ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร  (อ่าน 10253 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

nonestop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง

การทำสมาธิ
สมารถทำได้ทุกอริยาบถ คือ นั่ง นอน เดิน ยืน การนั่งควรเลือกเอา 2 แบบ คือขัดสมาธิแบบทั่ว ๆ ไป(แบบพระปฏิมากร) หรือ นั่งพับเพียบ(คุ้บัลลังก์) คือการเอาเท้าซ้ายสอดใต้เข่าขวา ทั้ง 2 แบบนี้ มือจะต้องประสานกันบนตัก

สมาธิลึกมี 3 ระดับ
1.สมาธิขั้นต้น หรือ ขณิกสมาธิ
2.สมาธิขั้นกลาง หรือ อุปจารสมาธิ
3.สมาธิขั้นสูง หรือ อัปปนาสมาธิ

เมื่อนั่งสมาธิแล้วจะไม่สามารถแยก 3 อย่างนี้ได้หรือจะแยกได้ยากมากซึ่งจะเรียกว่าเป็น ฌาณ ซึ่งฌาณจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ขั้น ที่เรียกว่า รูปฌาณ 4 คือ ฌาณ1 ฌาณ2 ฌาณ3 ฌาณ4 และก่อนที่เราจะเริ่มปฏิบัติ เราจำเป็นต้องรักษาศีล 5 ให้สมบูรณ์ หรือเรียกว่าเป็นคนไม่ผิดศีลเสียก่อน เพราะจิตที่ไม่บริสุทธิ์จะยากต่อการปฏิบัติธรรมให้สำเร็จได้

ก่อนนั่งจะต้องทำปัญจเคารพทุกครั้ง คือ กราบพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ และจะต้องมีจิตใจที่เชื่อมั่นว่าเป็นของที่มีอยู่และจะต้องยึดมั่นในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบบิดามารดา และกราบครูอาจารย์ผู้ที่สั่งสอนทางธรรมให้กับเรา รวมแล้ว คือการกราบ 5 ครั้ง หรือ เรียกว่า ปัญจเคารพ ซึ่งเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที จะช่วยให้จิตใจเราผ่องใสและเป็นสิริมงคงลก่อนที่เราจะทำกรรมฐาน

บริกรรมกรรมฐาน 5
เมือ่นั่งถนัดดีแล้วให้นำมือขวาทับมือซ้ายบนตัก แล้วนั่งตัวตรง อย่างอตัว หน้าตรง อย่าก้ม เพราะถ้าหลังงอจะนั่งได่ไม่ทน จะทำให้ปวดหลังปวดเอว เมื่อนั่งได้ถูกต้องแล้ว ให้เริ่มบริกรรมภาวนาโดยท่องในใจว่า “เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ” แล้วให้ท่องถอยหลัง “ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา” เรียกว่า กรรมฐาน 5

เริ่มเข้าฌาณ
ในขณะที่บริกรรมอยู่นั้นให้เพ่งไปข้างหน้าประมาณ 1 ช่วงแขน โดยพยายามให้จิตนั้นยึดอยู่ใน กรรมฐาน 5 โดยให้ท่องกลับไปกลับมา โดยไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น แต่ถ้าคิดอยู่ให้นึกดูว่าคิดเรื่องอะไรแล้วก็ให้บอกตัวเองว่าให้หยุดคิด หรือพักไว้ก่อน แล้วให้กลับมานึกถึงกรรมฐาน 5 เพียงอย่างเดียว เมื่อท่องไปแล้ว สัก 10 เที่ยวแล้วไม่หลง แปลว่าจิตได้ยึดกับกรรมฐาน 5 แล้ว จิตก็จะตั้งมั่น เมื่อนั้น ฌาณ 1 ก็จะเกิดขึ้นโดยไม่มีความนึกคิดอื่นเข้ามาเจือปน จากนั้นก็จะเกิดปีติขึ้น คือจะรู้สึกขนลุกขนพอง หรือ ซาบซ่าที่ผิวกาย หรือรู้สึกตัวพอง บางทีก็จะมีอาการกระตุกที่มือ อาการแบบนี้แสดงว่าฌาณ 2 เริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ในขณะที่จะขึ้นฌาณ 2 ที่เรยกว่า ปีติ ให้บริกรรมภาวนากรรมฐาน 5 ให้เร็วขึ้น ๆ ๆ เรื่อย ๆ จนรู้สึกใจหวิวและตัวสั่น หรืออาจสั่นอย่างแรงก็อย่าไปตกใจเพราะนั่นคือ อุเพงคาปีติ แต่ถ้าเป็นอาการขนลุกขนพอง เรียกว่า ผรณาปีติ ซึ่งผู้ปฏิบัติ จะต้องทำให้เกิด อุเพงคาปีติ ให้ได้จึงเรียกว่าถึงฌาณ 2 แล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะอุเพงคาปีติ นี้เองจะเป็นกำลังและฤทธิ์ เพื่อให้ถึงฌาณ 4 ได้เร็วยิ่งขึ้น และทำให้เกิดฤทธ์ต่างๆได้ในฌาณ 4 เช่น การเกิด หูทิพย์ ตาทิพย์ หยั่งรู้ใจคน ระลึกชาติได้ หรือแม้แต่กายทิพย์ที่เหาะเหินเดินอากาศ ล้วนแต่มาจาก ฤทธิ์ของอุเพงคาปีตินั่นเองในฌาณ 2 นั่นเอง

