่ควรแก่งานคือการปฏิบัติในกิจการงานต่างๆนั่นเอง

๗.๒ การเจริญสมาธิด้วยการเดิน คนเราส่วนมากจะเดินจงกรมในแบบธรรมดาทั่วไป คือ เมื่อขาซ้ายก้าวย่างเดินไปเหมือนเราเดินตามปกติ ก็ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายย่างหนอ" เมื่อขาขวาก้าวย่างเดินไปเหมือนเราเดินตามปกติ ก็ระลึกบริกรรมในใจว่า "ขวาย่างหนอ" มีจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ การเดินในชั้นเดียวนี้ผู้ที่อบรมจิตมีสมาธิมาดีแล้ว เมื่อปฏิบัติโดยการเดินในแบบนี้ก็จะเข้าสมาธิได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่วอกแวก ไม่ฟุ่งซ่าน มีแต่ความสงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ แต่หากบุคคลใดที่ยังไม่มีสมาธิเลย ยังไม่ได้อบรมณ์จิตใดๆมา เมื่อก้าวเดินในแบบดังกล่าวแล้วมีจิตวอกแวก ฟุ้งซ่าน เอาสิ่งภายนอกมาตั้งเป็นอารมณ์อยู่ให้เปลี่ยนการเดินโดนเลือกตาม 4 แบบวิธีตามลำดับดังนี้คือ
- เดินจงกรม 2 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดเท้าก้าวย่างเดินออกมาตามปกติแล้วแตะกดลงบนพื้นพร้อมเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" กระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 3 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้กดเท้าย่างลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" กระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 4 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้เคลื่อนเท้าย่างลงลอยขนานห่างจากพื้นเล็กน้อยแล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" จากนั้นให้กดเท้าย่างลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ถูกหนอ" จากนั้นกระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 5 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้เคลื่อนเท้าย่างลงลอยขนานห่างจากพื้นเล็กน้อยแล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" จากนั้นให้วางเท้าแตะลงถูกบนพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ถูกหนอ" จากนั้นให้กดเท้าลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้วระลึกอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป บริกรรมในใจว่า "กดหนอ" จากนั้นกระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์  เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้

๗.๓ การเจริญสมาธิด้วยการนั่ง การนั่งสมาธินั้นเราสามารถจะนั่งพิงฝา นั่งบนเก้าอี้ นั่งในอิริยาบถใดก็ได้ที่สบายและง่ายในการทำสมาธิแก่เรา แต่โดยส่วนมากหากนั่งสบายไปเรามักจะหลับหรือเคลิ้มติดความพอใจยินดีกับการเสวยเวทนาที่เป็นสุขทางกาย ดังนั้นเวลานั่งควรนั่งสมาธิในแบบที่เป็นประเภณีการปฏิบัติมาด้วย โดยนั่งขัดสมาธิให้ขาขวาวางลงข้างล่าง ขาขวาวางทับอยู่ข้างบน เอามือวางบนตักทับประสานกันตามปกติ จากนั้นให้ทำการผ่อนคลายสภาพกายและจิต แล้วหายใจเข้าลึกๆยาวจนสุดใจ ระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจเข้า) หายใจออกยาวจนสุดใจ ระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจออก) ทำเช่นนี้ประมาณ 3-5 ครั้ง จากนั้นค่อยๆหายใจเข้ายาว-ออกยาวตามปกติ หรือ ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในระดับปกติ มีสติจดจ่ออยู่ในลมหายใจเข้าและออก มีจิตระลึกรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์ ไม่ต้องใช้ปัญญาอันฉลาดรอบรู้ใดๆของตนมาคิดพิจารณา ให้ตั้งจิตจดจ่อรู้ลมหายใจเข้าและออกเท่านั้น เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วค่อยๆทำให้นานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- หากว่ากระทำในวิธีข้างต้นแล้ว จิตยังเกิดความปรุงแต่ง นึกคิด ฟุ้งซ่าน สัดส่าย ไม่มีความสงบ ให้พึงตั้งจิตระลึกรู้ว่า ขณะนี้ เราอยู่ในอิริยาบถใดอยู่ เช่น ระลึกรู้ว่าเรากำลังนั่งอยู่ กำลังกระทำดำเนินไปในสิ่งใดอยู่ เช่น ระลึกรู้ว่าเรากำลังนั่งเพื่อเจริญสมาธิอยู่ แล้วพึงพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความคิดปรุงแต่ง นิมิตใดๆทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นมาแต่จิต จิตมันจดจำสิ่งใดๆไว้แล้วนำมาสร้างเรื่องราวปรุงแต่งตามแต่ที่มันพอใจยินดี ทั้งๆที่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็อยู่ของมัน เขาก็อยู่ของเขา เราเท่านั้นที่เก็บเอามาคิดปรุงแต่งเรื่องราวจากความจำได้จำไว้ที่เคยผ่านพ้นมา // จากนั้นให้ตั้งสติหลับตาเพ่งพิจารณาจดจ่อมองดูความมืดที่เห็นจากการหลับตานั้น พึงระลึกในใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นแลคือ ความเป็นจริงปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วให้พิจารณาเพ่งจดจ่อกวาดยาวออกไปมองที่ความมืดนั้น จะเห็นเป็นเม็ดแสงแวบๆวับๆหลากหลาย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง กระจัดกระจายไปมา เสร็จแล้วให้เราพึงเพ่งมองพิจารณาสมมติเปรียบเทียบเอาว่าแสงนั้นคือสภาพจิตของเราที่ฟุ้งซ่านอยู่กระจัดกระจายไปหมด ปรุงแต่งคละเคล้ากับความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มั่วไปหมด เมื่อพิจารณาเปรียบเห็นดั่งสมมตินั้นได้แล้ว ก็ให้ตั้งจิตเพ่งมองจดจ่อทอดยาวออกไปด้านหน้าในความมืดนั้น ณ ช่วงกึ่งกลางระหว่าง 2 ตา สูงในระดับสายตา(ช่วงสันจมูก) แล้วกวาดยาวออกไปอยู่ที่จุดๆเดียวด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายสบายๆ(ห้ามเพ่งมองย่นย่อจนเกร็งตาหรือบิดเกร็งตัวเข้ามาอยู่ที่จุดตรงกลางหว่างคิ้วตนเองเด็ดขาดเพราะจะทำให้เราเกิดอาการเวียนหัว ปวดหัว และ ตา ตามมาในภายหลัง)พิจารณาจดจ่ออยู่ที่จุดนั้นจุดเดียวจนกว่าสภาพแสงที่กระจัดกระจายวิ่งไปมาหลายหลายนั้นจะค่อยๆหายแล้วแล้วเหลืออยู่ที่จุดเดียวอยู่ตรงที่เราเพ่งมองนั้น  เมื่อแสงทั้งหลายหายไปเหลือเพียงแต่แสงที่จุดที่เราเพ่งมองนั้น ให้เพ่งดูอยู่เช่นนั้นซักระยะหนึ่งโดยการระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกพร้อมเพ่งมองไป ณ จุดนั้นจนสภาพจิตเกิดความนิ่ง สงบ อบอุ่น เบาบาง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก เมื่อมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ตน ก็ให้น้อมลงพิจารณาที่ลมหายใจเข้า-ออกตามแบบการนั่งสมาธิปกติ

๗.๔ การเจริญสมาธิด้วยการนอน การนอนทำสมาธิที่ผมกระทำอยู่นั้นมี 2 แบบ คือ แบบ สีหไสยาสน์ และ การนอนหงายผ่อนคลายตามปกติตน
                 การนอนแบบสีหไสยาสน์... เป็นการนอนเพื่อเข้าอยู่ในสมาธิอบอรมจิต ทำให้เกิดความรู้ตัวอยู่เสมอ วิธีนอนให้นอนตะแคลงขวา เหยียดตัวตรง วางขาทับซ้อนตรงกัน วางมือลงแนบตรงกับลำตัว พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก โดยหายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น ว่าง ปิติอิ่มเอมใจ ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่นอนอยู่นี้  ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
                 การนอนหงายผ่อนคลายแบบปกติ... เป็นการนอนเพื่อทำสมาธิปรับสภาพร่างกายจนหลับ เหมาะแก่คนที่นอนไม่หลับ โดยนอนหงายเหยียดตัวตรงตามปกติ แล้วพึงระลึกพิจารณาลมหายใจเข้า-ออก เหมือนการนั่งสมาธิทั่วไป กระทำพิจารณาไปเรื่อยๆสภาพจิตจะเข้าสู่สมาธิและปรับธาตุในร่างกายใหสมดุลย์กันแล้วก็หลับไปเลยตามปกติ แต่จะต่างจากการทำสมาธิทั่วไปตรงที่หากเมื่อต้องการจะนอนไม่ว่าเกิดความคิดปรุงแต่งใดๆ นิมิตใดๆขึ้นมาก็ปล่อยให้มันเป็นไปจนกว่าเราจะหลับ // แต่หากทำสมาธิโดยไม่พึงปารถนาจะนอนหลับให้มีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออก โดยหายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น  ว่าง ปิติอิ่มเอมใจ ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่นอนอยู่นี้  ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้