การขึ้น ฌาณ 3 เรียกว่า ฌาณสุขนั้น ถ้าร่างกายมีอาการสั่นให้หยุดสั่นแล้วให้นึกคำว่า 3 จากนั้นกระตุกตัวขึ้น และให้ท่องกรรมฐาน 5 ให้ช้าลง ฌาณ 3 นี้ ท่านบอกว่าเป็นทางผ่านเท่านั้น เพราะถ้าขืนปล่อยใจเพ่งอยู่กับณาณเกินไปจะรู้สึกสบายกายสบายใจ ทำให้เพลินจนหลับได้ พยายามหายใจให้เป็นปกติให้นึกถึงคำว่า ฌาณ 4 พร้อมกับกระตุกตัวขึ้น จากนั้นท่องกรรมฐาน 5 ให้ช้าลงอีก เพื่อจะทำให้จิตนิ่งและแนบขึ้น ที่สำคัญในฌาณนี้ ห้ามกระดุกกระดิกตัวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ฌาณตก เพราะในฌาณนี้จะเริ่มรู้สึกชาที่ข้อมือ ลามไปจนถึงขา และ ปลายเท้า บางครั้งชาจนทั่วใบหน้าไปถึงลิ้น ร่างกายของเราจะรู้สึกชาจนเหมือนก้อนหิน และอาจจะเกิดการเจ็บปวดตามร่างกายตามมาด้วย วึ่งถ้าทนไม่ได้จะไม่สำเร็จการเข้าฌาณ ความเจ็บปวดนี้เองที่พระพุทธเจ้าเคยเจอซึ่งเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจ และถือเป็นมารที่ขัดขวางไม่ให้เราเข้าฌาณได่สำเร็จ ความเจ็บปวดตามร่างกายคือกรรมเก่าที่เราเคยทำมานั่นเองและทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงการดับทุกข์ได้ในที่สุดเพราะสุดท้ายถ้าเราดับทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ไปได้ ความเจ็บปวดก็จะหาย การนั่งฌาณจนมาถึงขั้นนี้จึงเป็นการเผาผลาญกรรมที่เราเคยทำมา และชดใช้กรรมให้เบาบางลงนั่นเอง ซึ่งมีหลายคนที่เมือ่นั่งจนถึงขั้นนี้ก็ต้องออกจากฌาณเสียก่อนเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว และก็ไม่สามารถชดใช้กรรม หรือเผาผลาญกรรมของตนให้เบาบางลงได้

ฉะนั้นเมื่อเรานั่งฌาณแล้วเจอทุกข์ ขอให้เรารู้ไว้ว่าเราได้นั่งฌาณได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงเคยนั่งมาก่อนแล้วทั้งสิ้น และขอให้เพียรต่อไป เพราะจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต และยังสามารถพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าได้จนถึงการที่สามารถมีกายทิพย์แล้วย้อนกลับไปในอดีตชาติ หรืออนาคต หรือท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ด้วยความเร็วของจิตที่นึกคิด หรือแม้แต่ไปดูนรก หรือสวรรค์ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า “ถอดจิต หรือถอดกายในได้นั่นเอง” ซึ่งอาการเหล่านี้รับรองว่าท่านก็สามารถพิสูจน์ได้แน่นอน ถ้าท่านเป็นผู้รักษาศีลได้อย่างดี และทำฌาณได้สม่ำเสมออย่างถูกต้อง หมายถึงการทำฌาณ4 ให้ได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

*** ในการนั่งฌาณ ถ้าจะให้นั่งให้ได้คุณภาพ จะต้องให้ได้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะจะได้สมาธิขั้นกลางจนถึงขั้นสูง ซึ่งจำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกทุกครั้ง ตรงนี้ให้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถึงแม้ว่าเราจะนั่งให้ถึงขั้นดับทุกข์ไม่ได้ แต่เราก็สามารถเอาชนะเวลาได้ ซึ่งถือว่าเรานั้นได้สัจจาบารมี คือไม่แพ้มารนั่นเอง ที่สำคัญ อย่าออกจากฌาณก่อนนาฬิกาปลุกแม้ตานาทีเดียวเป็นอันขาด จะถือว่าแพ้มารทันที ***