๘. เมื่อสามารถปฏิบัติจนเข้าถึงสภาพจิตที่ นิ่ง สงบ อบอุ่บ ผ่องใส เบาบาง ปิติอิ่มเอมใจ มีจิตว่าง ปราศจากความปรุงแต่งนึกคิดใดๆ (สภาพจิตความรู้สึกที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวนี้เรียกว่า "อารมณ์สมถะ")...ก็ให้เราจดจำแนวทาง-วิถีปฏิบัติ และ สภาพของกายและจิตที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์สมถะนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาที่เราปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อเข้าสู่สมาธิอีกคราวต่อไป ก็ให้กระทำปฏิบัติตามแนวทางและวิถีนั้นๆที่ทำให้เราเข้าสู้อารมณ์สมถะได้ กระทำเช่นนี้อยู่เนืองๆจะทำให้เรารู้ในวิธีการปฏิบัติที่ทำให้เราเข้าสู่สภาพอารมณ์สมถะได้ง่ายขึ้น จนสามารถทำได้ในทุกครั้งที่ต้องการ ดังนั้นข้อที่ ๗-๘ นี้สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราสามารถเข้าสืบต่อไปยังการรู้เห็นในสภาพปรมัตถธรรม นั่นคือ สภาพธรรมจริงๆนั่นเอง

- เมื่อเพียงพอจากการเข้าสมาธิแล้ว ให้เราตั้งจิตสวดมนต์บทสวด อรหังสัมมาฯ จากนั้นแผ่เมตตาให้ตนเอง แล้วแผ่เมตตาให้คนอื่น (ในขณะนี้หากนั่งคุกเข่าอยู่อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งพับเพียบก็ได้)
923  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้ามีคนมาทำร้าย เรา และ ทำร้ายคนที่เรารัก เช่น มารดา บิดา บุตร ภรรยา เราควร.... เมื่อ: เมษายน 23, 2012, 03:43:34 pm
เราควรเข้าปกป้องครับ แต่มี 2 ทางให้เลือกปกป้อง
1. ใช้กำลังเข้าแลกความถูกต้องคืนมา โดยไม่ต้องนึกถึงสิ่งใดๆเพื่อปกป้องคนที่เรารักและนับถือ
2. ขวางไว้ห้ามไม่ให้เขาทำร้ายคนที่เรารักและนับถือ พร้อมกันนั้นควรแจ้งตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และ พยายามพาครอบครัวหลีกหนีห่างไกลจากคนพวกนี้

ทีนี้คุณคิดจะเลือกเอาทางไหนมันอยู่ที่คุณ และ ขณะที่คุณกระทำตามทางเลือกนั้นสภาพจิตคุณกระทำไปเพราะความโกรธแค้น พยาบาท เพราะพอใจอยากจะทำ หรือ ความเมตตากรุณาให้คนที่คุณรักทั้งหลายพ้นทุกข์
ทางที่ 1 จะต้องมีการใช้ความรุนแรง เสียเลือดเนื้อ สิ่งที่แลกได้มานั้นมันเกิดประโยชน์มากกว่าเสียหรือไม่
ทางที่ 2 ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่เป็นการทำให้ผู้กระทำผิดนั้นรับกรรมที่ผิดตามที่เขาทำโดยถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่คุณอาจไม่ได้เอาคืนเพื่อระบายความอาฆาต พยาบาท โกรธ เกลียด นั้นๆ

ขอให้คุณจดจำข้อหนึ่งว่า พระพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้เรานิ่งดูดายเมื่อคนอื่นลำบาก แต่ให้เราใช้ปัญญาที่ดีงามแก้ไขมัน และ ใช้ปัญญาที่ดีงามเข้าช่วยเหลือในทางที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ผลเสียย้อนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเราเองและผู้อื่นที่เรารักครับ

ลองเลือกดูครับ ทุกอย่างอยู่ที่คุณ ทางมีให้เท่านี้ครับ
924  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าเราถูกทักว่าชาติที่แล้วไปโกงที่ิดิน เผาบ้าน ทำคนตายสามคนค่ะ ควรเชื่อดีไหมคะ เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 04:08:43 pm
ดูเรื่องราวของท่านนี้ที่เจออยู่แล้วพึงระลึกพิจารณาในแนวทางปฏิบัติที่หลายๆท่านที่ชี้แนะ แล้วปฏิบัติร่วมกันกับแนวทางที่ผมได้ชี้ให้กระทำในกระทู้นี้ดูนะครับจะเป็นประโยชน์มากสำหรับคุณและครอบครัวในเวลานี้

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3027.0
925  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: แฟนผมโดนผีเข้าบ่อย แก้ไขยังไงดีครับ เครียดมาก เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 03:40:40 pm
- ท่านทั้งหลายได้ตอบกระทู้แนะแนวทางมาดีแล้ว คุณลองกระทำปฏิบัติดู แล้วพาภรรยาคุณนั้นไปรดนั้นมนต์ ให้พระท่านสวดให้ แล้วปฏิบัติทุกวันเช้า เย็น หรือทุกครั้งที่ระลึกถึงตามแนวทางดังต่อไปนี้
๑. จากนั้นขออาราธนาศีล ๕ เป็นเบื้องต้น จนถึงศีล ๘ แล้วตั้งใจปฏิบัติให้ดีอย่าให้ผิดพลาด
๒. สวดมนต์ทำวัตร เช้า-เย็น เป็นประจำ
๓. หลังสวดมนต์เสร็จแล้ว ให้เจริญกัมมัฏฐาน ทำสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นเดินจงกรม ยืน นั่ง นอน พึงระลึกตั้งใน พุทธานุสสติปัฏฐาน ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่มีมากเป็นเอนกอนันต์ ได้เพียรจนบรรลุธรรมอันประเสริฐที่ประกอบด้วยคุณอันเป็นประโยชน์อย่างหาประมาณมิได้ เพื่อให้สัตว์โลกทั้งหลายได้พ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ พึงตั้งสติระลึกถึงในใจเสมอๆทุกลมหายใจเช้าออก จนเมื่อคุณและภรรยานั้นเกิดจิตสงบแล้ว ให้อธิษฐานขอด้วยเดชแห่งบุญนั้นที่พึงระลึกคุณของพระพุทธเจ้าเป็นดั่งลมหายใจ ขอให้มารทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย อมมุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เพทภัยอันตรายทั้งหลาย เสนียดจัญไรสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย อุปัทวะ-ภัยอันตรายทั้งหลาย โรคทั้งหลายทั้งปวง จงวินาสไปแเสียจากคุณ ภรรยา และ ลูก ให้ทำสมาธิเจริญกรรมฐานอยู่เนืองๆ
๔. ให้คุณและภรรยาทำสมาธิโดยไม่ต้องไปคิด ไปเรียนรู้ลึกอะไรให้มาก รู้แค่ระลึกพุทธานุสสติตามที่ผมบอก และ หายใจเข้า ระลึก พุทธ หายใจออก ระลึก โธ จนกว่าจิตคุณจะนิ่ง สงบ ปิติ อบอุ่น ไม่คิดฟุ้งซ่านใดๆ ไม่มีความปรุงแต่งใดๆ ไม่มีความ รัก โลภ โกรธ หลง กลัว อยาก ราคะ ไม่มีกิเลสใดๆปรุงเข้ามา นอกจากความว่าง สงบ ปิติ อบอุ่น ยิ่งได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี
๕. เมื่อคุณและภรรยาเข้าถึงสภาพธรรมในข้อ ๔ นี้แล้ว หากเมื่อเกิดหลุดจากจุดนี้ออกมาแล้วให้พิจารณาระลึกรู้ธรรมทั้งหลาย เช่นพิจารณาลงในศีล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเป็นปกติสุขปฏิบัติตนโดยไม่มีความเบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย วาจา ใจ พิจารณาถึงว่าเพราะความโลภ ความพอใจยินดีทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก่อเกิดซึ่งบ่วง เกิดโทสะพยาบาท เกิดความไม่พอใจยินดี แม้สิ่งที่ตนพอใจยินดีอยู่ก็มิอาจเป็นไปดั่งใจหวังต้องการ มีความผิดหวังเป็นธรรมดา มีความพรัดพรากเป็นที่สุด ประสบกับสิ่งอันไม่รักไม่พอใจอยู่ทุกวันเป็นแน่แท้ ทั้ง 3 สิ่งเหล่านี้เราทั้งหลายจะล่วงพ้นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนอันที่เราจะไปยื้อยึด จับต้อง บังคับให้เป็นไปตามใจเรานี้ได้ แม้เราห้ามไม่ให้เรารัก ไม่ให้เราโกรธ ไม่ให้เราติดข้องใจ ไม่ให้เบียดเบียนพยาบาทยังทำไม่ได้เลย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยิ่งเราพอใจยินดี ไม่พอใจยินดีมากเท่าไหร่ ยิ่งก่อให้เกิดความสำคัญมั่นหมายแก่ใจจนเกิดเป็นความตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง ตามความรักโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย แล้วก็กระทำให้ได้ตามความปารถนาที่ตนตั้งความสำคัญนั้นไว้แก่ใจ ยิ่งพอใจเท่าไหร่ ก็ยิ่งหวังมาก มันจึงเป็นทุกข์
๖. เมื่อพิจารณาในสภาวะธรรมในข้อ ๕ นี้แล้วเกิดหลุดออกมา ให้หายใจเข้า-ออก ยาวๆ ค่อยๆลืมตาตื่นมองไปข้างหน้า รอบกาย ช้าๆ แล้วคล่อยคลายท่าทางที่ทำสมาธิอยู่ออก จากนั้นสวดมนต์ปกติ คือ สวดอรหังสัมมา เสร็จแล้วแผ่เมตตาให้ตนเอง จากนั้นแผ่เมตตาให้คนอื่น โดยตั้งจิตพึงระลึกว่าบุญกรรมฐานนี้ขอมอบให้ผีตนนั้น(ด้วยใจที่เป็นเมตตาทาน คือปารถนามอบสิ่งนี้ให้เพื่อให้เขาได้รับประโยชน์สุขจากการให้ของเราในครั้งนี้) ให้เขาเลิกพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เพื่อความสุขกายใจทั้งของเขาและเรา เพื่อความหมดเวรหมดกรรมได้ไปเกิดในภพชาติที่ดีกว่านี้ พึงเจริญกระทำไปทุกวันๆ ที่สำคัญให้หาพระที่ออกจากวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีการพุทธาภิเสก หรือพระเสาร์๕ ก็ได้ พระกริ่งยิ่งดี ให้ภรรยาแขวนคอไว้ห้ามถอด
- อย่าลืมนะครับทำตามที่ท่านทั้งหลายกล่าวชี้แนะก่อน คุณและภรรยาค่อยกลับมาบ้านกระทำอย่างที่ผมบอกทุกเช้าเย็น เนืองๆ ประจำ จำไว้ว่าบุญจากคนอื่นอาจช่วยคุณได้เล็กน้อย หรือ ไม่ได้เลย แต่บุญที่จะช่วยคุณได้นั้น คือ บุญที่คุณ และ ครอบครัวนั้นต้องกระทำเอง ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย ซึ่งกรรม นั้นมีความหมายว่า การกระทำใดๆก็ตามในปัจจุบันขณะที่คุณพึงกระทำทาง กาย วาจา ใจ โดยเจตนา

หมายเหตุ // ปกติคนเรายิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งคิดมาก จิตยิ่งฟุ้งซ่าน จะเข้าถึงสมาธิยาก จิตจะคิดแต่วิธีที่เรียนมาจริงบ้างไม่จริงบ้าง จนทำให้การปฏิบัตินั้นขาดความเป็นจริง (แต่ว่าแนวทางที่ถูกต้องจะต้องควบคู่กับการปฏิบัติที่ตรงให้ผลได้เสมอ ตามแนวทางที่ผมบอกคุณนี้ ก็ถือเป็นคู่มือ เป็นปริยัติธรรมเริ่มต้นในการกัมมัฏฐาน ดังนั้น ปริยัติที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติจริงจึงต้องมาคู่กันเสมอ) ให้คุณและภรรยากระทำเช่นนี้ไปจนชิน จนได้เป็นประจำ สามารถเข้าสมารธิตอนไหนก็ได้ มีความรู้สึกดังที่กล่าวทุกครั้งที่เข้าสมาธิก่อนจึงเข้าขั้นถัดไป เพราะไม่ว่าจะเข้าพิจารณาสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องมีจิตที่ตั้งมั่นจดจ่อได้นานมีจิตเป็นกุศลในสมาธิก่อน เรียกว่า สัมมาสมาธิ

ด้วยบุญใดๆที่ผมปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทั้งในสมถะ และ วิปัสนา พร้อมเผยแพร่พระพุทธศาสนาชี้แนะแนวทางให้คนที่ทุกข์ได้เห็นทางพ้นทุกข์ ได้เข้าศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนาอันพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วนั้น ด้วยเดชแห่งบุญนั้นขอให้ครอบครัวคุณ ให้คุณ ภรรยาคุณ และ บุตรทั้งหลายของคุณ หลุดพ้นจากภัยอันตราย และ บ่วงมาร เสนียดจัญไรทั้งหลายนี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
926  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: โดนกีดกัน เพราะฐานะผมยากจนกว่าเขา ( ไม่รู้ขอคำปรึกษาถูกที่ หรือ ไม่ ) เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 09:55:48 am
- หากเมื่อคุณทำให้ถึงที่สุดแล้ว พิสูจน์ในรักแท้ของคุณแล้ว แต่ทว่ายังไม่อาจทำให้ พ่อ แม่ ครอบครัว ฝ่ายนั้นพอใจ เพียงพอได้ ให้คุณระลึกไว้อย่างนี้ก่อนว่า พ่อ-แม่ รักลกทุกคน ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกมาลำบากตรากตรำ จึงพยายามที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้บุตร ให้เข้าใจจิตใจของคนที่เป็นพ่อแม่คนก่อนนพะครับ เพื่อลดความคิดเครียดแค้นตีตราฟุ้งซ่านในท่านเหล่านั้นลงและเข้าใจถึงคำว่าพ่อแม่ เหกมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงคุณมาลำบากแค่ไหนก็ต้องทนทำ เพื่อหาสิ่งดีๆให้คุณ หวังให้คุณมีความสุขสบาย
- เมื่อคุณเข้าใจในเรื่องข้างต้นแล้ว ให้คุณมองเห็นสัจธรรมดั่งนี้ว่า
๑. คนเราย่อมประสบกับความผิดหวัง ไม่เป็นดังหวัง-ปารถนาตั้งใจ-ใคร่ได้เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ หากเราเข้าใจในสัจธรรมนี้แล้วลดละความปารถนา ตั้งหวัง ใคร่ได้ ทะยานอยากลง เราก็จะทุกข์น้อยลง จนถึงความไม่ติดข้องใจ-ไม่สำคัญมั่นหมายกับสิ่งใดๆตั่งมั่นไว้ในใจ ทุกข์ก็ลดลง หรือ ไม่ทุกข์เลยกับมัน
๒. คนเรานั้มีความพรักพรากเป็นที่สุด ไม่อาจล่วงพ้นจากความพรัดพรากจากบุคคลที่รัก สิ่งของที่รักนั้นไปได้ จะต้องพรัดพรากไปไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยกาลเวลา การดูแลรักษา สภาพแวดล้อมรอบๆตัว ฯลฯ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้เช่นนี้ว่า ความพรัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่พอใจ ที่จำเริญใจทั้งหลายนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าเราทั้งหลายย่อมมีความพรัดพรากเป็นที่สุด ให้พึงเข้าถึงสัจธรรมนี้เพื่อมีใจสู่ความเป็นอุเบกขาแห่งจิตทุกข์เราจะลดลง เบาบางลง จนถึงไม่ทุกข์เลย (บางครั้งเมื่อคนที่เจอสภาพนี้แรกๆ ก็จะมองว่าพูดง่าย ทำยาก ใครไม่เจอไม่เข้าใจหรอก เว้นแต่จนเมื่อบุคคลนั้นมีสมาธินิ่ง สงบ พิจารณาเห็นตามจริงดังสัจธรรมนี้ ก็จะเข้าใจและลดทุกข์ลง เมื่อแรกๆคงยากที่จะบอกให้เข้าใจได้ แต่หากลองคิดย้อนกลับดูว่า ถึงแม้เราร้องไห้โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน คับแค้นกาย-ใจ ไปจนตาย สิ่งเหล่านั้น บุคคลเหล่านั้นก็หาจะหวนคืนกลับมาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจจะไปบังคับจับยึด ให้คงอยู่กับเราตลอดไป ให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการได้ ทุกอย่างมีคสามเสื่อมสลายเป็นธรรมดาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งดังที่ผมได้กล่าวมา จึงขึ้นชื่อว่า ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันเป็นทุกข์)
๓. เราทั้งหลายนั้นย่อมประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นแน่แท้ เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ปารถนาใคร่ได้ต้องการ เจอสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่อยากได้ ไม่พอใจยินดี เจอการพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจทั้งหลาย เจอความผิดหวัง จะล่วงพ้นหลีหนีสิ่งนี้ไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลานนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ หากเราเข้าใจในสัจธรรมนี้แล้วลดละความสำคัญมั่นหมายของใจว่าสิ่งนี้ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ให้วางใจไว้กลางๆ เราจะทุกข์น้อยลง
ดูตาม Link ข้างล่างนี้ บุคคลนี้เจาก็เจอเรื่องเดียวกับคุณ ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่พานพบ เพื่อนำมาพิจารณาว่าทุกคนต้องเจอเป็นเรื่องธรรมดาจะล่วงพ้นไปไม่ได้ แม้ผมเองก็ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อเข้าใจในสัจธรรมเหล่านี้ผมก็ทุกข์น้อยลง จนถึงไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านี้อีก

http://www.carefor.org/component/option,com_mamboboard/Itemid,161/func,view/id,11137/catid,2/

เมื่อรู้แล้วลองพิจารณาการถึงความมีใจกลางๆตาม Link นี้นะครับ

http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=6516.0
927  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำอย่างไร จะชนะคนที่เกลียดเราได้คะ เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 08:08:24 pm
ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ให้แนวคิดดีๆมากมาย ซึ่งผมก็ได้รับประโยชน์จากแนวทางทั้งหลายของท่านด้วย
- แนวทางของผมนะครับ คิดดี พูดดี ทำดี พึงกระทำให้จิตเกิดกุศล คงไว้ซึ่งกุศล รักษากุศลไว้ไม่ให้เสื่อม
- การที่เราจะเข้าเมตตาจิตแก่คนอื่นนั้น หลวงปู่แหวนท่านกล่าวไว้ว่า ให้มองเหมือนความเมตตาของแม่ที่มีต่อลูก คือ แม่นั้นปารถนาให้ลูกเป็นสุข กระทำเพื่อความเอื้อเฟื้อ อนุเคราะห์ แบ่งปันให้ลูกมีความสุขกาย สบายใจโดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทนกลับมา ยินดีเมื่อลูกประสบความสำเร็จ สุขกาย สบายใจ มีทานให้แก่ลูกเป็นนิจ นั่นคือการให้โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน ให้เพื่อหวังให้ลูกได้ใช้ประโยชน์สุขจากการให้นั้นของแม่ ให้แล้วไม่มาคิดเสียใจ เสียดายในภายหลัง
- สภาพจิตที่เมตตาเกิดขึ้นแล้วนั้นจะสงบ อบอุ่น ปิติ เบิกบาน ผ่องใส ไม่ติดข้องใจ ไม่ขุ่นเคืองใจ ไม่หมองมัวใจ สภาพจริงนี้รู้โดยพิจารณาในจิตานุสติปัฏฐาน โดยสังเกตุสภาพความรู้สึกตนเองโดยตัดความคิดสมมติบัญญัติต่างๆออก สังเกตุสภาพจริงโดยไม่ให้ความหมายมัน นอกจากรู้เพียงว่าสภาพใดเกิดแก่จิตเรา

- หากเมื่อคุณเข้าสภาพจิตนี้ได้แล้วให้เจริญพิจารณาปฏิบัติแนวทางตาม Link นี้ครับเพื่อความเข้าถึงสภาพจิตที่มีใจกลางๆ ไม่ติดข้องใจใดๆทั้งที่พอใจยินดี และ ไม่พอใจยินดี เพื่อความไม่ทุกข์

http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=6516.0
928  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำไม คนทุกวันนี้ ไม่เกรงกลัว บาปกรรม เมื่อ: มีนาคม 31, 2012, 11:11:42 pm
- คนทุกคนกล้าทำผิด และ ทำด้วยความไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาป เพราะความไม่รู้จริง ไม่เห็นสภาพจริง เพระความหลง เพราะความอยากทะยานต้องการ เพราะ ตัณหาทั้งหลาย

- การที่เรามองว่าโลกนี้ว่ามันน่ากลัว คุณยิ่งควรพึงอยู่โดยความไม่ประมาท เพราะไม่รู้จะตายวันไหน ให้พึงระลึกใน ความคิดดี พูดดี ทำดี กตัญญูกตเวที มีศีล มีพรหมวิหาร๔ มีทาน ทีสมาธิ มีสติ ทำกุศลจิตให้เกิด ตั้งมั่นในกุศลจิต รักษากุศลจิตไม่ให้เสื่อม และ ศึกษาพระธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อความรู้แจ้งและออกจากทุกข์

- แม้ในขณะที่คุณเกิดความกังวลนี้อยู่ก็เพราะคุณได้ประสบพบเจอกับสิ่งที่คุณไม่พอใจยินดีอยู่เช่นกัน นี่ก็เรียกว่าคุณตกอยู่ใน วิภวะตัณหา ความไม่อยากพบ ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น อยากจะผลักให้ไกลตน เกิดเป็นความฟุ้งซ่าน สับสน วุ่นวาย จิตตก อัดอั้นตันใจ อึดอัดคับแค้นกาย-ใจ ขุ่นมัวใจ

- ที่คุณเกิดความกลัวจนฟุ้งซ่านไปนั้น ก็เพราะคุณมีความพอใจยินดีใดๆตั้งไว้ จนเกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ จนเกิดเป็นความตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง เกิดประกอบกับความ รัก โลภ โกรธ หลง เช่น อยากให้มีแต่คนดีๆมีศีล มีเมตตา อยากให้คนรัก ไม่อยากให้คนเกลียด ไม่อยากให้คนมาปองร้าย ด่าว่า ทำร้ายคุณ แต่พอเจอกับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณพอใจยินดี คุณก็ทุกข์ใจเพราะประสบกับความไม่พอใจยินดีนั้นเอง แต่คุณไม่สามารถจะทำอะไรหรือแก้ไขสิ่งภายนอกที่มากระทบคุณได้ นั่นก็เพราะคุณไม่สามารถไปบังคับใครให้เป็นดังใจได้ใช่ไหมครับ โลกมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้มาตั้งนาน ตั้งแต่ก่อนคุณและผมเกิด เอาแค่ว่าคุณบังคับตนเองไม่ให้กลัว ไม่ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ให้ขี้ ไม่ให้เยี่ยว ไม่ให้หิว ยังทำไม่ได้ใช่ไหมครับ เมื่อรู้เช่นนี้เราจะไปเรียกร้องต้องการสิ่งใดจากใครได้ครับ คุณว่าจริงไหมครับ

ที่ผมกล่าวมาในข้างต้นนี้นี้คือเหตุและผลที่อยากให้คุณพิจารณาน่ะครับ จะได้ปลงและเข้าใจในสัจจธรรมของโลกนี้เพื่อความเข้าสู่การวางใจกลางๆ ไม่หยิบจับเอาความพอใจ ไม่พอใจ

- ดังนั้นทั้งคุณ และ ผม หรือ ใครๆ เราควรพึงเจริญในธรรมเนืองๆอยู่ด้วยความไม่ประมาทในที่นี้ให้พึงระลึกรู้มีสติ สมาธิ และ เจริญธรรมไม่ขาด(ในเบื้องต้นควรพึงเจริญใน ศีล พรหมวิหาร๔ ทาน ขันติ จนถึงแก่อุเบกขาจิต พึงกระทำกุศลจิตให้เกิด ตั้งมั่นในกุศลจิต รักษากุศลจิตไม่ให้เสื่อม จนเห็นแจ้งทุกอย่างด้วยปัญญา) เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และ ลดความขุ่นข้องใจ หมองมัวใจ คับแค้นใจ อัดอั้นใจ ในเรื่องนี้ได้มาก

- โลกมันเป็นเช่นนี้ของมันมานานแล้ว บางครั้งเราใช้เวลาที่เรามาเอาจิตไปติดข้องใจกับสิ่งต่างๆ เอาสิ่งรอบกายมาทั้งหลายมาตั้งเป็นอารมณ์ คอยนั่งวิตก เบื่อ กลัว  เสวยเป็น สุข ทุกข์ อยู่นี้ เราเอาเวลานั้นไปเจริญในสมาธิและพิจารณาธรรมด้วย สติ ปัญญา ไม่ว่าจะเป็นผม หรือ คุณ หรือ ใครๆ อาจจะได้พานพบทางพ้นทุกข์ที่ดีก็ได้ครับ

- เมื่อใดที่เกิดความกลัว ความปิติ พอใจยินดี สลดใจ หดหู่ใจ ฟุ้งซ่านใจ ไม่ชอบใจ อัดอั้นใจ คับแค้นใจ อึดอัดใจ กรีดใจ หวีดใจ ด้วยสภาพจิตที่ติดข้องใจ ขุ่นข้องใจ หมองมัวใจ ให้ระลึกรู้ไว้ว่า อกุศลจิตเกิดแก่จิตคุณแล้วครับ
929  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เึครียด เพราะตกงาน อายุมาก หางานทำไม่ได้ จะทำอย่างไรดี เมื่อ: มีนาคม 30, 2012, 10:35:55 pm
สาธุท่านอาโลโกให้แนวทางได้วิเศษมากครับ
930  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เจอคนหลอกลวง ข่มขู่ สมาชิกธรรม จะทำอย่างไรดีครับ เมื่อ: มีนาคม 30, 2012, 10:34:38 pm
ถ้าเจอแบบนี้ ก็ต้องให้นึกถึง ธรรมข้อแรกก่อน

   1. อดทน  อดกลั้นต่อสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ รวมทั้งอาตมาเองก็เคยพลาดตรงนี้มาแล้ว คือ เมื่อเราเจอคนไม่ดี และ ก็อยากให้เขาเป็นคนดี ก็หาวิธีการที่จะให้เขาเป็นคนดี สุดท้ายก็ไม่สามารถทำให้เขาเลิกหลอกลวง ข่มขู่ หรือสิ่งไม่ดีได้ นั่นหมายถึง ความไม่พอใจที่กำลังกรุ่นอยู่ในใจ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ติดดี การติดดี เป็นทุกข์เช่นกัน เพราะเท่ากับมีความปรารถนาอยากให้เขาเป็นคนดี หรือดี ไม่ได้ดั่งใจ ก็สร้างความทุกข์ให้แก่จิตใจแก่เรา

   2.สติ ตามระลึก รู้ตัว ตรวจสถานะของเราว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ด้วยคุณธรรม ถ้าตรวจสถานะแล้วไม่ได้ ก็ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวเสียว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นควรจะหลีกเลี่ยง จากคนเหล่านี้ ไม่มีความจำเป็นต้องเผชิญหน้า ต่อคนเหล่านี้ บางท่านคิดว่าการทำเยี่ยงนี้เป็นการหนีปัญหา ถ้ามองอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะใช่ แต่ความจริงก็คือ บางครั้งกำลังของเราก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นจะสังเกตว่า นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ จะหลีกเลี่ยงการเผชิญปัญหาที่แก้ไม่ได้ ด้วยศานติ เพื่อรักษา ศานติ ไว้

     เรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะบางคนยึดติดกับคำว่าแพ้ หรือ ชนะ กันมากเกินไป จึงไม่สามารถสะสางปัญหาได้ ทุกวันนี้อาตมาเองก็เจอะเจอปัญหา เรื่องแพ้ ชนะ อย่างนี้มากกันพอสมควร ซึ่งในใจสติ จะบอกว่า มันไร้สาระจริง ๆ


  3.ปัญญา การแก้ไขเหตุการณ์ บางครั้งก็ต้องดูสถานการณ์ บางครั้งเราเป็นคนถูกก็ไม่ใช่ว่าจะต้องยืนกรานว่าเราถูก เขาต้องผิดประมาณนี้ เพราะบางครั้งการเป็นคนถูกก็ไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะปัญหาการหลอกลวง ข่มขู่ นี้มาจากการต้องการชนะ หรือ กดดันข่มเหงเป็นหลัก ดังนั้นใช้ปัญญาให้ถูกสถานการณ์

 
  4.ทาน ให้ พยายามให้ก่อน จนถึงที่สุดให้ อภัย

 
   ก็เป็นคุณธรรมที่พอจะนำไปใช้ได้ ในชีิวิตประจำวัน

    ;)


สาธุ ธรรมท่านอาโลโกมีค่าเป้นอันมากแล้วครับ
931  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: จะใช้ชีิวิตอยู่อย่างไร ให้มีความปลอดภัย เมื่อ: มีนาคม 29, 2012, 12:05:24 am
อนุโมทนาสาธุกับคุณสมภพด้วยนะครับ ให้แนวทางที่เป็นธรรมที่ดีมากครับ
932  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เึครียด เพราะตกงาน อายุมาก หางานทำไม่ได้ จะทำอย่างไรดี เมื่อ: มีนาคม 28, 2012, 06:24:11 pm
1. ลองทำสมาธิให้ใจสงบเลิกฟุ้งซ่านก่อนน่ะครับโดยการหลับตา นั่งสมาธิซัก 30 นาทีให้ใจสงบลดความฟุ้งซ่านลงก่อน เพราะเมื่อคนเราเกิดเหตุการณ์คับขันใดๆขึ้นมา จะมีความคิดฟุ้งซ่านมากมายจนปิดบังปัญญาทำให้คุณมองไม่เห็นหนทางแก้ไข ที่เป็นแค่เส้นผมบังตา
2. เมื่อจิตสงบลงแล้ว ให้ลองพิจารณาดูรอบๆกายเรากับเงินทุนที่มี ว่าเราสามารถนำเงินนั้นไปใช้ประโยชน์ใดๆได้มากที่สุด เช่น เพียงพอต่อการเปิดร้านขายของชำไหม ขายกับข้าวได้ไหม ขายขนมได้ไหม ขายลูกชิ้น ไก่ย่าง ส้มตำ ปลาหมึกย่าง ขายก๋วยเตี๋ยว ขายของเล่นเด็ก ขายพวกขนมที่แถมของเล่นที่ราคาถูกหรือของเล่นราคาถูกประมาณ 5-10 บาท รับของจากร้านขายขนมหรืออาหารมาขายต่อในรูปแบบที่เหมือนเซลล์ขายสินค้าแล้วกินเปอร์เซ็นต์ รับจ้างพิมพ์งานแบบ Word Excel Powerpiont รับปริ๊นท์งาน ถ่ายเอกสาร ใช้ความรู้ที่เรามีให้เกิดประโยชน์ โดยมองว่าเรามีความสามารถใดๆบ้างค้าขาย ประสานงาน พิมพ์งาน เป็นช่างซ่อม ฯลฯ
3. เมื่อเรามีความตั้งใจ ขยัน อดทน เพียรพยายามที่จะทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง แม้จะเหนื่อยแต่ผลลัพธ์นั้นคือความสบายกายใจของเรา เมื่อทำเริ่มต้นได้ ก็เก็บเงินทุนค่อยๆขยับขยายไป ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ คุณคิดดูสิว่ากว่าพ่อแม่จะเลี้ยงคุณมาจนโตมีครอบครัวเป็นเสาหลักของบ้านได้ ท่านก็ต้องเจอปัญหาแบบที่คุณเป็นนี้เช่นกัน แต่ท่านก็ต้องสู้ อดทน เพียรพยายามฟันฝ่าเพื่อลูกมีชีวิตที่ดี หากคุณท้อแล้วสิ้นหวังถอยไม่สู้ วันข้างหน้าลูกเมียก็ต้องอดตายเพราะความไม่สู้ของคุณ(ไม่ได้ว่าหรือด่าคุณนะครับนี่เป็นแง่คิดอีกมุมมองให้คุณได้ใช้พิจารณาทบทวน) ใช้ปัญญาที่มีทำให้จนสุดใจสิ่งดีๆจะย้อนมาหาเราเองเพียงคุณ ขยัน อดทน เพียรพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ คิดดี พูดดี ทำดี มองดูกำลังใจจากคนข้างหลังของคุณ นั่นคือลูกเมียที่คุณต้องแบกรับและต้องทำให้เขามีชีวิตที่ดีด้วยหน้าที่ของคำว่า "พ่อ" และ "สามี" แล้วสิ่งที่คุณกระทำในวันนี้จะเป็นประโยชน์แก่ลูกเมียคุณและเป็นสิ่งสอนเตือนใจให้กับลูกหลานได้

- นั่งสมาธิ ลบขยะในสมองออกก่อนนั่นคือลบความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออก เพื่อให้คุณมีสภาพจิตที่สงบ จากนั้นค่อยๆมองรอบๆกาย เพื่อหาหนทาง เริ่มจากสิ่งเล็กๆที่พอจะทำได้แล้วค่อยๆขยับขยายไปในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ขยัน อดทน เพียรพยายาม คิดดี พูดดี ทำดี  ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ อย่าอายที่จะทำงานแม้เป็นงานเล็กๆไม่มีหน้าไม่มีตาไม่ภูมิฐาน ถ้าอายที่จะทำงานคุณก็หากินไม่ได้ในชาตินี้ งานทุกงานสำคัญหมดขอแค่เป็นงานที่สุจริตก็พอ

- ขอให้คุณผ่านพ้นปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ที่ทำให้คุณมีความคับแค้นกายใจ ไม่สบายกายใจ โศรกเศร้าเสียใจไปได้ด้วยดีครับ ให้หางานดีๆที่มีเงินหมุนเวียนเกื้อหนุนครอบครัวได้สบายๆ มีเงินมากมายใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสน และ มีเงินทำบุญได้มากมาย ด้วยเดชแห่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุญใดที่ผมกรรมฐานและวิปัสสนามา บุญใดที่ผมเผยแพร่พระพุทธศาสนามา บุญใดที่ผมประกาศธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อให้คนอื่นได้เห็นทางพ้นทุกข์แล้ว ขอบุญนั้นนำพาให้พรทั้งหลายเหล่านี้สำเร็จแก่คุณทุกประการด้วยเทอญ ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
933  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทางดับทุกข์ เมื่อ: มีนาคม 28, 2012, 05:51:34 pm
ขอบคุณท่าน nathaponson มากครับ อนุโมทนาสาธุท่านด้วยครับ
934  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ทางดับทุกข์ เมื่อ: มีนาคม 24, 2012, 04:40:47 pm
http://nkgen.com/18.htm[/]
935  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความทุกข์คืออะไร เมื่อ: มีนาคม 24, 2012, 04:38:00 pm
สาธุอนุโมทนาบุญกับท่านทั้ง 2 ที่นำธรรมดีๆมาบอกกล่าวด้วยครับ
936  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำอย่างไร ที่จะชนะความน้อยใจ แค้นใจ นี้ได้ เมื่อ: มีนาคม 24, 2012, 03:39:48 pm
สาธุ ขออนุโมทนากับท่านอัจฉริยะ ด้วยครับ
937  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำอย่างไร ที่จะชนะความน้อยใจ แค้นใจ นี้ได้ เมื่อ: มีนาคม 23, 2012, 10:56:45 pm
ผมจับใจความสภาพที่เกิดกับคุณได้ดังนี้ว่า
1. สิ่งที่คุณพอใจยินดีนั้นคือการเป็นคนที่เพรียบพร้อมทั้ง กาย วาจา ใจ
2. แต่เพราะคุณกระทำไม่ได้หรือไม่ได้ผลตอบรับตามความปารถนาที่คุณตั้งความพอใจยินดีสำคัญมั่นหมายไว้ในใจจึงเกิดเป็นความไม่สมปารถนา เกิดเป็นความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่ไม่พอใจยินดีทั้งหลาย จนเกิดเป็นความทุกข์ เกิดอาการคับแค้นกาย-ใจ ทรมานกาย-ใจ อัดอั้นกาย-ใจ โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน ไม่สบายกาย-ใจทั้งหลาย สภาพที่เกิดขึ้นทั้งหลายนี้เรียกว่าความทุกข์ ถูกมั้ยครับ

นี่คือ เหตุแห่งทุกข์ ปัจจัยการดำเนินไปจนก่อเกิดเป็นความทุกข์ของคุณ ทีนี้ลองมาเรียนรู้ทางดับทุกข์กันมั้ยครับ

1. เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ๆขึ้นให้คุณระลึกรู้ไว้เลยว่าคุณมีความติดข้องใจ ขุ่นมัวใจ ในสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ พอใจยินดี ไม่พอใจยินดี การละความติดข้องใจทั้งหลายนี้มีทางเดียวคือการวางใจกลางๆ ไม่หยิบจับยึดถือติดข้องในความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี
2. การจะเข้าถึงการวางใจกลางๆได้นั้น คุณต้องมาเริ่มเรียกรู้ คิด พิจารณาและย้อนหาเหตุที่คุณสำคัญมั่นหมายไว้ในใจด้วยตัวคุณเองก่อนว่า คุณพอใจยินดีสิ่งใดไว้ เช่น ต้องการทำดี เพื่อให้คนรักใคร่ คนชื่นชม เคารพ สรรเสริญ นิยมเมตตา หรือ ทำความดีเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าประกอบไปด้วยประโยชน์แก่ตนเองและคนรอบข้าง สามารถทำให้คนอื่นประสบพบเจอความสุขจากตนได้ หลุดจากความทุกข์ทรมานกาย-ใจ
3. เมื่อคุณรู้ว่าที่คุณตั้งความพอใจยินดี จนสำคัญมั่นหมายไว้ในใจคือสิ่งใด ที่ทำให้คุณตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึงในใจอยู่เนืองๆ จนก่อเกิดเป็นความปารถนา ทะยานอยาก ใคร่ได้ ต้องการประกอบกับความ รัก โลภ โกรธ หลง ที่ก่อให้เกิดผลออกมาเป็นทุกข์เมื่อทุกอย่างนั้นไม่เป้นตามความพอใจยินดี จากนั้นคุณก็ละความพอใจยินดีนั้นเสียไม่ตั้งความติดข้องใจกับสิ่งที่ชอบ หรือ ไม่ชอบ แล้วก็เข้าสู่การวางใจกลางๆ

ฟังดูง่ายนะครับ แต่ทำไม่ง่ายเลย หากทำได้คุณจะเข้าถึงอุเบกขาจิตซึ่งไม่มีความสุขหรือทุกข์ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีความโกรธเกลียด ทะยานอยากได้ มีแต่ความสสงบ เบาบางผ่อนคลาย ไม่ติดข้องใจใดๆ

ดูเพิ่มเติมตาม Link นี้ครับ

http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=5467.0

http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=6516.0
938  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เจอคนหลอกลวง ข่มขู่ สมาชิกธรรม จะทำอย่างไรดีครับ เมื่อ: มีนาคม 23, 2012, 06:14:51 pm
บางครั้ง การเป็นอยู่ในชีิวิตประจำวันนั้น ไม่ใช่ว่าเราต้องเจอคนดีเสมอไป ยิ่งเป็นนักภาวนาหรือ นักปฏิบัติธรรมส่วนมากจะเจอคนไม่ดี มากและก็จะโดนเอาเปรียบเป็นประจำ
  1.ถ้าทนได้ ก็ขอให้ ระลึกว่า ชาติก่อนเราเคย เบียดเบียนเขา ชาตนี้ใช้หนี้คืน กรวดน้ำทุกวันอย่าได้ผูกเวรกันต่อไป
  2.ถ้ามาถึงจุด ที่ทนไม่ได้ มีข้อแก้ไข 2 ประการ คือ เผชิญ กับ หนี
    ส่วนใหญ่นักภาวนาธรรม จะเลือกการหนี ดังนั้น การหนี จึงเป็นการหลีกเลี่ยง การเผชิญ เพื่อไม่ให้เกิดการ จองเวร ต่อกันและกัน
  3.ถ้าหนีไม่ได้ ต้องเผชิญ ตอนนี้สำคัญคือ ต้องมองให้เห็นความจริง แก้ไขปัญหาอย่างมีสติ ก่อนจะพูดว่า อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด อะไรจะดับ มันก็ต้องดับ
  ในโลกนี้ไม่ใช่มีคนที่พูดและฟัง ได้เสมอไป ผมมีนักเรียนลูกศิษย์ มาหลายปี รู้ดีเรื่องนี้ บางคนพูดได้ บางคนก็ได้แต่ฟัง บางคนก็ไม่ฟัง ดังนั้นต้องมีสติ การมีธรรมะ มีอยู่ที่เรา ไม่ใช่มีอยู่ที่ผู้อื่น ครับ
 