โทษของการแพ้มาร
จะทำให้เราได้รับความหงุดหงิดรำคาญใจทั้งวัน และความโกรธซึ่งถือเป็นการผิดศีลข้อหนึ่งก็จะตามมา บางทีอาจเจอเรื่องที่ต้องทำให้เราหัวเสียไปทั้งวัน ทำอะไรก็จะติด ๆ ขัด ๆ และถ้าเรานั่งฌาณแล้วแพ้มารบ่อย ๆ ก็จะทำให้เราท้อและเลิกนั่งไปในที่สุด
ตรงกันข้ามกับการชนะมาร จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจ มีสติปัญญา สบายใจ และราบรื่นไปทั้งวัน เมื่อนั่งฌาณแล้วชนะมารได้บ่อย ๆ จะทำให้เราเกิดความเจริญก้าวหน้า ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ และที่สำคัญ จะทำให้เราเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมอย่างมั่นคง และทั้งสองอย่างนี้ ผู้ที่ได้ปฏิบัติจะเจอกับตัวเองอย่างแน่นอน

การถอยฌาณ
ในการนั่งฌาณนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่เมื่อติดฌาณแล้ว เมื่อครบเวลา 1 หรือ 2 ชั่วโมงจะต้องถอยฌาณให้เป็นเพราะจะทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นสติไม่ดี หรือบางรายอาจเป็นบ้าไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อ่เราอยู่ในฌาณที่ 4 ให้เรานึกถึงคำว่า 3 แล้วให้ลดตัวลง แล้วให้แผ่เมตตา เสร็จแล้วให้นึกถึงคำว่า 2 พร้อมกับสั่นร่างกายทันที และการสั่นถอยนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะเป็นการสลัดออกจากฌาณ 4 ซึ่งถ้าสลัดออกไม่หมดจะทำให้เราติดฌาณได้ เพราะการนั่งฌาณสำหรับคนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้สึกตัวว่าอยู่ฌาณไหน เพราะฌาณสามารถเลือ่นขึ้นเองได้อัตโนมัติ และเมื่อถึงฌาณ 4 โดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องการจะออกจากสมาธิเขาก็จะลืมตาขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้ถอยฌาณ ถ้าเป็นช่วงแรก ๆ จะมีอาการปวดหัว ปวดตามตัว บางครั้งเกร็งจนขยับตัวไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เกิดจาการเส้นยึด แต่เป็นเพราะจิตยังติดอยู่ในฌาณที่เรียกว่า อุเบกขาฌาณ คือ ฌาณที่อยู่ในฌาณ 4 นั่นเอง ซึ่งเป็นฌาณแห่งการวางเฉย หนักเข้าก็จะกลายเป็นคนเบลอ ๆ ไม่พูดไม่จา บางทีพูดคำหนึ่งก็หยุดไปเลย จะกลายเป็นคนเชื่องช้า เซื่องซึม ไม่กระตือรือร้น พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง และกลายเป็นคนเกียจคร้าน เสื้อผ้าไม่เปลี่ยนไม่ซัก ข้าวปลาไม่กิน ไม่พูดไม่จากับใคร เมื่อใครเห็นก็ต้องคิดว่าไม่ต่างจากคนบ้าแน่นอน เช่นพระบางองค์ที่ท่านไม่รู้จักการถอยฌาณที่เราคงเคยเห็น ท่านจะนั่งสมาธิเป็นเวลานาน ๆ มองดูแล้วเหมือแก่กล้าอาคม แต่แท้จริงแล้วท่านไม่รู้จักการถอยฌาณ ซึ่งท่าทีจะดูสงบนิ่ง ดูเหม่อลอย แต่แท้จริงแล้วนั่นคืออาการติดฌาณ แต่ในเรื่องของฤทธิ์นั้นท่านมีแน่นอนเพราะมาจากอำนาจของฌาณที่ท่านบริกรรมครั้งละเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมงนั่นเอง
เมื่อสั่นที่ ฌาณ 2 จนออกจากฌาณได้หมด ให้เรานึกถึง 1 แล้วลดตัว ในฌาณ 1 นี้ เราจะต้องทำการกรวดน้ำเพื่อแบ่งบุญให้คนเป็น และ อุทิศบุญให้คนตาย และการที่เรามีฌาณก็ถือว่าเราเป็นผู้มีอำนาจ อย่างน้อยก็สามารถกรวดน้ำแบ่งบุญและอุทิศบุญได้ ซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ แม้กระทั่งพระที่ไม่มีศีลไม่มีฌาณสมาธิก็จะไม่สามารถกรวดน้ำได้ดีเท่าเรา ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ทำบุญกับพระที่ไม่มีศีลไม่มีฌาณ เรียกว่า ทำบุญแล้วผีอด”
เมื่อกรวดน้ำในฌาณที่ 1 เสร็จ ให้นึกถึงฌาณที่ 2 แล้วสั่นตัวเบา ๆ ไปข้างหน้า 3 ครั้ง เสร็จแล้วให้นึกถึง ฌาณ 1
แล้วลดตัวลง เมื่อต้องการจะออกจากฌาณ ให้เราสะบัดหน้าแล้วนึกคำว่า ออก แล้วค่อย ๆ ลืมตา และก้มกราบ 5 ครั้งเหมือนตอนเริ่มนั่งฌาณ