ขออนุโมทนาสาธุกับท่านสมภพครับให้แง่คิดได้เป็นประโยชน์ดีมาก
ผมใคร่ขอเสริมบางแนวทางให้ซักนิดน่ะครับดังนี้ว่า

1. เมื่อทนไม่ได้ ก็อดโทษแก่เขาเหล่านั้นไว้ก่อน แล้วก็เลิกที่จะคลุกคลีพบปะสังคมด้วยหากไม่จำเป็น
2. แต่เมื่อเราต้องพบเจอเขา หากจำเป้นต้องทักทายต้องพูดคุยด้วย ก็วางใจไว้กลางๆเพื่อเข้าสู่อุเบกขาจิต ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี ละความติดข้องใจทั้งหลายทั้งที่ชอบไม่ชอบ เพราะมันหาประโยชน์ใดๆแก่เราไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ที่จะติดตามมาหากเราเอาจิตไปตั้งสำคัญมั่นหมายติดข้องใจในความชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ
3. คนเราย่อมมีความไม่สมหวังปารถณาใคร่ได้ไปทั้งหมด คนเราย่อมประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่จำเริญใจทั้งหลาย เราย่อมมีความพรัดพรากพรากเป็นที่สุด เข้าใจในสัจธรรมนี้แล้วก้อละความติดข้องใจนั้นๆเสียเพื่อเข้าสู่ความมีใจกลางๆเราจะได้ไม่ทุกข์อีก
939  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เวลาที่สับสน เปล่าเปลี่ยว เงียบเหงา ใจเป็นทุกข์ เพื่อน ๆ แก้ไขปัญหานี้กันอย่างไร เมื่อ: มีนาคม 23, 2012, 12:04:13 pm
- เป็นอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านเมื่อเรามีความพอใจยินดี และ ไม่พอใจยินดีสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ พอมีสิ่งใดๆรอบกายมากระทบหน่อยแล้วพอเข้าในอารมณ์ความรู้สึกที่สำคัญมั่นหมายไว้ ก้อจะเกิดอารมณ์ดังกล่าวนั้นขึ้นมา
- ละความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดีที่ใจคุณตั้งความสำคัญมั่นหมายนั้น ลองมองย้อนดูว่าพอใจสิ่งใด ไม่พอใจสิ่งใดไว้ เมื่อก่อนที่จะเกิดอารมณ์เช่นนี้ๆคุณเคยอยู่อย่างไร ทำอย่างไร แล้วลองกระทำอย่างที่เคยทำมา
- ระลึกรู้ว่ามันเป็นปกติของคนธรรมดาอย่างเราๆ เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่หากเราไปตั้งความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี แล้วสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ คุณก็จะเกิดความติดข้องใจเช่นนี้ มันหาประโยชน์ไม่ได้ มันเป็นทุกข์อย่างที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้
เช่น คุณมีความพอใจยินดีที่จะมีใครซักคนมาอยู่ข้างๆ มาคอยดูแลห่วงใย แต่พอมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการพอใจนั้นก็เกิดความว้าวุ่น ฟุ้งซ่านใจ สับสนใจจนเกิดทุกข์ เห็นไหมครับ หากคุณมีความติดข้องใจกับสิ่งใด พอได้สมหวังก็หลงตามมันไปก็ทุกข์ พอไม่ได้ดังพอใจยินดีก็เกิดเป็นความขุ่นข้องมัวใจ คับแค้น อัดอั้น โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน ก็ทุกข์อีก
- ละความติดข้องใจทั้งหลาย
- รู้จักวางใจกลางๆ
- อยู่คนเดียวให้ได้
- ผมไม่แนะนำให้ย้ายจิตไปทำนั่นทำนี้แทน เพราะมันอาจจะช่วยได้แค่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่นานมันก็จะกลับมาอีกซ้ำๆวนๆอยู่อย่างนั้น ผมจึงแนะนำให้ละที่เหตุของทุกข์ดังกล่าวมาแล้วนั้น

ขอให้คุณผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะครับ
940  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: รู้สึก กังวลกับชีวิตคะ คิดแล้วก็หดหู่ ควรทำอย่างไรดี เมื่อ: มีนาคม 16, 2012, 12:55:56 pm
 
  ลองหาวิหารธรรม ให้ตัวเองนะครับ เช่น สวดคาถา สวดบทพุทธคุณ ต้องสวดบ่อยๆ เท่าำที่จะทำได้
  วิหารธรรมนี้ จะช่วยให้มีสติและสมาธิเพิ่มขึ้น นิวรณ์ต่างๆจะครอบงำได้ยาก
  ความหดหู่ กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน เกิดจากจิตที่ไร้ที่พึ่ง


  ขอให้ระลึกถึงบทไตรสรณคมน์เข้าไว้
      พุทธัง สาระณัง คัจฉามิ
      ธัมมัง สาระณัง คัจฉามิ
      สังฆัง สาระณัง คัจฉามิ
      ทุติยัมปิ พุทธัง สาระณัง คัจฉามิ
      ทุติยัมปิ ธัมมัง สาระณัง คัจฉามิ
      ทุติยัมปิ สังฆัง สาระณัง คัจฉามิ
      ตติยัมปิ พุทธัง สาระณัง คัจฉามิ
      ตติยัมปิ ธัมมัง สาระณัง คัจฉามิ
      ตติยัมปิ สังฆัง สาระณัง คัจฉามิ


      หากคุณไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว ต้องยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ัง
      หากกิจกรรมที่เนื่องด้วยกุศลทำ ทำสังฆทาน ไปไหว้สิ่งศักด์สิทธิ์
      หากิจกรรมทางโลกทำบู้าง เช่น งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง  เที่ยวพักผ่อน ฯลฯ


      อดีตก็ล่วงไปแล้ว
      อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
      วันๆล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่
      ขอให้ทำปัุจจุบันให้ดีที่สุด ทำกุศลให้เกิดแก่ใจให้มากที่สุด

       :welcome: :49: :25: :s_good:   

สาธุเป็นแนวทางที่ดีที่กระทำได้ง่าย เข้าถึง่ายดีครับ
941  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ยังรักแฟนเก่าอยู่ อย่างนี้ถือว่านอกใจหรือไม่คะ เมื่อ: มีนาคม 16, 2012, 12:32:49 pm
สาธุอนุโมทนาบุญกับท่านประสิทธิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ
942  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถูกบอกเลิกจากแฟนแล้ว ยังถูกใส่ร้ายต่ออีก เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 05:11:23 pm
- เพราะจริตเขามันเป็นแบบนั้น ก็อย่าไปใส่ใจอะไรมาก เขาเป็นคนจิตใจขุ่นมัว อย่าไปตามเขา เราจะทุกข์ วางใจไว้กลางแล้วใช้ชีวิต่อไปแบบปกติ อย่าไปใส่ใจกับการกระทำของคนพาล
- ลองมองในอีกมุมนะครับ ความเจ็บช้ำครั้งนี้ถือเป็นกำไรชีวิตให้แก่คุณ มีพระท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตมันเป็นกำไรของเราเสมอ กำไรชีวิตครั้งนี้ก็คือทำให้คุณได้เรียนรู้นิสัยของแฟนเก่า ก่อนจะเพลียงพร้ำไป และใช้เป็นบรรทัดฐานพิจารณาคนอื่นๆที่เข้ามาในชีวิตคุณเพื่อให้คุณเจอคนที่ดี และสำรวมระวังตนเองไว้เสมอเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีก และที่สำคัญที่เขาทำเช่นนี้ป่าวประกาศว่าคุณเสียๆหายๆ หากวันใดมีใครคนหนึ่งที่เป็นคนดี รับได้และเข้าใจคุณ ก็จะทำให้คุณได้เห็นว่ารักแท้ที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆก็มีจริง คุณสามารถฝากชีวิตกับเขาได้ คุณจะเข้าใจเลยว่านี่เป้นกำไรชีวิตของคุณที่เจอเรื่องร้ายๆมาแล้วเมื่อผ่านพ้นไปก็จะได้เห็นคนที่ดีที่รักคุณจริงมีอยู่เช่นกัน ส่วนแฟนเก่าคุณนั้นเมื่อนิสัยเขาเป็นแบบนี้ก็จะทำให้คนรอบข้างรู้จักเขามากขึ้นว่าเป้นคนน่ารังเกียรติแค่ไหน
-จำไว้ว่านี่มันคือกำไรชีวิตของคุณ
943  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: จะใช้ชีิวิตอยู่อย่างไร ให้มีความปลอดภัย เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 04:19:13 pm
อยู่ด้วยความไม่ประมาท เจริญสติบ่อยๆ ไม่ไปในที่ที่ไม่ควรก้าวล่วงไป เจริญมรณะสติ คือ ระลึกถึงความตายเป็นกรรมฐานทุกลมหายใจเข้าออก
944  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ยังรักแฟนเก่าอยู่ อย่างนี้ถือว่านอกใจหรือไม่คะ เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 04:17:02 pm
ไม่ผิดศีล เพราะไม่ได้ล่วงละเมิดทางกายเป็นอกุศลกรรม
แต่เป็นอกุศลจิต เพราะคุณมีจิตที่ขุ่นข้องมัวใจ ติดข้องใจ หมกมุ่นในสิ่งนั้น
แต่นี่ก็เพราะเราคือคน จึงยังติดอยู่ในความพอใจยินดีเช่นนี้นี้อยู่
แต่คุณคิดว่ามันถูกต้องไหม พยายามลอละความพอใจนั้นให้ได้ ตัวผมเองก็เคยเป็นเช่นกันเมื่อรู้ว่าปัจจุบันเราอยู่กับใครยังไง เราก็ควรที่จะกระทำด้วย กาย วาจา ใจ ให้ถูกต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร จนเข้าถึงการวางใจกลางๆไม่หยิบจับความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี ไม่มีความติดข้องใจใดๆ
ผมมีวิถีทางตาม Link นี้ครับ อ่านหัวข้อที่ ๑ การเลือกสิ่งที่ควรเสพย์

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.0

945  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทำอย่างไร เมื่อเพื่อนพูดแต่เรื่องร้อน ๆ อยากหใ้ห้อารมณ์สงบลงบ้าง ? เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 11:53:58 am
เหตุ

- ที่เพื่อนคุณเป็นนี้เรียกว่าเอาเรื่องราวภายนอกเข้ามาปะปนในชีวิตจนเสพย์เป็นโทสะแก่ตน นั่นก็เพราะเพื่อนคุณนั้นตั้งความพอใจยินดีในส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นไว้อยู่
- แต่พอผลลัพธ์ที่เพื่อนคุณนั้นได้ประสบพบเจอมันกลับไม่เป็นไปตามที่เขาปารถนาพอใจยินดีใคร่ได้ จึงประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลายจนอยากจะผลักไสให้ไกลตน แล้วคิดปรุงแต่ง ตรึกนึก เสพย์อารมณ์เป็นโทสะเพราะความปรุงแต่งจากสิ่งที่พอใจ ไม่พอใจนั้น


ทางแก้ไข

ต้องให้เพื่อคุณนั้นยอมรับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในขณะนี้ วิธีที่จะทำให้คนยอมรับความจริงได้นั้นเขาต้องพิจารณาและเข้าใจตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าดังนี้ว่า
1. คนเรามีความไม่สมหวังปารถนา-ยินดีใคร่ได้ดั่งใจไปทุกอย่าง เราย่อมมีความปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้
- ดั่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์

2. คนเรามีความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก-ที่พอใจเป็นแท้จริง เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ปารถนาใคร่ได้ต้องการ เจอสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่อยากได้ ไม่พอใจยินดี เจอการพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจทั้งหลาย เจอความผิดหวัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นชื่อว่า ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่-พอใจทั้งหลาย จนอยากจะผลักหนีให้ไกลตน เราจะพ้นสิ่งนี้ไปเป็นไม่ได้
- ดั่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย นั่นก็เป้นทุกข์


เมื่อยอมรับความจริงนี้แล้วความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็จะลดลงเข้าสู่สภาพความมีใจเป็นกลางๆ ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี ไม่ฟุ้งไป ไม่หลงไป นี่คือสภาพที่เรียกว่า อุเบกขาจิต
946  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ใครมีความรู้สึก ว่าทำความดีกับเขาไม่ขึ้นบ้างคะ ( ทุกข์ใจมากคะ ) เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 08:11:16 pm
คุณทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทน หรือ คุณทำดีเพราะทำให้คุณอยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องหวาดระแวงว่าใครจะมาทำร้ายคุณ
ความดี คนดีทำง่าย ไม่ติดข้องใจใดๆ
ความดี คนชั่วทำยาก มันติดขัดในจริตตน
ความชั่ว คนดีทำยาก เพราะหาประโยชน์สุขจากกรรม(การกระทำ)นั้นๆไม่ได้
ความชั่ว คนชั่วทำง่าย เพราะมันอยู่ในจริต

คุณหาคำตอบให้ได้ก่อนนะครับว่า ทำดีเพื่ออะไร แล้วเรามาดูวิธีการเจิรญจิตในความดีกันครับ
947  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: รู้สึก กังวลกับชีวิตคะ คิดแล้วก็หดหู่ ควรทำอย่างไรดี เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 07:56:24 pm
- สภาพนี้เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านไป เพราะคุณไม่มีสติระลึกรู้ปัจจุบันอยู่กับตนใช่ไหมครับ
- เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะอะไรจึงทำให้คุณเป็นแบบนั้น


ตอบ

- เพราะคุณมีการคิดปรุงแต่งสร้างเรื่องราวสมมติบัญญัติไปต่างๆนาๆ สภาพจิตเลื่อนลอยปรุงเข้ากับความคิดนานานับประการ คิดจับเรื่องนั้นเรื่องนี้มาปรุงระคนกันไปหมด จนคุณฟุ้งซ่านแล้วเสวยอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ ทรมานไปทั้งกายและใจ
- คำว่ากรรมนั้น แปลว่า การกระทำโดยเจตนาในปัจุบันนี้แหละครับ มันไม่มีกรรมเก่า มีแต่สิ่งที่คุณกระทำในปัจุบันนี้แหละครับส่งผลให้คุณเป็นอยู่แบบนี้


ทางแก้ไข

1. ทำสมาธิวันละ 20-30 นาที พิจารณาลมหายใจเข้าออก กำหนดพุทธ-โธ พยายามระลึกถึงเรื่องที่มีความสุข จนเข้าสู้สภาวะที่จิตนิ่งสงบ อบอุ่น เบาบาง แต่ผ่องใส ไม่ขุ่นข้องใจ จะช่วยให้คุณลดความฟุ้งซ่านไป ลดขยะในสมอง(นั้นคือลบความคิดทั้งหลายที่ไม่จำเป็นออกจากใจ) และ คุณจะเริ่มมีสติคิดหาทางออกที่ดีได้
2. บางครั้ง เรื่องอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ควรเอามาคิดฟุ้งซ่านไปซะจนคุณไม่เป็นอันทำการทำงาน ไม่เป็นอันกินอันนอน เพราะยิ่งคิดมากก้อยิ่งฟุ้งมาก พยายามอยู่กับปัจจุบันมีสติระลึกรู้ตัว ไม่ติดหลงไปกับความคิด
3. หากคุณคิดว่าต้องออกจากงานแน่นอนคุณลองเข้าเวบสมัครงาน แล้วลองประกาศหางานทำดูครับ มีเยอะแยะหลายที่ที่รับสมัคร
หน้า: 1 ... 22 23 [24]