คำอธิษฐาน
ในการนั่งฌาณ 15 นาที หรือครึ่งชั่วโมงแรกเมื่อถึง ฌาณ 4 โดยรอจนเริ่มรู้สึกชา แล้วให้ค่อย ๆ ถอยฌาณมาอยู่ที่ฌาณ 1 และจึงเริ่มเข้าฌาณ 1 อีกครั้ง โดยให้อธิษฐานดังนี้ก่อนจึงเริ่มเข้าฌาณอีกครั้ง ให้อธิษฐานจิตดังนี้โดยพนม หลับตา
“ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ด้วยบุญบารมีที่ขาพเจ้าสร้าง และด้วยอธิษฐานบารมี ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า..... และขอให้ได้รับผลเกินคาดด้วยเทอญ”

คำแผ่เมตตา
“ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุข
ขอให้ ลูก (สามี,ภรรยา) พ่อ แม่ พี่น้อง และญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้า จงมีแต่ความสุข
ขอให้ทั้งศัตรู และหมู่มิตรทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข
ขอให้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย เบื้องบนจดอรูปพรหม เบื้องล่างจดมหาอเวจีนรก เบื้องขวาง รายรอบสุดขอบจักรวาล จงมีแต่ความสุข”

คำกรวดน้ำแบบอธิษฐานเอง
“ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในวันนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่งบุญนี้ให้แก่....(ใช้กับบคนเป็น) และขออุทิศบุญนี้ให้แก่....(ใช้กับคนตายหรือเทวดา) และขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับบุญของข้าพเจ้านี้ด้วยเทอญ”

http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99-4-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94-98757.html

http://www.wattham.org/

จากคุณ    : เกียดเกียด
บันทึกการเข้า
nonestop  หยุดทำ้ร้าย หยุดเบียดเบียน หยุดการกลับมาเกิด กันเถิดครับ

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 01:57:25 pm »
0
มีคำแนะนำที่ดีมากครับ อ่านแล้วเหมือนได้หนทางภาวนา เลยครับ
จึงเรียนถาม ทีมมัชฌิมา แบบลำดับว่า วิธีการนี้เป็นเเช่นไร พอนำเป็นแนวทางได้หรือไม่ครับ
   :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 10:45:18 am »
0
สาธุ ขอบคุณกับบทความที่เป็นประโยชน์นี้ของท่าน NONESTOP ครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

indy

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 101
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 03:53:56 pm »
0
ผมเองเคยฝึกอยู่พักนีงเหมือนกัน ดีมากเลย แต่จะเข้าฌาณหนักไปหน่อย  ถ้ามีโอกาสจะฝึกวิธีนี้อีกครับ
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 04:54:49 pm »
0


ผมรู้จักแนวทางภาวนาของหลวงพ่อสรวงวัดถ้ำขวัญเมือง จ.ชุมพร ในครั้งที่ไปปฏิบัติภาวนาที่วัดป่าสันติธรรม ฟังแล้ว

ก็ให้รู้สึกเข้าฌานง่ายไปหน่อย ยอมรับว่ากังขาเอามากๆกับวิธีการอย่างนี้ ทุกสิ่งอย่างเมื่อพูดนั้นง่ายทำนั้นยากกว่ามาก

อย่าเสี่ยงเลี่ยงเข้าหาครูบาอาจารย์จะดีกว่าบ้าได้ง่ายๆหรือเบลอเอาอย่าทำเป็นเล่น ภาวนาพยุงตัวเกื้อคนช่วยผี ค่อยๆ

เป็นค่อยๆไปตามขั้นลำดับห้องจะดีกว่า อยากเป็นผู้วิเศษกิเลสทั้งนั้นครับ




http://www.luangputo.com/forum/index.php?topic=40.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 14, 2012, 05:13:02 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมถกรรมฐานของ หลวงพ่อสรวง วัดถ้าขวัญเมือง ชุมพร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 15, 2012, 01:15:27 am »
0
หว่างตา-วิชชาสาม
กลางอก-อภิญญาหก
ใต้สะดือสองนิ้วมือ-ปฏิสัมภิทัปปัตโต ปฏิสัมภิทาสี่
กรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ....กรรมฐานพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา