ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ธัมมะวังโส
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35
1281  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / สรุปธรรมสัญจร ภาคเหนือ 24 25 26 27 ธ.ค.2553 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 09:34:14 am

ไปถึง ตี 3.45 น. อากาศกำลังเย็นแบบสั่นเลยครับ



หน้าถ้ำผาจมครับ


บนชั้น 3 ครับของอาคารปฏิบัติธรรม เป็นที่รวบรวม พระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุต่าง ๆ


พระเจ้าล้านตื้อ บนเรือ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ



บรรยากาศน้ำพุร้อน แม่ขะจาน


พระธาตุแม่เจดีย์


กราบนมัสการพระธาตุแม่เจดีย์
1282  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นำไตเติ้ล ตัวอย่าง วีดีโอ กรรมฐาน ชุดพิเศษ จะจัดทำเดือน ก.พ. หรือ มี.ค. เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 06:56:10 pm


นำ title วีดีโอมาให้ชมก่่อน ตอนนี้พระอาจารย์ กำลังเริ่มจัดทำ วีดีโอบรรยาย

กรรมฐาน ชุด "ปิดทองหลังพระ" คงจะเริ่มจัดทำในเดือน ก.พ. ปลายเดือน หรือ มี.ค.

เพื่อรำลึกถึงวันที่ศิษย์ ได้มาปฏิบัติกรรมฐาน ในวัน 19 20 21 ก.พ.53 ที่ผ่านมา

Aeva Debug: 0.0004 seconds.
1283  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 08:54:05 am
สักกายทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวรรค

โสดาปัตติมรรคอาสวะเหล่านั้นคือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐิสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เป็นเหุตให้สัตว์ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะ แห่งโสดาปัตตอมรรคนี้

สกทาคมมิมรรคอาสวะส่วนหยาบ ภวาสะ อวิชชาสวะ อันตั้งกันอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยสหทาคมิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่ง สหทาคามิมรรคนี้

อนาคามิมรรคกามาสวะทั้งสิ้น ภวาสวะ อวิชชาสวะ อันตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอนาคามิมรรคนี้

อรหัตมรรคภวาสวะ อวิชชาสวะ ย่อมสิ้นไปไม่มีส่วนเหลือด้วยอรหัตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะแห่งอรหัตมรรคนี้ชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิแห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิฌาณ


1284  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เหตุที่พระอาจารย์ วิเวก เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 11:04:31 am
ก่อนอื่น ขอขอบคุณ ทุกท่านที่คิดถึง และส่งเมล มาสอบถามความเป็นอยู่ ซึ่งกันและกัน ด้วยความนับถือ

ก็ขอให้ทุกคนนั้น มีความก้าวหน้าในการเจริญธรรม ทุกท่าน




ก็จะ ขอชี้แจง เรื่องการปลีก วิเวก ของพระอาจารย์ ให้ทราบ เพื่อคลายความเป็นห่วงกัน




ทำไม พระอาจารย์ เลือกการปลีกวิเวก ช่วงนี้


1. การคลุกคลี ด้วย หมู่คณะ มีอุปสรรค ในการเจริญภาวนา

2. กิจวัตร ไม่สอดคล้องกับการภาวนา

3. การฝึกตน มีความสำคัญ มากที่สุด

4. เพื่อดู ลูกศิษย์ ที่ได้ขึ้น กรรมฐาน 3000 กว่าคน นั้นมีความก้าวหน้าในกรรมฐาน กี่คน

เจริญพรให้ทราบเบื้องต้นเท่านี้นะจ๊ะ

 ;)

1285  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฌายี 4 ของพระโยคาวจร ( ความสำคัญผิดหรือถูก ในฌาน ) ควรปรับปรุงด้วยสติ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 10:51:53 am
พระโยคาวจร ผู้เจริญภาวนา 4 จำพวก เรียกว่า ฌายี 4

 1. พระโยคาวจร ผู้เจริญ ฌาน บางคน ย่อมสำคัญ ผิด ซึ่ง ฌานที่ตนได้แล้ว ว่า ยังไม่ได้  ก็มี

2. พระโยคาวจร ผู้เจริญ ฌาน บางคน ย่อมสำคัญ ผิด ซึ่ง ฌานที่ตนยังไม่ได้ ว่า ได้แล้ว มีเแล้ว  ก็มี

 3.  พระโยคาวจร ผู้เจริญ ฌาน บางคน ย่อมสำคัญ ถูก ซึ่ง ฌานที่ตนได้แล้ว ว่า ได้แล้ว ก็มี

 4.  พระโยคาวจร ผู้เจริญ ฌาน บางคน ย่อมสำคัญ ถูก ซึ่ง ฌานที่ตนยังไม่ได้ ว่า ยังไม่ได้  ก็มี

ใน 4 จำพวกนี้ พวกที่ 2 ควรจะต้องรีบปรับปรุง ทันที ปรับปรุงอย่างไร ปรับปรุงด้วย สติ ก่อนเป็นอันดับแรก

เพราะเป็นเหตุนำมาซึ่งความหลง ความผิด และ บาปอกุศล หลายอย่าง

เจริญพร

 ;)

1286  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระภิกษุ มิได้ ปฏิบัติ กรรมฐาน เพียง กรรมฐาน เดียว เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 10:39:27 am
ตามที่หลายท่าน เมล เข้ามาขอตอบเป็นส่วนรวมนะจ๊ะ

 การปฏิบัติกรรมฐาน ของพระภิกษุ นั้น มิได้ปฏิบัติ กรรมฐานกองใด กองหนึ่ง เป็นส่วนเดียว

 เนื่องด้วย กรรมฐาน มีอุบายอยู่ในวัตร ปฏิบัติของพระัภิกษุอยู่แล้ว

  ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายดังนี้

  1. การทำวัตร สวดมนต์ เป็นการเจริญ อนุสสติ ทั้ง 10 ประการ ทังแปล และ ไม่แปล ก็เหมือนกัน

  2. หลังทำวัตร สวดมนต์ เข้ากรรมฐานสันโดด กองใด กองหนึ่ง และ จบด้วย พรหมวิหารกรรมฐาน

  3. บิณฑบาตร และ ฉัน หลัง ฉัน ก็ปฏิบัติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา และ จตุธาตุววัตถาน กายคตาสติ

  4.ในกิจวัตร อื่น ๆ ก็ยังมีอีก พอแค่นี้ นะจ๊ะ

  ดังนั้น กรรมฐาน ไม่ได้ฝึกกันเวลาเดียว แต่ฝึกกันทั้งวัน ใครฝึกได้ทัน กำหนดได้ทัน ก็มีความสามารถ ทาง

จิตเพิ่มขึ้น อันนี้อยู่ที่ความเพียร กับ ธรรมวิจยะ นะจ๊ะ

 เจริญพร

 ;)
1287  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระยุคลหก นั้น เป็นโสภณจิต ระหว่าง ปีติ และ สุข เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 10:28:36 am
ตามเมล สอบถามมานั้น ว่า พระยุคล เป็นส่วนไหน ของ ปฐมฌาน เพราะไม่มีเนื้อหา ของเรื่อง ยุคลหก

เห็นว่าเป็นคำถามที่ดี จึงขอนำมาตอบไว้ในที่นี้ ครับ

 เนื่องด้วย วิชากรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีความละเอียดในเรื่องจิต

  ดังนั้น ยุคลหก ไม่ใช่ วิชาที่นอกเหนือ พระไตรปิฏก ยุคลหก ปรากฏข้อความ โสภณจิต มีรายละเอียดใน

ส่วนพระอภิธรรม ตั้งแต่ ธัมมะสังคิณีปกรณ์ ขึ้นไป


   ยุคลหก นั้น เป็น อารมณ์จิต ที่ประกอบ ด้วย ปีติและ สุข อันประสาน ระหว่าง กาย และ จิต

   มี หกประการ คือ ( รูปนามสัมพันธ์ กัน )

    1. กายะปัสสัทธิ  จิตตะปัสสัทธิ  กายสงบระงับ  จิตสงบระงับ

    2. กายะลหุตา  จิตตะลหุตา  กายเบา จิตเบา

    3. กายะมุทุทตา  จิตตะมุทุตา  กายอ่อนโยน จิตอ่อนโยน

    4. กายะกัมมัญญะตา จิตตะกัมมัญญะตา การควรแก่การงาน จิตควรแก่การงาน

    5. กายะปาคุญญะตา  จิตตะปาคุญญะตา กายคล่องแคล่ว จิตคล่องแคล่ว

    6. กายุชุคคะตา  จิตตุชุคคะตา กายตรง จิตตรง


   เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็ส่งจิตเข้าสู่องค์ที่ 4 แห่ง ฌาน นั้นก็คือ สุข

    กายสุข  จิตสุข  กายก็สุข  จิตก็สุข

    เป็นสุขสมาธิ เต็มขั้น ก็อย่างนี้


   เจริญพร

    ;)
   

    สั้น ๆ ก็แค่นี้ นะจ๊ะ

 
1288  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระภิกษุผู้มีคุณสมบัติ ในการ จาริก ธุดงค์ แบบกรรมฐาน มัชฌิมา เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 10:19:29 am
ตามที่พระคุณเจ้าสอบถาม มาทางเมล นะครับ เกี่ยวกับเรื่อง ธุดงค์

===================================================

ในศิษย์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ หากเป็นพระภิกษุ จะให้เดินธุดงค์ ได้ก็ต้องฝึกจิต

ได้อุปจาระฌาน หรือ ปฐมฌาน ไปแล้ว จึงควรแก่การธุดงค์ จาริก เพราะไม่ทำให้ฟุ้งซ่าน

เมื่อจะออกจาริก ธุดงค์ ก็ พึงระลึกคุณธรรม 4 ประการ

   1. อาตาปี ความเพียรเผากิเลสอย่างยิ่ง

   2. ปหิตโต มีตนส่งไปแล้ว

   3. อารัทธวิริโย มีความเพียรปรารภแล้ว

   4. อุรัง ทัตตะวา พุทธะสาสะเน  มอบชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา

อันนี้เป็นส่วนคุณธรรม ทีต้องตั้งไว้
============================================

ส่วนพระวินัย นั้นต้องปฏิบัติตามด้วย

การบอกกล่าวลา

พรรษา ที่พ้นวิสัยปกครอง คือ 5 พรรษาขึ้นไป

เรียนกรรมฐาน ฝึกจิต ได้ผลเบื้องต้นแล้ว

===============================================

หากไม่ได้คุณสมบัติ ตามนี้ จากที่ผมเคยเดินจาก สงขลา กับ มาสระบุรี นั้น เหนื่อยฟรีครับ

ที่สำคัญ ฟุ้งซ่านด้วย เืพื่อนผม ลาสิกขาหายจากไปทัง 3 รูป เดินมาด้วยกัน 3 รูป และ เพิ่ม อีก 4

===========================================================

แต่ได้นิสัย ติดมาอย่าง ครับ คือเวลาไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ๆ ผมขนอุปกรณ์ไปน้อยมาก อยู่ง่าย จัดที่ง่าย

ถ้าผ่านการเดินทางสายใต้ ฝนจะตกบ่อยมาก อากาศชื้น ต้องเตรียมยาติดตัวไปบ้าง ที่สำคัญถ้าเวลาป่วยแล้ว

อย่าฝืนจะเป็นหนัก ให้เข้าวัดในวัดที่ใกล้เคียงก่อน

============================================================

เดินภาคเหนือ อากาศเย็น และ หนาว เครื่องนุ่งห่ม มีความสำคัญมาก ๆ

============================================================

เิดินภาคอิสาณ อากาศเย็น และ หนาว น้ำมีความสำคัญมาก เพราะหาน้ำดื่มยากมาก แห้งแล้ง

============================================================

เดินภาคกลาง ภาคตะวันออก อากาศดี ร้อน ที่สำคัญ ระวังรถด้วย รถเยอะ ขับรถกันเร็วจริง ๆ

============================================================

เดินธุดงค์ อย่าพกปัจจัยมาก พกแค่ ร้อย สองร้อย ( เพื่อเปลี่ยนใจเดินทางกลับ ) หรือไม่พกเลย จะดีมาก

คำแนะนำให้เป็นส่วน รวม เลยนะครับ

 ;)
1289  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อะไร เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 11:37:05 am
กับคำถามว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อะไร ?
ขอตอบด้วยพระสูตร อันมีใน พระไตรปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค เลยนะจ๊ะ   




   [๒๑๗] ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วย
ความระงับสังขาร ๓ ด้วยญาณจริยา ๑๖ และด้วยสมาธิจริยา๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณอย่างไร ฯ   
    คำว่า ด้วยพละ ๒ ความว่า พละ ๒ คือสมถพละ ๑ วิปัสนาพละ ๑ ฯ   

   [๒๑๘] สมถพละเป็นไฉน ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียวไม่ฟุ้งซ่าน  ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ ด้วยสามารถแห่งความไม่พยาบาท ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา ด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมถพละแต่ละอย่างๆ ฯ
    [๒๑๙] คำว่า สมถพลํ ความว่า ชื่อว่าสมถพละ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ    ชื่อว่าสมถพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวเพราะนิวรณ์ ด้วยปฐมฌานไม่หวั่นไหวเพราะวิตกวิจาร ด้วยทุติยฌาน ไม่หวั่นไหวเพราะปีติ ด้วยตติยฌานไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์ ด้วยจตุตถฌาน ไม่หวั่นไหว เพราะรูปสัญญาปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา ด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ ไม่หวั่นไหวเพราะอากาสานัญจายตนสัญญา ด้วยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ไม่หวั่นไหวเพราะอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ไม่หวั่นไหวไม่กวัดแกว่งไม่คลอนแคลน เพราะอุทธัจจะ เพราะกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะและเพราะขันธ์ นี้ชื่อว่าสมถพละ ฯ
    [๒๒๐] วิปัสนาพละเป็นไฉน อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนา  อนัตตานุปัสนานิพพิทานุปัสนา วิราคานุปัสนา นิโรธานุปัสนา ปฏินิสสัคคานุปัสนา
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ฯลฯ ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ เป็นวิปัสนาพละแต่ละอย่างๆ ฯ
    [๒๒๑] คำว่า วิปสฺสนาพลํ ความว่า ชื่อว่าวิปัสนาพละ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ    ชื่อว่าวิปัสนาพละ เพราะอรรถว่า  ไม่หวั่นไหวเพราะนิจจสัญญา     ด้วยอนิจจานุปัสนาไม่หวั่นไหวเพราะสุขสัญญา ด้วยทุกขานุปัสนา ไม่หวั่นไหวเพราะอัตตสัญญา ด้วยอนัตตานุปัสนา ไม่หวั่นไหวเพราะความเพลิดเพลิน ด้วยนิพพิทานุปัสนา ไม่หวั่นไหวเพราะความกำหนัด ด้วยวิราคานุปัสนา ไม่หวั่นไหวเพราะสมุทัย ด้วยนิโรธานุปัสนา ไม่หวั่นไหวเพราะความถือมั่น    ด้วย            ปฏินิสสัคคานุปัสนา ไม่หวั่นไหว ไม่กวัดแกว่ง ไม่คลอนแคลน เพราะอวิชชา เพราะกิเลสอันสหรคตด้วยอวิชชา และเพราะขันธ์ นี้ชื่อว่าวิปัสนาพละ ฯ
    [๒๒๒] คำว่า ด้วยการระงับสังขาร ๓ ความว่า ด้วยการระงับสังขาร๓ เป็นไฉน วิตกวิจารเป็นวจีสังขารของท่านผู้เข้าทุติยฌานระงับไป ลมอัสสาสปัสสาสะเป็นกายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน ระงับไป สัญญาและเวทนาเป็นจิตตสังขารของท่านผู้เข้า สัญญาเวทยิตนิโรธ
ระงับไปด้วยการระงับสังขาร๓ เหล่านี้ ฯ
    [๒๒๓] คำว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ ความว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖เป็นไฉน อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนา อนัตตานุปัสนา นิพพิทานุปัสนาวิราคานุปัสนา นิโรธานุปัสนาปฏินิสสัคคานุปัสนา วิวัฏฏนานุปัสนา โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลสมาบัติ สกทาคามิมรรคสกทาคามิผลสมาบัติอนาคามิมรรค อนาคามิผลสมาบัติ อรหัตมรรค อรหัตผลสมาบัติ เป็นญาณจริยาแต่ละอย่าง ๆ ด้วยญาณจริยา ๑๖ นี้ ฯ
    [๒๒๔] คำว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ ความว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นไฉน ปฐมฌานทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนสมาบัติวิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นสมาธิจริยาแต่ละอย่างๆ วิตกวิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาจิต เพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน ฯลฯ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา จิต เพื่อประโยชน์แก่การได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ด้วยสมาธิจริยา ๙ นี้ ฯ
    [๒๒๕] คำว่า วสี ความว่า วสี ๕ ประการ คือ อาวัชชนาวสี ๑ สมาปัชชนาวสี ๑ อธิษฐานวสี ๑ วุฏฐานวสี ๑ ปัจจเวกขณวสี ๑ ฯ
    สมาปัตติลาภีบุคคลคำนึงถึงปฐมฌานได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการคำนึงถึง เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าอาวัชชนาวสีสมาปัตติลาภีบุคคลเข้าปฐมฌานได้ ณ สถานที่ และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการเข้า เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสมาปัชชนาวสี สมาปัตติลาภีบุคคลอธิษฐานปฐมฌานได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการอธิษฐาน เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าอธิษฐานวสี สมาปัตติลาภีบุคคลออกปฐมฌาณได้  ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการออก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าวุฏฐานวสี สมาปัตติลาภีบุคคลพิจารณาปฐมฌานได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการพิจารณา เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าปัจจเวกขณวสี สมาปัตติลาภีบุคคลคำนึงถึงทุติยฌาน ฯลฯเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา ไม่มีความเนิ่นช้าในการคำนึงถึงเพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าอาวัชชนาวสี สมาปัตติลาภีบุคคลเข้า ฯลฯ อธิษฐาน ออกพิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนาไม่มีความเนิ่นช้าในการพิจารณา เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าปัจจเวกขณวสี วสี ๕ประการนี้ ฯ
    ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วยความระงับสังขาร ๓ ด้วยญานจริยา ๑๖ และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ ฯ

สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน
     ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ  นี้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์ ฯ

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขารในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ฯลฯ ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นญาณวิโมกข์ ฯ

เจริญพร
;) Aeva Debug: 0.0007 seconds.
1290  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เกี่ยวกับ ตจปัญจกกรรมฐาน เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 11:36:05 am
คำถามจากเมล์ จากพระุคุณเจ้า พระนวกะ

ปุจฉา มีกรรมฐานอะไรที่ ผมจะทำได้เบื้องต้น โดยที่ยังไม่ต้องขึ้นกรรมฐาน ครับ

วิสัชชนา กรรมฐานที่มีมาตั้งแต่ต้นสำหรับพระภิกษุ ผู้บวชใหม่ ถือว่าได้ขึ้นกรรมฐาน กับ พระอุปัชฌาย์โดยตรงแล้ว นั่้นก็คือ ตจปัญจกกรรมฐาน ซึ่งจัดเป็นกรรมฐาน ในหมวด กายคตาสติ คือตาม ตามระลึกพิจารณาในกายมี  ดังนี้   
1. เกสา  หมายถึง ผม   
2. โลมา หมายถึง ขน   
3. นขา  หมายถึง เล็บ   
4. ทันตา หมายถึง ฟัน   
5. ตโจ หมายถึง หนัง เหตุ เพราะ ตจปัญจกกรรมฐาน
มีไว้ทำลาย ราคะ อันเิกิด จาก มาตุคาม ( สตรีเพศ ) ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ และเป็นด่านสำคัญ ของพระภิกษุผู้ปฏิบัติ ใน พุทธศาสนา    เพราะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ อันน่ารัก น่าใคร่ ย่อมเกิดแก่ บุรุษ เพราะ สตรีิ เป็นเหตุ ฉันใดการภาวนา เรื่องแรกคือต้องลด ตัณหา อันหยาบเสียก่อน

การเจริญกายคตาสติและอานิสงส์
        บูรพาจารย์ด้านกรรมฐานต่างรู้ว่า  วิธีการเจริญกรรมฐานอันเป็นสัมมาสมาธิในพุทธศาสนา มีมากมายหลายประการถึง 40  วิธี  หากครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานในอดีตและปัจจุบัน   มักจะใช้หลักการพิจารณากายคตา  เป็นเครื่องถอดถอนชำระกิเลส   แม้แต่ในมูลบทกรรมฐานที่พระอุปัชฌาย์ให้อนุศาสน์แก่กุลบุตรผู้บวชใหม่ในบวร พุทธศาสนา  ท่านยังพากล่าววิธีพิจารณาอาการแห่งกาย เป็นอนุโลม-ปฏิโลม  ดังนี้
            ...เกสา โลมา  นขา  ทันตา  ตะโจ...
            ตะโจ  ทันตา  นขา  โลมา  เกสา...
         มูลกรรมฐานทั้งห้าประกอบด้วย  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง...  เหตุที่ท่านให้พิจารณาอาการทั้งห้าก่อน  ก็เพราะเป็นอาการภายนอกที่เห็นได้ชัดและง่ายต่อการจดจำ
         ทำไมต้องพิจารณากาย?  คำตอบคือ  กายเป็นที่ตั้งของชีวิต   เป็นเรือนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดด้วยอุปาทานความหลงผิดจนจิตยึดติดเป็นตัว กูของกู   ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านจึงให้พิจารณาจนเห็นความจริงแท้แห่งกายดังการ อรรถาธิบายความถึงกายคตาสติว่า... เป็นกรรมฐานสำหรับชำระจิตใจให้บริสุทธิ์   ด้วยมานึกถึงกาย  คือที่ประชุมแห่งความน่าเกลียดแห่งอาการสามสิบสอง   พิจารณาให้เห็นความจริงว่าทั้งหมดคืออาการแห่งสิ่งปฏิกูล   จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายยึดติดโดยปัญญา
        เมื่อจิตมีปัญญา   ไม่ยึดกายปล่อยวางธาตุที่ประชุมกันเป็นตัวตน...ความไม่เกิดเพื่อเวียนภพ เวียนชาติจะตามมาในไม่ช้า  ก็เมื่อไม่ติดไม่ยึดในกาย  จิตจะเอาอะไรมาเกิดในภพได้
         ในหนังสือ ท่านพระอาจารย์เสาร์   กันตสีโล ของวัดดอนธาตุ  พรรณนาวิธีการเจริญกายคตาไว้ชัดเจนยิ่ง   จึงขอนำมาเสนอเพื่อประโยชน์แห่งพุทธศาสนิกชนในครั้งนี้
         ก่อนอื่นเมื่อจะเจริญกายคตาสติ  ให้เจริญโดยนัยที่มาในบทบาลี  ดังนี้ว่า...

           อะยังโข  เม  กาโย,  อุทธัง  ปาทะตะลา,  อะโธเกสะมัตถะกา,   ตะจะปะริยันโต,  ปูโร  นานัปปะการัสสะ  อะสุจิโน,  อัตถิ  อิมัสมิง  กาเย,   เกสา  โลมา  นะขา  ทันตา  ตะโจ,  มังสัง  นะหารู  อัฏฐิ  อัฏฐิมิญชัง   วักกัง,  หะทะยัง   ยะกะนัง  กิโลมะกัง  ปิหะกัง  ปัปฝาสัง,  อันตัง   อันตะคุณัง  อุทะริยัง  กะรีสัง,  ปิตตัง  เสมหัง  ปุพโพ  โลหิตัง  เสโท   เมโท,  อัสสุ  วะสา  เขโฬ  สิงฆาณิกา  ละสิกา  มุตตัง  อะยังโข  เม  กาโย   อุทธัง  ปาทะตะลา,  อะโธ  เกสะมัตถะกา  ตะจะปะริยันโต,  ปูโร   นานัปปะการัสสะ,  อะสุจิโนติ

        การท่องบาลี  ควรจำกายคตานี้โดยให้รู้และเข้าใจเนื้อความดังนี้ว่า...
     อะยังโข   เม  กาโย...กายของเรานี้แล 
     อุทธัง ปาทะตะลา  เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา 
     อะโธ  เกสะมัตถะกา  เบื้องต่ำนับแต่ปลายผมลงไป 
     ตะจะปะริยันโต  มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ 
     ปูโร  นานัปปะการัสสะ  อะสุจิโน  เต็มไปด้วยของโสโครกไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ
     อัตถิ  อิมัสมิง  กาเย  มีอยู่ในกายนี้  เป็นที่ประชุมของน่าเกลียด
     เกสา  ผมทั้งหลายที่อยู่ตามหนังศีรษะ  ดำบ้าง  ขาวบ้าง
     โลมา  ขนทั้งหลายที่งอกอยู่ตามรูขุมขนทั่วกาย  เว้นไว้แต่ฝ่ามือและฝ่าเท้า
      นะขา  เล็บทั้งหลายที่งอกอยู่ตามปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า มีวรรณะขาว
      ทันตา  ฟันทั้งหลายที่งอกอยู่ตามกระดูกคางข้างบน-ข้างล่าง  สำหรับบดเคี้ยวอาหาร  ชุ่มอยู่ด้วยน้ำลายเป็นนิตย์
      ตะโจ  หนังที่หุ้มอยู่รอบกาย 
      มังสัง  เนื้อภายในมีวรรณะอันแดงชุ่มไปด้วยโลหิต
      นะหารู  เอ็นทั้งหลาย  ที่รึงรัดรวบโครงกระดูกไว้ มีวรรณะออกขาว
      อัฏฐิ  กระดูกทั้งหลาย  ที่เป็นร่างโครงแข็งค้ำอยู่ในกาย มีวรรณะขาว
      อัฏฐิมิญชัง  เยื่อในกระดูก  มีวรรณะขาวเหมือนยอดหวายที่เผาอ่อน ๆ  แล้วใส่ในกระบอกไม้   เยื่อในกระดูกสมองศีรษะเป็นยวงขาวเหมือนเยื่อในหอยจุ๊บแจงหรือนุ่นคลุกกะทิ
      วักกัง  ม้าม คือก้อนเนื้อ  มีสีแดงคล้ำ 2 ก้อน  มีขั้วอันเดียวเหมือนผลมะม่วง 2 ผล มีขั้วเดียวกัน  อยู่ข้างซ้ายเคียงกับหัวใจ
      หะทะยัง  หัวใจ มีสัณฐานคล้ายดอกบัวตูม  ตั้งอยู่ท่ามกลางอกค่อนไปข้างซ้าย
      ยะกะนัง  ตับ  คือแผ่นเนื้อ 2 แผ่น มีสีแดงคล้ำ  ตั้งอยู่ด้านขวาของหัวใจ
      กิโลมะกัง  พังผืด  มีวรรณะอันขาวเป็นแผ่นบางเหนี่ยวหนังกับเนื้อ เหนี่ยวเอ็นกับเนื้อและกระดูกกับเนื้อไว้บ้าง
      ปิหะกัง  ไต  เป็นชิ้นเนื้อดำคล้ำเหมือนลิ้นโคดำ อยู่ข้างชายโครง
      ปัปผาสัง  ปอด  เป็นแผ่นเนื้อมีวรรณะแดงคล้ำ ๆ ชายเป็นแฉก ปกเหนือหัวใจและม้ามอยู่ท่ามกลางอก
       อันตัง  ไส้ใหญ่  ปลายหนึ่งอยู่ทวาร  ทบไปทบมา   มีวรรณะขาวชุ่มด้วยโลหิตในท้อง   เหมือนงูขาวที่เขาตัดศีรษะแล้วแช่ในรางเลือดฉะนั้น
      อันตะคุณัง  สายติดเหนี่ยวไส้ใหญ่  มีวรรณะอันขาว
       อุทะริยัง  อาหารนอนท้อง  หรืออาหารในกระเพาะอาหาร  เช่นอาหารที่กลืนเข้าไปแล้วอาเจียนออกมา
       กะรีสัง  อาหารเก่าที่กินค้างกลายเป็นคูถไม่ต่างจากอุจจาระที่ถ่ายออกมาฉะนั้น
        เสมหัง  น้ำเสลด  มีวรรณะขาวคล้ำ ๆ เป็นมวก ๆ ติดอยู่กับพื้นหลอดไส้ด้านใน
        ปิตตัง  น้ำดี  สีเขียวคล้ำที่เป็นฝักตั้งอยู่ท่ามกลางอก อยู่เฉพาะที่ไม่ซึมซาบทั่วกาย
        ปุพโพ  น้ำเลือดน้ำหนอง ย่อมตั้งอยู่ในสรีระที่มีบาดแผล
        โลหิตัง  น้ำเลือด  วรรณะสีแดงสด  มีขังอยู่ตามขุมในกายและซึมซาบอยู่ทั่วร่างกาย
        เสโท  น้ำเหงื่อ  ที่ซ่านออกตามขุมขนในกาลร้อน
        เมโท  น้ำมันข้น  หรือไขมัน  มีสีเหลืองติดอยู่กับหนังต่อเนื้อ
        อัสสุ  น้ำตาที่ไหลออกจากตาเมื่อกาลทุกข์โทมนัส
        มาถึง  วะสา  น้ำมันเหลวเป็นเปลวอยู่ในพุง  เหมือนเปลวสุกร
        เขโฬ  น้ำลาย  มีทั้งใสและข้น
        สิงฆาณิกา  น้ำมูก  มีอาการเหลวบ้าง ข้นบ้าง  เป็นยวงออกจากนาสิก
        ละสิกา  น้ำไขข้อ  ติดอยู่ตามข้อต่อของกระดูก
        มุตตัง  น้ำปัสสาวะ  เกรอะออกจากรากและคูถมาไว้ในถุงบริเวณหัวเหน่า

         เมื่อจดจำได้แล้ว  ให้กำหนดจิตนึกพิจารณาอาการทั้ง 32  ดังกล่าวในเหล่านั้นให้เป็นของปฏิกูล  น่าเกลียดทุกส่วน   ถ้ายังไม่เห็นเป็นปฏิกูลลงได้  ยังกำหนัดยินดีในกายของตัวนี้   ก็ให้ถามตัวเองว่า   สิ่งใดเป็นของหอมหรือดีของงามทำให้มาหลงกำหนัดยินดีรักใคร่กายนี้อยู่   ความจริงล้วนเป็นเครื่องปฏิกูล...น่ารังเกียจทั้งนั้นมิใช่หรือ
          ถ้าพิจารณาไม่ชัด...ยังไม่เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลลงได้ทุกส่วน   ก็ควรน้อมในที่จะปรากฏชัด  คือ  น้ำมูตรคูถหรือเสมหะ  น้ำเลือดน้ำหนอง   ผมเล็บ  ที่เหมือนผักหญ้าดูดน้ำเลือดน้ำหนองไปหล่อเลี้ยง   หรือยกข้าวของผ้าผ่อนที่ขาวบริสุทธิ์สะอาด  ถ้าแปดเปื้อนน้ำเลือด  หนอง   มูตรคูถ  แล้วก็จะเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจฉันใด...ผม  ขน เล็บ   หนัง...จะสำคัญว่างามก็แปดเปื้อนอยู่ด้วยมูตรคูถเลือดหนองก็เป็นของปฏิกูล ฉันนั้น
          เล็บหรือฟัน...ถ้าไม่ทำความสะอาดไม่กี่วัน  จะเกิดความน่ารังเกียจหรือไม่   ผมถ้าไม่สระทิ้งไว้สักอาทิตย์สองอาทิตย์จะเป็นเยี่ยงไร   จะเหม็นสาบสางแค่ไหน...ควรพิจารณาอย่างนี้เนือง ๆ ในที่สุดจะเกิดปัญญาธรรม  มองเห็นความจริง...ท้ายสุดคือความหน่ายและถ่ายถอนจากอุปาทาน   การยึดมั่นถือมั่นในกาย

 อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ
           ผู้เจริญกายคตาสติ  ชื่อว่าดื่มกินรสคือ  นฤพาน   เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  อะมะตันเตสัง  ภิกขเว   แน่ะ ภิกษุทั้งหลาย   ใครเจริญกายคตาสติ  ผู้นั้นได้ชื่อว่าดื่มกินรสคือพระนฤพาน   เป็นธรรมอันไม่ตายแล้ว  เพราะว่าพระนฤพานคือธรรมดับราคะ  โทสะ  โมหะ   ก็ที่เจริญกายคตานี้
          เหตุนั้น   เมื่อปรารถนาจะรักษาพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ ใคร่ดื่มรสพระนฤพานแล้ว   พึงเจริญสติกรรมฐานด้วยกายคตา  เมื่อเจริญให้เกิดปฏิกูลขึ้นในใจ  ครั้นเกิดแล้วให้รักษาปฏิกูลสัญญานั้นไว้   เมื่อเพียรไปจะเป็นอุบายชำระใจให้บริสุทธิ์   เป็นกุศลอันวิเศษนำพาสู่ความพ้นทุกข์ได้ในไม่ช้า อย่างแน่นอน


อารมณ์กรรมฐาน ใน กายคตาสติ นั้นมีตั้งแต่ ห้องพระธรรมปีติ อันเรียกว่า พิจารณา ธาตุ

 
;)
1291  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เส้นทางการันตี การเกิดเป็น มนุษย์ ? เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 11:09:28 am
คำถาม จากเมล ตอบ ทางนี้เลยนะจ๊ะ

ปุจฉา  อยากทราบว่า จะการันตี การเกิดเป็นมนุษย์ ได้อย่างไร ?


วิสัชชนา ศีล เป็นเครื่องการรันตี ความเป็นมนุษย์ ทั้งปัจจุบัน และ อนาคต

          กุศลกรรมบถ 10 การรันตี ความเป็น เทวดา และ พรหม

          อริยมรรค การันตี ความเป็นพระอริยะบุคคล


สั้น ๆ ก็เท่านี้ นะจ๊ะ

เจริญพร

 ;)
1292  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ธรรมจักษุ เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 11:05:53 am
ธรรมจักษุ เกิดขึ้นได้ 3 ทาง

   1.สุตามยปัญญาจักษุ จักษุคือปัญญาเกิดจากการรับฟัง หมายถึง ธรรมะอันเป็นอริยสัจจะ 4
     

   2.จินตามยปัญญาจักษุ จักษุคือปัญญาอันเกิดจากคิดพิจารณา หมายถึง โยนิโสมนสิการ


   3.ภาวนามยปัญญาจักษุ จักษุคือปัญญาอันเกิดจากการภาวนา


   องค์ธรรม เกิดขึ้นได้ เพราะ ศีล สมาธิ และ ปัญญา

   แต่องค์ธรรม สมบูรณ์ ในภาวนา เพราะ ศีล สนับสนุน สมาธิ สมาธิ สนับสนุน ปัญญา

 
     
1293  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ีีราชากลดน้อย เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 11:35:48 am
กลอนบทนี้ไม่ทราบเป็นผู้ใดแต่งไว้
เพราะสมัยอาตมา เป็นสามเณร ก็เคยมาท่องเล่นแล้ว


กลดคันหนึ่งนี้หรือคือปรางค์มาศ
มีเสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม
มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม
มีบาตรอุ้มเฉกเช่นเป็นโรงครัว
มีจีวรแทนเครื่องทรงอลงกต
มีศีลพรตเป็นมงกุฏที่สวมหัว
มีขันติเป็นพระขรรค์มั่นกับตัว
ความดีชั่วคือราชการงานนานา
มีปัญญาเป็นอำมาตย์อันปราดเปรื่อง
มีสติเป็นเครื่องที่ปรึกษา
อาณาเขตโดยรอบขอบเขตหนึ่งวา
คือพาราของเราเฝ้าครอบครอง
สมาธิซิเป็นทรัพย์นับแสนโกฏิ
ความสันโดษเป็นเพชรนิลสิ้นทั้งผอง
อีกช้างม้าวัวควายทั้งนายกอง
ก็คือของที่ใส่ในย่ามมา
เสียงจิ้งหรีดคือดนตรีที่ขับกล่อม
อยู่พรั่งพร้อมข้างที่พระเคหาส์
มีความว่างเป็นราชินีศรีราชา
อันว่าองค์กษัตราคือตัวเรา
คงสุขจริงสิ่งใดไหนจะเปรียบ
แม้จะเทียบกับใครไม่อายเขา
ความสุขอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเรา
คงเป็นเจ้าพาราครานี้เอย...


จากหนังสือประสบการณ์ทางวิญญาณแห่งศิษย์พุทธะ
ของหลวงปู่พุทธอิสระ วัดธรรมอิสระอ้อน้อย
1294  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / กงล้อธรรมจักร เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 11:30:40 am
 กงล้อธรรมจักร


     ธรรมจักรหมายถึงวงล้อแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงหมุน เพื่อเผยแผ่พระธรรมที่ทรงตัรสรู้เพื่อให้พุทธศาสนิกชน นำไปปฏิบัติให้พ้นทุกข์
ธรรมะ ที่ทรงแสดงในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร คือ  การเดินทางสายกลางไม่ยึดติดในตัวสุดโต่งสังขารปรุงแต่งดี-ชั่ว ,บุญ-บาป,  สุข-ทุกข์, อดีต-อนาคต ฯลฯ เพื่อดำเนินสู่การประจักษ์แจ้งด้วยกิจ ๓ แห่ง  อริยสัจ๔ อันมี ทุกข์ ,สมุหทัย(อวิชชาและตัณหา-เหตุเกิดทุกข์),  นิโรธ(นิพพานคือความดับทุกข์) และหนทางการดำเนินปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  มีแปดข้อ คือ มรรคอันมีองค์๘ ประการ

........วงล้อแห่ง ธรรม(ธรรมจักร) ทรงตรัสให้ช่วยกันเข็นกงล้อธรรมจักรห้ำหั่นหมู่มาร  ซึ่งมารนั้นมิใช่มารอื่นไกลที่ใด มารที่ทรงตรัสถึง คือ มารภายในที่เรียกว่า  อุปาทานขันธ์๕

........“.....ดูก่อนภิกษุ บุคคลผู้ยังยึด รูป...  เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ มั่นอยู่ ก็ต้องถูกมารมัดไว้  เมื่อไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้นจากมาร....
........“.....ดูก่อนภิกษุ  เมื่อบุคคล คิดสร้างภาพ (ศัพท์บาลีใช้คำว่า “มญฺญมาโน”ภาษาไทยแปรว่า  “สำคัญ” ฉบับอังกฤษใช้คำว่า imagining แปลว่า “คิดสร้างภาพ” ซึ่งชัดกว่า)  รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อยู่ก็ต้องถูกมารมัดไว้  เมื่อไม่คิดสร้าง จึงหลุดพ้นจากบ่วงมาร
........“.....ดูก่อนภิกษุ  เมื่อบุคคลเพลิดเพลินรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อยู่  ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงพ้นจากมาร....
อุปาทิยสูตร มัญญมานสูตร อภินันทมานสูตร ขันธ. สํ. (๑๓๙, ๑๔๐ ,๑๔๑)
ตบ. ๑๗ : ๙๑-๙๔ ตท. ๑๗ : ๗๙-๘๒
ตอ. K.S. ๓ : ๖๔-๖๕

หัวข้อธรรมที่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพึงทำความเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้น

องค์ประกอบขันธ์ ๕ ขันธ์(ภาษาบาลี) หมายถึงความเป็นกลุ่ม ก้อน กอง(ภาษาไทย) โดยลักษณะ ๕ อย่าง คือ
........รูป คือ ร่างกายที่ประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
........เวทนา คือ ความรู้สึกทางกาย สุข ,ทุกข์, เฉย (ไม่ทุกข์ไม่สุข- อทุกขมสุขเวทนา)
........สัญญา คือ ความทรงจำ ความหมายรู้ในความรู้สึก การกำหนดรู้หมายได้
........ สังขาร คือ ความปรุงแต่งสร้างจินตภาพทางจิตใจอาศัยความรู้สึก  และความทรงจำเป็นองค์ประกอบทางความปรุงแต่งทางจิต ไหลไปสู่วจีวาจา ความวิตก  วิจารณ์ ตรึกตรอง  และความปรุงแต่งทางร่างกายอิริยบทอันอาศัยองค์ประกอบภายในจากดิน น้ำ ไฟ ลม  ชีวิตสันตติ
........วิญญาณ คือ สภาพที่เสริมสร้างตัวผู้รู้ให้แก่จิต  ทำให้เกิดเป็นนามรูป สภาพรับรู้อารมณ์ประสาทสัมผัสทั้ง๖ คือตา หู จมูก ลิ้น  กาย ใจ

........องค์ประกอบที่ปรุงแต่งล้วนอาศัยเหตุและปัจจัยมา ประชุมรวมกัน ณ ขณะหนึ่งๆ เป็นขันธ์สภาพธรรม(สภาวธรรม)  การก่อเกิดซึ่งปฏิกิริยาจิต แปรไปสู่ความชอบ ความชัง(อภิชฌาและโทมนัส)  สาเหตุ็มาจากความถือมั่นยึดมั่น(อุปาทาน) ภายในจิตใจบุคคลภายใน  ซึ่งก่อให้เพลิงทุกข์ซึ่งจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับกิเลสทุกข์ที่สั่งสมมา  เรียกว่า อาสวะอนุสัย

........อาสวะอนุสัย คือ กิเลสทุกข์  ที่์หมักดองก้นบึ้งภายใต้จิตในส่วนที่ลึก โดย ตกตะกอน  สะสมมาจากชีวิตที่ผ่านมาจากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่ง  ซึ่งสะสมนอนเนื่องอยู่  พร้อมที่จะกระเพื่อมขึ้้นมาสู่พื้นผิวเพื่อปรุงแ่ต่งจิตก่อทุกข์  และพร้อมกันนั้นก็เก็บสะสมเพิ่มได้ทุกขณะ  เมื่อใดที่มีเหตุปัจจัยมาประชุมรวมกันจากการกระทบผัสสะ เมื่อ ตาเห็นรูป  ,หูได้ยินเสียง, จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายสำผัสเย็น-ร้อน,แข็ง-อ่อน ฯ  และใจรับธรรมารมณ์

........อุปาทาน คือความยึดมั่นในขันธ์๕ ซึ่งก่อจากอาสวะอนุสัยภายในจิตเป็นปัจจัย จึงมักเรียกรวมกันว่า อุปาทานขันธ์ ๕



ภาพของพุทธบริษัท 4 ซึ่งได้แก่  พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา  ช่วยกันเข็นกงล้อธรรมจักรห้ำหั่นหมู่มาร จึงน่าจะให้ความหมายได้ดังนี้
ธรรมจักร แยกคำออกได้เป็น ธรรม + จักร
ธรรม , ธรรมะ หมายถึง ธรรมชาติของการกระทบ
จักร หมายถึง สิ่งหรือวัตถุที่มีการเหวี่ยงหมุน หรือหมุนเป็นวง
ธรรมจักร  จึงหมายถึง ธรรมชาติของการกระทบที่มีการเหวี่ยงหมุนเคลื่อนที่อยู่เสมอ  ไม่ติดนิ่งอยู่กับที่หนึ่งที่ใดเพียงที่เดียว พุทธบริษัท 4  จึงควรมีสติตามทันเป็นธรรมชาติของการกระทบที่เคลื่อนที่หมุนวนอยู่เสมอ จากนอก-ใน-นอก-ใน เหมือนการหมุนของจักรจึงจะสามารถต่อสู้กับหมู่มารทั้งหลาย  โดยเฉพาะขันธมารที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  ดุจเดียวกับพระพุทธรูปปางแสดงธรรมจักร (ปางแสดงปฐมเทศนา)  ที่ยกพระหัตถ์ทั้งขวาและซ้ายสูงเสมอพระอุระในท่าจีบเป็นวงกลมทั้งสองข้าง  เพื่อสื่อความหมายของการเคลื่อนที่ของจิตที่หมุนวนสัมพันธ์กันระหว่างกาย  (นอก) กับใจ (ใน) จึงจะทำให้กิเลส อนุสัย ลดลง
ได้

เขียนโดย kamaphirato   ที่ 17:24   

ที่มา
http://jareungdhumtudong.blogspot.com/2010/05/blog-post.html
1295  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 09:10:43 am


       เนื่องด้วย เว็บ www.madchima.org ได้มีวาระ ครบปีไปในวันที่ 10 พ.ย. 2553
เรียก ว่ามีอายุ ครบ 1 ขวบ ปีแล้ว ทางอาตมาเอง ก็ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่เข้ามา
มาหาข่าวสารข้อมูล ศึกษาธรรมะ และส่งเสริม ในการเผยแผ่ในเว็บ ทั้งทางตรงและทางอ้อมก็นับว่าเป็น
เรื่องที่ปลาบปลื้ม กับทุกท่านมาก ทั้ง ๆ ที่ 1 ปีมานี้มีอุปสรรค ในการดำเนินการหลายอย่าง ไม่ว่าจะเกิด
จากไม่เข้าใจของผู้ศึกษา หรือ ในสายการภาวนาเดียวกัน ก็ตามแต่ในที่สุด งานเผยแผ่เว็บ
www.madchima.org ก็ลุล่วงมาได้จนครบ 1 ปี
       ในขณะเดียวกัน ก็มีการวัดผลการเข้าชมเว็บ และ ติดตาม สถิติ การใช้งานเว็บ ซึ่งทาง
เว็บwww.madchima.org ก็ได้เข้าร่วมการจับสถิติ กับ state in.th ในวันที่ 10 พ.ย. 2553 ทาง
เว็บสามารถมี สถิติ เข้าสู่ ท็อปเท็น ในเว็บหมวด ศาสนา และอยู่อันดับที่ 1861 ของทุกหมวดนับว่า เป็น
การเริ่มต้นที่ดีใน 1 ปีนี้   
             ในครั้งนี้ ก็ต้องขออนุโมทนา กับ คุณทินกร ทัศนะภาค ผู้เป็นเว็บมาสเตอร์
ผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่ คุณโยมกำลังเป็นคุณพ่อ ลูกคนที่สาม ก็ยังเสียสละเวลา
ในการดำเนินการจัดทำเว็บให้ โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย ใด ๆ กับทาง สำนักงานส่งเสริม ก็ขอ
อนุโมทนา กับคุณโยม 
       และที่ขาดไม่ได้ ผู้สนับสนุนกิจกรรม การเผยแผ่ ก็คือ ทีมงานมัชฌิมา สระบุรี ที่เสียสละ
เวลาและกำลังทรัพย์ มีคุณธวัชชัย สุพันธ์สาย คุณนาฏนพิทย์ เพชรชาลี คุณณฐพลสรรค์ เผือกผาสุข
และผู้ร่วมตอบปัญหา ของกระทู้ต่าง ๆ ที่เอ่ยนามกันได้ไม่หมด ก็ต้องขออภัย ไว้ในที่นี้  สำหรับพระสงฆ์
ที่อนุเคราะห์ กันโดยตรงก็มี พระครูสิทธิสังวร เจ้าคณะ 5 วัดราชสิทธาราม ที่อนุเคราะห์ความรู้ทาง
กรรมฐาน ทั้งเอกสารและการอบรม ตลอดถึงพระคุณเจ้าที่ เป็นสหธรรม เช่น พระอนุชิต วรธมฺโม   
พระศรีคเณศร์ ปญฺญาปโชโต พระนิพนธ์ วรธมฺโม ที่ ส่วนใหญ่ จะเดินทางด้วยกันเป็นประจำ และ
สงเคราะห์ งานซึ่งกันและกัน มาโดยตลอด   

            ดังนั้นจึงขอประกาศอนุโมทนา บุญกุศล ที่ท่านทั้งหลาย ร่วมการเ้ผยแผ่ กรรมฐาน มัชฌิมา
 แบบลำดับกันมาเป็นเวลา 1 ปี และคาดว่า คงจะได้รับการสนับสนุนเช่นนี้ด้วยดี ตลอดไป



เจริญพร เจริญธรรม ด้วยความนับถือ   

พระสนธยา ธัมมะวังโส



Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1296  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เมตตากถา เมตตาวิมุตติ เมตตาเจโตวิมุตติ อ่านตรงนี้กันก่อนนะจ๊ะ เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 08:50:54 am
[๕๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว

ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆอบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการเป็นอันหวังได้

อานิสงส์ ๑๑ประการเป็นไฉน คือ                                                         
                                                                                   
       ผู้เจริญเมตตาย่อมหลับเป็นสุข ๑                                                 
       ตื่นเป็นสุข ๑                                                                 
       ไม่ฝันลามก ๑                                                                 
       ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ ๑                                                       
       ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ ๑                                                     
       เทวดาย่อมรักษา ๑                                                             
       ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกลาย ๑                                           
       จิตของผู้เจริญเมตตาเป็นสมาธิได้รวดเร็ว๑                                         
       สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส ๑                                             
       ย่อมไม่หลงใหลกระทำกาละ ๑                                                   
       เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่งย่อมเข้าถึงพรหมโลก ๑                                     
                                                                                               
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วทำให้เป็นดังยาน
 ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งไว้เนืองๆ อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการนี้เป็นอันหวังได้ ฯ

    [๕๗๕] เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงก็มี แผ่ไปโดยเจาะจงก็มี แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายก็มี
 
เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการเท่าไรแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการเท่าไร

แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการเท่าไร เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕

แผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗  แผ่ไปสู่ทิศทั้งหลายด้วยอาการ ๑๐ ฯ

    เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน

    เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน

กัน ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ปาณะทั้งปวง ฯลฯ ภูตทั้งปวงบุคคลทั้งปวง ผู้ที่นับ

เนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกันไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด

เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ นี้ ฯ

    เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ เป็นไฉน

    เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงว่า ขอหญิงทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวรไม่เบียดเบียนกัน

ไม่มีทุกข์ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด ชายทั้งปวง ฯลฯ อารยชนทั้งปวง อนารยชนทั้งปวง เทวดา

ทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง วินิปาติกสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ รักษา

ตนอยู่เป็นสุขเถิด เมตตาเจโตวิมุติแผ่ไปโดยเจาะจงด้วยอาการ ๗ นี้ ฯ
1297  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / คำถามจากเมล เรื่อง การจางคลายจากกิเลส มีหลักการอย่างไร เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 08:28:45 am
อ่านพระสูตร กันก่อน เพราะหลายท่าน คิดว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่มีในพระไตรปิฏก

จากเมล ส่วนใหญ่ที่เข้ามาถามกัน เอาเป็นว่ามี ตอบรวมในนี้ ให้อ่านพระสูตรกันก่อน เดี๋ยวค่อยอธิบายกัน

ตอนหลังนะจ๊ะ กับคำถามเรื่อง การจางคลายจากกิเลส มีหลักการอย่างไร จึงรู้่ว่าจางคลาย

[๕๘๘] วิราคะเป็นมรรค วิมุติเป็นผล วิราคะเป็นมรรคอย่างไร ฯ
    ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ย่อมคลายจากมิจฉาทิฐิ จากกิเลสอันเป็นไปตามมิจฉาทิฐินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอกวิราคะ (มรรค) มีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่าวิราโค นี้มี ๒ คือ

          นิพพานเป็นวิราคะ ๑
          ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑

   เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรคพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคอันมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศเป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ
    สัมมาสังกัปปะด้วยอรรถว่าดำริ ย่อมคลายจากมิจฉาสังกัปปะ สัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนด ย่อมคลายจากมิจฉาวาจา สัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าตั้งขึ้นด้วยดี ย่อมคลายจากมิจฉากัมมันตะ สัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าชำระอาชีวะให้ผ่องแผ้ว ย่อมคลายจากมิจฉาอาชีวะ สัมมาวายามะด้วยอรรถว่าประคองไว้ ย่อมคลายจากมิจฉาวายามะ สัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น ย่อมคลายจากมิจฉาสติสัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากมิจฉาสมาธิ จากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นนั้น จากขันธ์และสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่าวิราโค นี้มี ๒ คือ นิพพาน เป็นวิราคะ ๑ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาสังกัปปะเป็นต้นนั้น มีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑ เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกย่อมไปถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้นอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศ เป็นประธาน สูงสุดและประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก ผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ

    [๕๘๙] ในขณะสกทาคามิมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ฯลฯสัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนหยาบๆคลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้นจากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ ฯลฯเพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ

    [๕๙๐] ในขณะอนาคามิมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆคลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ฯลฯ เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ

    [๕๙๑] ในขณะอรหัตมรรค สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะอวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย คลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะ มีวิราคะเป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่า วิราโค นี้มี ๒ คือ นิพพานเป็นวิราคะ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาสมาธิมีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นวิราคะ ๑ เพราะฉะนั้นมรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้นวิราคะจึงเป็นมรรค พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศ เป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ฯ
 
  [๕๙๒] สัมมาทิฐิเป็นวิราคะเพราะความเห็น
         สัมมาสังกัปปะเป็นวิราคะเพราะความดำริ
         สัมมาวาจาเป็นวิราคะเพราะความกำหนด
         สัมมากัมมันตะเป็นวิราคะเพราะความตั้งขึ้นไว้ชอบ
         สัมมาอาชีวะเป็นวิราคะเพราะชำระอาชีวะให้ผ่องแผ้ว
         สัมมาวายามะเป็นวิราคะเพราะประคองไว้
         สัมมาสติเป็นวิราคะเพราะตั้งมั่น
         สัมมาสมาธิเป็นวิราคะเพราะไม่ฟุ้งซ่าน
        สติสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะตั้งมั่น
        ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะเลือกเฟ้น
        วิริยสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะประคองไว้
        ปีติสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะแผ่ซ่านไป
        ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความสงบ
        สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความไม่ฟุ้งซ่าน
        อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความพิจารณาหาทาง
        สัทธาพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวไปในความไม่มีศรัทธา
        วิริยพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน
        สติพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท
        สมาธิพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ
        ปัญญาพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา
        สัทธินทรีย์เป็นวิราคะ เพราะความน้อมใจเชื่อ
        วิริยินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความประคองไว้
        สตินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความตั้งมั่น
        สมาธินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความไม่ ฟุ้งซ่าน
        ปัญญินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความเห็น
        อินทรีย์เป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่พละเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว
        โพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะอรรถว่านำออกไป
        มรรคเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นเหตุ
        สติปัฏฐานเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าตั้งมั่น
        สัมมัปปธานเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเริ่มตั้งไว้
        อิทธิบาทเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าให้สำเร็จ
        สัจจะเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นของถ่องแท้สมถะเป็นวิราคะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน
        วิปัสสนาเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าพิจารณาเห็น
        สมถวิปัสสนาเป็นวิราคะเพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน
        ธรรมที่คู่กันเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าไม่ล่วงเกินกัน
        สีลวิสุทธิเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าสำรวมจิตตวิสุทธิเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน
        ทิฐิวิสุทธิเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเห็น
        วิโมกข์เป็นวิราคะเพราะอรรถว่าพ้นวิเศษ
        วิชชาเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าแทงตลอด
        วิมุติเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าสละ
        ขยญาณเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าตัดขาด
        ฉันทะเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นมูล
        มนสิการเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน
        ผัสสะเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นที่รวม
        เวทนาเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุมลง
        สมาธิเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นประธาน
       สติเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่
       ปัญญาเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นธรรมที่ยิ่งกว่าธรรมนั้นๆ
       วิมุติเป็นวิราคะเพราะอรรถว่าเป็นสารธรรม
       สัมมาทิฐิเป็นมรรคเพราะความเห็น
       สัมมาสังกัปปะเป็นมรรคเพราะความดำริ ฯลฯ
       นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่สุด วิราคะเป็นมรรคอย่างนี้ ฯ
    [๕๙๓] วิมุติเป็นผลอย่างไร ในขณะโสดาปัตติผล สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น พ้นจากมิจฉาทิฐิ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฐินั้น จากขันธ์และจากสรรพนิมิตภายนอก วิมุติมีวิมุติเป็นอารมณ์ มีวิมุติเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิมุติ ตั้งอยู่ในวิมุติ ประดิษฐานอยู่ในวิมุติ วิมุติในคำว่า วิมุตฺตินี้มี ๒ คือ นิพพาน เป็นวิมุติ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นวิมุติ ๑ เพราะฉะนั้น วิมุติจึงเป็นผล สัมมาสังกัปปะด้วยอรรถ
ว่าดำริ พ้นจากมิจฉาสังกัปปะ ฯลฯ สัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนดพ้นจากมิจฉาวาจา ฯลฯสัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าตั้งไว้ด้วยดี พ้นจากมิจฉากัมมันตะฯลฯ สัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าชำระอาชีพให้ผ่องแผ้ว พ้นจากมิจฉาอาชีวะ ฯลฯสัมมาวายามะด้วยอรรถว่าประคองไว้ พ้นจากมิจฉาวายามะฯลฯ สัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น พ้นจากมิจฉาสติ ฯลฯ สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน พ้นจากมิจฉาสมาธิ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นนั้น จากขันธ์และจากสรรพนิมิตรภายนอก วิมุติมีวิมุติเป็นอารมณ์ มีวิมุติเป็นโคจร ประชุมเข้าในวิมุติ ตั้งอยู่ในวิมุติ ประดิษฐานอยู่ในวิมุติ วิมุติในคำว่า วิมุตฺติ นี้มี ๒คือ นิพพานเป็นวิมุติ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิมุติ๑ เพราะฉะนั้น วิมุติจึงเป็นผล ฯ
1298  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / หลักวิปัสสนา ที่ควรอ่านและทราบ ของนักปฏิบัติกรรมฐาน เรียกว่า อนุปัสสนา 3 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 08:23:11 am
ปัญญาวรรค วิปัสสนากถา

สาวัตถีนิทานบริบูรณ์

            [๗๓๑] ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไรๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามข้อ นี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตติยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม  ข้อ นี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผลหรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไรๆโดยความเป็นสุขจักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นทุกข์อยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลหรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆโดยความเป็นอัตตาอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้    เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม    จักทำให้แจ้งซึ่ง    โสดา ปัตติผลสกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆ โดยความเป็นอนัตตาอยู่  จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ     ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้       ผู้ประกอบด้วย    อนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม     ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้     ผู้ย่างลงสู่  สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์อยู่จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นสุขอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลสกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๕] ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร ? ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการเท่าไร? ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ ฯ

        ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน

        ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ฯ

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นทุกข์ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นโรค ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังหัวฝี ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังลูกศร ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความลำบาก ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอาพาธ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอย่างอื่น ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของชำรุด ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นเสนียด ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอุบาทว์ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นภัย ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอุปสรรค ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความหวั่นไหว ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของผุพัง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่ยั่งยืน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่เป็นที่พึ่ง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของว่าง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของเปล่า ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของสูญ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอนัตตา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นโทษ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความแปรปรวน  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของหาสาระมิได้ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นมูลแห่งความลำบาก ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังเพชฌฆาต ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความเสื่อมไป ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีอาสวะ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นเหยื่อแห่งมาร ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความคับแค้นใจ  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเศร้าหมอง  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมขันติ เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นสุข ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
1299  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จูฬราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล เมื่อ: ตุลาคม 28, 2010, 10:11:18 am
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค จูฬราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล
               ๑. อรรถกถาอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร๑-               
๑-บาลีเป็น จูฬราหุโลวาทสูตร.

               อัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพลฏฺฐิกายํ วิหรติ ท่านพระราหุลอยู่ ณ ปราสาทชื่อว่า อัมพลัฏฐิกา คือ เมื่อเขาสร้างย่อส่วนของเรือนตั้งไว้ท้ายพระเวฬุวันวิหาร เพื่อเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด พระราหุลเจริญปวิเวกอยู่ ณ ปราสาทอันมีชื่ออย่างนี้ว่า อัมพลัฏฐิกา.
               ชื่อว่าหนามย่อมแหลมตั้งแต่เกิด.  แม้ท่านพระราหุลนี้ก็เหมือนอย่างนั้น เจริญปวิเวกอยู่ ณ ที่นั้น  ครั้งเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๗ พรรษา.
               บทว่า ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น คือ เสด็จออกจากผลสมาบัติ.
               บทว่า อาสนํ คือ ณ ที่นี้ก็มีอาสนะที่ปูลาดไว้เป็นปรกติอยู่แล้ว พระราหุลก็ยังปัดอาสนะนั้นตั้งไว้.
               บทว่า อุทกาทาเน คือ ภาชนะใส่น้ำ. ปาฐะว่า อุทกาธาเน บ้าง.
               บทว่า อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามนฺเตสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระราหุล คือตรัสเรียกเพื่อประทานโอวาท.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาไว้มากแก่พระราหุลเถระ. พระองค์ตรัสสามเณรปัญหาแก่พระเถระไว้เช่นกัน. อนึ่ง พระองค์ตรัสราหุลสังยุต มหาราหุโลวาทสูตร จุลลราหุโลวาทสูตร รวมทั้งอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรนี้เข้าด้วยกัน.
               จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้ เมื่อพระชนม์ ๗ พรรษาทรงจับชายจีวร ทูลขอมรดกกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอได้ทรงประทานมรดกแก่ข้าพระองค์เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมอบให้แก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระบวชให้.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า  ชื่อว่าเด็กหนุ่มย่อมพูดถ้อยคำที่ควรและไม่ควร เราจะให้โอวาทแก่ราหุล  ดังนี้แล้ว ตรัสเรียกพระราหุลเถระ มีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนราหุล  ชื่อว่าสามเณรไม่ควรกล่าวติรัจฉานกถา. เธอเมื่อจะกล่าว ควรกล่าวกถาเห็นปานนี้ คือ คำถาม ๑๐ ข้อ การแก้ ๕๕ ข้อ  ปัญหา ๑ อุเทศ ๑ ไวยากรณ์ ๑ ปัญหา ๒ ฯลฯ ปัญหา ๑๐ อุเทศ ๑๐ ไวยากรณ์ ๑๐ อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสามเณรปัญหานี้ว่า เอกนฺนาม กึ อะไรชื่อว่า ๑ สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต อรหาติ วุจฺจติ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ เรากล่าวว่าเป็นอรหันต์.
               พระพุทธองค์ทรงดำริต่อไปว่า  ชื่อว่าเด็กหนุ่มย่อมกล่าวเท็จด้วยคำน่ารัก  ย่อมกล่าวสิ่งที่ไม่เห็นว่าเราได้เห็นแล้ว กล่าวสิ่งที่เห็นว่าเราไม่เห็น เราจะให้โอวาทแก่ราหุลนั้น แม้แลดูด้วยตาก็เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย  จึงทรงแสดงอุปมาด้วยภาชนะใส่น้ำ ๔ ก่อน จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยช้าง ๒ จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยแว่น ๑  แล้วจึงตรัสพระสูตรนี้. ทรงแสดงการเว้นตัณหาในปัจจัย ๔ การละฉันทราคะในกามคุณ ๕  และความที่อุปนิสัยแห่งกัลยาณมิตรเป็นคุณยิ่งใหญ่ แล้วจึงตรัสราหุลสูตร. เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะในภพทั้งหลาย ในที่ที่มาแล้วๆ  จึงตรัสราหุลสังยุต. เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะอันอาศัยเรือน อาศัยอัตภาพว่า เรางาม  วรรณะของเราผ่องใส แล้วจึงตรัสมหาราหุโลวาทสูตร.
               ในมหาราหุโลวาทสูตรนั้น ไม่ควรกล่าวว่าราหุลสูตร ท่านกล่าวไว้แล้วในกาลนี้. เพราะราหุลสูตรนั้นท่านกล่าวด้วยโอวาทเนืองๆ. ท่านตรัสราหุลสังยุต ตั้งแต่พระราหุลมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาจนถึงเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษา. ท่านตรัสมหาราหุโลวาทสูตรในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๑๘ พรรษา ท่านตรัสจุลลราหุโลวาทสูตรในเมื่อพระราหุลเป็นภิกษุได้ครึ่งพรรษา. ท่านตรัสกุมารกปัญหา และอัมพลัฏฐิกรา
หุโลวาทสูตรนี้ ในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๗ พรรษา.
             
1300  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ราหุลสังยุต เมื่อ: ตุลาคม 28, 2010, 10:10:12 am
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค -
ราหุลสังยุตต์ - ทุติยวรรค - ๑๒. อปคตสูตร

[พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน]
๑๒. อปคตสูตร
[๖๓๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไป
เฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระราหุลนั่งเรียบร้อย
แล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่อย่างไร
มนัสจึงจะปารศจากอหังการ มมังการและมานะ ในกายที่มีใจครองนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก
ก้าวล่วงส่วนแห่งมานะด้วยดี สงบระงับ พ้นวิเศษแล้ว ฯ
[๖๓๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี ที่เป็น
อนาคตก็ดี ที่เป็นปัจจุบันก็ดี ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี รูปทั้งหมดนั้น อันอริยสาวกเห็นแล้วด้วย
ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
ดังนี้ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นไปเพราะไม่ถือมั่น [ขันธ์ทั้งห้าก็ควรทำอย่างนี้]
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ... สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ... สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ...
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดี ที่เป็นอนาคตก็ดี ที่เป็นปัจจุบันก็ดี ที่เป็นภายในก็ดี
ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดีเลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี
วิญญาณทั้งหมดนั้นอันอริยสาวกเห็นแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่น
ไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นไปเพราะไม่ถือมั่น
ดูกรราหุล เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้แล มนัสจึงจะปราศจากอหังการ มมังการ และมานะ
ในกายที่มีใจครองนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก ก้าวล่วงส่วนแห่งมานะด้วยดี สงบระงับ
พ้นวิเศษแล้ว ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑๒
จบทุติยวรรคที่ ๒
_________
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. จักขุสูตร
๒. รูปสูตร
๓. วิญญาณสูตร
๔. สัมผัสสสูตร
๕. เวทนาสูตร
๖. สัญญาสูตร
๗. เจตนาสูตร
๘. ตัณหาสูตร
๙. ธาตุสูตร
๑๐. ขันธสูตร
๑๑. อนุสยสูตร
๑๒. อปคตสูตร
จบราหุลสังยุตต์ที่ ๒
1301  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ในพรรษา พระอาจารย์ภาวนาอะไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 06:07:12 pm
คำถามจากเมล

ในพรรษานี้ พระอาจารย์ภาวนาอะไรคะ พอเล่าให้ฟังได้หรือป่าวคะ

ตอบ ในพรรษานี้ พระอาจารย์ แบ่งเวลาเป็นการภาวนาในอานาปานสติ เป็นหลัก ในเดือนแรกภาวนาวันละ 3 ชม

แบ่งเวลาในการพิมพ์หนังสือและตอบกระทู้

ในเดือนที่สอง ภาวนา อานาปานสติ เป็นหลักวันละ 3 - 5 ชม. มีการปฏิบัติ เนสัชชิกธุดงค์ สัปดาห์เว้นสัปดาห์ คือนั่ง 1 สัปดาห์ และ นอน 1 สัปดาห์ สลับกันทั้งเดือน เวลาที่เหลือพิมพ์หนังสือ และตอบกระทู้

ในเดือนสุดท้าย หยุดการพิมพ์หนังสือ หยุดตอบคำถาม อธิษฐานนั่งกรรมฐาน ตั้งแต่พระพุทธานุสสติ จนถึง
พระอานาปานสติ อธิษฐานนั่งกรรมฐาน ติดต่อมากกว่า 96 ชั่วโมง นั่งยาวเลย ในช่วงก่อนออกพรรษาเวลามี
น้อยกลับมาพิมพ์หนังสือ อธิษฐานนั่งกรรมฐานติดต่อกนเป็นเวลา 96 ชั่วโมง


ดังนั้นในพรรษานี้ สูงสุดนั่งกรรมฐานติดต่อแบบยาว ๆ ได้เพียง 96 ชั่วโมง 1 ครั้ง  48 ชั่วโมง  5 ครั้ง
24 ชม. 12 ครั้ง 3 - 5 ชม. 74 ครั้ง เพราะช่วงนี้มีเวลาภาวนาเป็นส่วนตัวไม่ได้อยู่ที่วัด อยู่ในสถานที่
เฉพาะจึงสามารถ ภาวนาได้ดังกล่าว

ส่วนเนสัชชิกธุดงค์นั้น ปฏิบัติได้ 15 วัน คือ 2 ครั้ง ใช้เวลาหลับเพียง 45 นาทีต่อวัน คือนั่งหลับ ส่วนใหญ่
จะเป็นการเดินจงกรมในช่วงสมาทาน เนสัชชิกธุดงค์

ทั้งพรรษา ฉันอาหารมื้อเดียวเป็นส่วนใหญ่

เล่าให้ฟังเพียงเท่านี้เถอะนะ

เจริญพร
 ;)

 
                                                                                   
1302  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระอาจารย์มีความเห็นอย่างไร กับการปิดวาจาระหว่างการฝึกกรรมฐาน เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 05:55:30 pm
คำถามจากเมล

พระอาจารย์มีความเห็นอย่างไร กับการปิดวาจาระหว่างการฝึกกรรมฐาน

ตอบ การฝึกกรรมฐาน ไม่ว่าจะเป็น สมถะ หรือ วิปัสสนา ส่วนใหญ่นั้นจะนิยมการปิดวาจา

การปิดวาจา ก็คือ การหยุดพูด เพ้อเจ้อ ส่อเสียด คำหยาบ คำโกหก เป็นต้น

ดังนั้นการปิดวาจา จักให้ทำให้ ศีล ในส่วนนี้สมบูรณ์ มาตรฐานก็เห็นด้วย

แต่ในส่วนของพระอาจารย์เอง เวลาไปฝึกกรรมฐาน ไม่เคยสั่งให้ ศิษย์ปิดวาจา แต่เปิดโอกาส มีการสนทนา

แลกเปลี่ยนกัน เพราะเมื่อทุกคนปฏิบัติในช่วงที่พระอาจารย์ 80 % ได้สมาธิ ขั้นต่ำก็ 30 นาที

และอีก 80 % ที่เจริญวิปัสสนาได้ ดังนั้นจึงไม่ห่วงเรื่องการปิดวาจา เพราะผู้ที่ตั้งใจมาปฏิบัติภาวนา

กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ส่วนใหญ่เป็นผู้มุ่งมั่นในการภาวนา ส่วนใหญ่จะเป็นสาวกภูมิด้วย

จึงไม่มีความจำเป็นต้องสั่งปิดวาจา ให้กับศิษย์กรรมฐาน

เจริญพร

 ;)
1303  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฝึกกรรมฐาน จำเป็นต้องขึ้น กรรมฐาน หรือไม่ ? เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 05:49:48 pm
คำถามจากเมล

ฝึกกรรมฐาน จำเป็นต้องขึ้นกรรมฐาน หรือไม่?

ตอบ ถ้าไม่ได้ฝึก กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นกรรมฐาน ท่านสามารถเลือกฝึกฝนได้

ในตำราทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีกรรมฐาน ปรากฏเป็นกองสันโดด 40 กองกรรมฐาน กับกรรมฐานที่ไม่ปรากฏ

เป็นกองใดกองหนึ่ง เช่น การฝึก รโช หรณัง ของพระจูฬปันถก การเพ่งดอกบัวนิรมิตของสัทธิวิหาริก ของ

พระสารีบุตร เป็นต้น ท่านสามารถเลือกฝึกได้ด้วยตนเอง

แต่ถึงแม้ไม่ขึ้นกรรมฐาน ก็ควรกล่าวถึง พระรัตนตรัยว่าเป็น สรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัย

ส่วนถ้าผู้ใดต้องการฝึกกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ก็เชิญได้ที่ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม นะจ๊ะ


เจริญพร

 ;)
1304  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งสมาธิ ควรลืมตา หรือ หลับตา ดีครับ เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 05:44:49 pm
คำถามจากเมล 

นั่งสมาธิ ควรจะลืมตา หรือ หลับตาดีครับ


ตอบ  นั่งสมาธิ ถ้าพูดตามหลักการแล้ว ก็ควรจะหลับตาม แต่บางกรรมฐาน ก็ใช้การลืมตาเช่น

  กสิณ อสุภ ธาตุปฏิกูละ กายคตาสติ จตุธาตุววัตถาน เป็นต้น เหล่านี้ก็ใช้การลืมตามเป็นหลัก

  อานาปานสติ นั้นเป็นได้ ทั้งลืมตา และ หลับตา

  แต่ทุกกรรมฐาน ไม่ได้มีผลกับรูป ภายนอก มีผลกับรูป ภายใน คือจิต

  ดังนั้น สมาธิ เป็นเรื่องของจิต สภาวะจิต น้ำจิตตั้งมั่น ดังนั้นตาภายนอกมองไม่เห็น มีแต่ตาใจ ตาจิต เท่านั้น

  ที่จะมองเห็นได้


  ส่วนพระไตรปิฏก ไม่มีคำกล่าว วิธีการปฏิบัติให้ลืมตา หรือ หลับตา

  ที่กล่าวไว้ ก็มีเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่ว่า ตั้งกายตรง ขัดสมาธิเพชร ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เป็นต้น

  ดังนั้นผู้ฝึกถ้าสะดวก ลืมตา ก็ฝึกแบบลืมตา

        ผู้ฝึกถ้าสะดวก แบบไม่ลืมตา ก็ฝึกแบบไม่ลืมตา

     จะัลืมตา หรือ หลับตา ถ้าฝึกแล้ว จิตตั้งมั่นได้ไว และตั้งมั่นได้เลย ก็ใช้ได้

  นะจ๊ะ เจริญพรแค่นี้ก่อน

  ;)

     
1305  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / จะศึกษาวิปัสสนา ต้องทำอย่างไร คะ เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 05:36:46 pm
เมล์ มาถามนะคำถามนี้

จะศึกษาวิปัสสนา ต้องทำอย่างไร คะ ?

ตอบ 1.ต้องมีศีลเป็นที่ตั้ง งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ในฐานะที่ควรแก่การภาวนา เพราะศีลเป็นบาทฐานแห่ง วิปัสสนา ในวิสุทธิ 7 จัดเป็นลำดับที่ 1 คือ ศีลวิสุทธิ

      2.ต้องศึกษาหลักธรรม องค์ วิปัสสนา ซึ่งพูดสั้น ๆ ก็มี ขันธ์ 5 กับ อายตนะ 12 เท่านี้ก็พอ เพราะต้องใช้ในองค์บริกรรม วิปัสสนา

      3.วิปัสสนาจะมีผลมากถ้า มี นิพพิทา คือความหน่าย ต่อสังสารวัฏฏ์

      4.หมั่นอบรมจิตให้ตั้งมั่น ในขั้นอุปจาระสมาธิ ขึ้นไป เพราะจิตที่เป็นสมาธิ จะมองเห็นตามความเป็นจริงได้ จิตที่ไม่ตั้งมั่น มีโอกาสน้อยที่จะพิจารณาธรรม ( วิปัสสนา )ได้

      5.กรรมฐาน 4 อย่างไม่ควรขาดในการทำวิปัสสนา

        5.1  พระพุทธานุสสติ

        5.2  มรณัสสติ
     
        5.3  กายคตาสติ
 
        5.4  เมตตาพรหมวิหาร

     6.ตั้งมั่นใน ทาน ในศีล ในภาวนา

   รวม ๆ ก็มีแค่นี้ นะจ๊ะ


  เจริญพร

   ;)
1306  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อานาปานสติ ห้องที่ 4 ของกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 05:27:48 pm
พระอานาปานสติ เป็นกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับในห้องที่ 4 มีพลานุภาพมาก

ผู้ฝึกหลังจากผ่าน ห้องพระพุทธานุสสติแล้ว ก็จะสามารถยกดวงจิตได้ ตั้งได้เป็น อุคคหนิมิต

และ ปฏิภาคนิมิต มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหายใจโดยตรง ก็คือเรื่อง การหายใจ ที่เป็น สูรยกลา กับ จันทกลา

ในส่วนนี้คงไม่สามาถอธิบายลงไปในเว็บได้

แต่ ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐาน อานาปานสติสันโดด เลยได้ไหม ก็ตอบว่าได้ เพราะวิชาในพระพุทธศาสนานั้น

ปฏิบัติได้ตามที่ท่านต้องการ เป้าหมายคือการสละกิเลสออก


ดังนั้น ในส่วนของการฝึก อานาปานสติ นั้น มีเครื่องมือจริง อยู่ 3 อย่างคือ

1.อัสสาสะ ลมหายใจออก ( อานา )

2.ปัสสสาสะ ลมหายใจเข้า ( อปานะ

3.นิมิต คือเครื่องกำหนด ( อนุสสติ ) ที่จริงแล้วก็คือ วิธีการ ตั้งแต่

  คณนา อนุพันธนา ผุสนา ฐปนา ในส่วนของวิปัสนานั้นยังมีอีก 5 ( เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องรู้ )

ดังนั้น แม้พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นก็ฝึกตามแบบ กรรมฐานสันโดด เช่นเดียวกัน

หลวงปู่มักจะกล่าวว่า อัสวาตะ ปัสสวาตะ นิสสวาตะ อาตมัน สุญญัง เป็นต้น คืออันเดียวกัน

เพราะการปฏิบัติ ทั้งหมดอยู่ที่ลม ตั้งอยู่ที่ลม ดับแล้วที่ลม


ลมจัดเป็น กาย เป็น เวทนา  เป็น จิต เป็น ธรรม

 การฝึกในอานาปานสติมีเท่านี้ นะจ๊ะไม่เกินจากนี้แล้ว     ความฝึกตน ๑  ความสงบตน ๑ความยังตนให้ปรินิพพาน ๑ ความรู้ยิ่ง ๑ ความกำหนดรู้ ๑ ความละ ๑ ความเจริญ ๑ ความทำให้แจ้ง ๑ ความตรัสรู้สัจจะ ๑ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ ๑


เป็นข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่จะพิมพ์

เจริญพร

 ;)
1307  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อุปสรรค ที่แท้จริงในการเผยแผ่ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 08:59:18 am
การเผยแผ่ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นมีอุปสรรคดังนี้

  1.ชนทั้งหลายคิดว่า เป็นกรรมฐาน ใหม่ไม่เคยได้ยิน

  2.ผู้ได้ยินแล้วเมื่อฝึก ก็บอกว่ามีขั้นตอนยุ่งยาก เพราะชอบแบบง่าย ๆ

  3.ผู้ฝึกไม่ชอบขึ้นกรรมฐาน เพราะคิดว่าการขึ้นกรรมฐานเป็นการผูกมัดดังนั้นจึงมีผู้ปฏิเสธการขึ้นกรรมฐาน

  4.เมื่อฝึกกรรมฐาน ทราบว่าเพื่อนปฏิบัติไปขั้นนั้น ขั้นนี้แล้ว ก็เกิดความอยาก ตีเสมอ หรือชนะ จึงขอฝึก

    ขั้นอื่น ๆ ไม่สนใจในการภาวนาเพราะเกิดอุปกิเลส คือการแข่งดี

  5.ไม่เคารพ หรือ ปฏิบัติตามที่สอน

  6.ผู้ฝึก คาดหวังให้ผู้สอน นั้นดึงจิตของผู้ฝึกให้ไปสู่จุดสูงสุด หรือ ระดับใด ระดับหนึง

  4.เพราะคณะสงฆ์ ไม่สนับสนุนการปฏิบัติ

  5.มีจำนวนผู้สืบทอดน้อย

  6.มีสื่อ สำนัก ความเห็น มากมาย ล้วนแสดงความเห็นขัดแย้ง ในการส่งเสริมกรรมฐาน

  7.แสวงหากรรมฐาน ที่คิดว่าง่ายกว่า ไม่ยุ่งยาก

 เป็นปัญหาส่วนใหญ่ ที่เกิดมาจากประสพการณ์ การสอนที่ผ่านมา

 ;)
1308  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขอบคุณ "ที่คิดถึง" แต่การภาวนา "นั้นไม่เกี่ยว" เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 09:04:00 am
เจริญพร อาตมาได้รับเมล จากท่านทั้งหลาย ในเรื่องความเป็นห่วงว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน

เมื่อไรจะกลับ ปฏิบัติธรรม ไม่ก้าวหน้า เพราะอาจารย์ไม่อยู่ เป็นต้น



ก่อนอื่น ก็เจริญพร ขอบคุณที่ท่านทั้งหลายเป็นห่วง และคิดถึง กันทุกท่าน




แต่ขอให้ทุกท่านอย่าให้ความสำคัญ กับบุคคลเลย จงให้ความสำคัญกับธรรมะ

หรือ พระกรรมฐาน


พระอาจารย์ อยู่ ไม่อยู่ ก็ไม่ได้ทำให้ท่านปฏิบัติได้สำเร็จ หรอกนะจ๊ะ

หากแต่บุคคลจะสำเร็จ คุณธรรม ก็เพราะตัวพวกท่านทั้งหลายต้อง ภาวนา กันจริง ๆ


  บุคคล จะก้าวล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร


ความเพียรในที่นี้หมายถึง

  1. ท่านทั้งหลายต้องละเลิกในสิ่งที่ไม่ดี หยุดกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ว่างเว้นจากความเกียจคร้านในการภาวนา

อย่าหลงไปกับความประมาท ว่าพรุ่งนี้จักมีชีวิตอยู่ มีความหวังนั้นอยู่ พึงระวังสังวรไว้ว่า ชีวิตสิ้นนัก น้อยนัก

หากแต่เรายังมีเรี่ยวแรง ที่จะภาวนา อย่ามัวหลง อยู่ ในลาำภสักการะ ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือสุขอันเจือด้วย

อามิส และ สรรเสริญเยินยอให้หลง ให้จมอยู่ในโลก

  2. เมื่อท่านทั้งหลายละจากความไม่ดี สิ่งไม่ดี นั้นแล้ว ก็พึงระมัดระวัง อย่าให้ความไม่ดี สิ่งที่ไม่ดี เกิดขึ้น

อีก จงหมั่นสร้าง ทาน ให้ทาน จงรักษา ศีล มีศีล จงเป็นผู้ระมัดระวังกับสิ่งล่อให้ท่านทั้งหลายติดใจในกอง

ทุกข์ สังสารวัฏฏ์ อันเจือด้วยความโศรก ความอาดูล อาลัย

  3. หมั่นสร้างกุศล คือคุณงาม ความดีให้เกิดขึ้นไม่เกียจคร้านในการภาวนา ตั้งใจปฏิบัติในการภาวนา

ตามลำดับพระกรรมฐาน อย่ามัวเพลิดเพลินเรียนแต่ธรรมะ คืออรรถ และ พยัญชนะ จงหมั่นภาวนาด้วยใจ

ที่ศรัทธา เลื่อมใสต่อพระรัตนตรัย จงภาวนาเพื่อตัวท่าน และค้นหาตัวท่าน เพื่อการสิ้นสุดแห่งตน เพื่อความจาง

คลายกำหนัด เพื่อสละออก เพื่อสันติในภายใน เพื่อการสิ้นสุดแห่งพรหมจรรย์

  4. เมื่อการภาวนาที่ได้ผลแล้ว ก็เพิ่มพูนรักษาให้มีขึ้น ให้มากขึ้น จนถึงขอบเขตที่ท่านต้องการ หรือปณิธาน

 สูงสุดคือพระนิพพาน


ท่านทั้งหลาย ทำได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าท่านอยู่ใกล้ พระอาจารย์ มิได้อยู่ไกลจากพระอาจารย์

การคงอยู่ แห่งเนื้อหนังของพระอาจารย์ หามีประโยชน์อันใดไม่ ถ้าหากท่านทั้งหลายเพียงแต่เรียนกรรมฐาน

เพื่อไปเก็บอยู่ในสมุด และหนังสือ

การเรียนกรรมฐาน จักมีประโยชน์คณานับ หากท่านทั้งหลาย ปฏิบัติภาวนา จริง ๆ เหมือนตอนที่พระอาจารย์

นั่งอยู่กับท่านทั้งหลาย






ดังนั้นโปรดอย่าให้ความสำคัญกับเนื้อหนัง ของพระอาจารย์

จงให้ความสำคัญ กับพระกรรมฐาน ของพระบรมศาสดาเถิด และ จงหมั่นภาวนา ให้มากขึ้น

อย่าประมาท จงเรียนธรรมด้วยความเคารพ จงภาวนาธรรมด้วยความศรัทธา จงสัมปยุติด้วยสมาธิ

จงละตนเองด้วยการมองเห็นตามความเป็นจริง จงทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งหลายให้สิ้น ด้วยตัวท่านเถิด



เจริญพร
 ;)
1309  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ประกาศหา เว็บมาสเตอร์ ดูแล ออกแบบ ห้อง เว็บ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 08:34:52 am
เนื่องด้วย ในขณะนี้ ทาง www.madchima.org นั้นจะมีอายุครบ 1 ปี แล้ว

เนื้อที่ส่วน hosting ยังมีำพื้นที่เหลือมาก

ประกอบกับ ขณะนี้เว็บ มีเด็กเข้ามาใช้งาน ไม่ต่ำกว่า 100 กว่าคนซึ่งมีตั้งแต่ ระดับประถม และ มัธยม

สรุปจากเมล์ ที่ส่งมา


อาตมา จึงคิดว่าจักแยกเว็บให้เด็กไป ต่างหาก จึงคิดจะทำ Domain สำหรับเด็ก ต่างหาก

เพื่อไม่ให้สับสนกับข้อความ บางคำถาม และรักษาเนื้อหา จุดประสงค์ของพระกรรมฐาน

ดังนั้นจึง ขอความเห็น จากสมาชิกช่วยกันแสดงความคิดเห็นกันในที่นี้ด้วย


เจริญพร

 ;)
1310  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นิมิต ที่เกิดในธรรม เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 08:06:48 am
จากประสพการณ์ ภาวนา มาจุดหนึ่ง มีนิมิตเกิดในขณะสัมปยุตธาตุ ( ไม่ได้มีเหมือนกันทุกคน )

  พระพุทธเจ้าเปิดบารมีให้เห็นธรรม นำจิตของเราไปด้วยอักขระ 

  ตัวอักขระ นะ ปรากฏที่ข้อมือ นำจิตเข้าไปในเส้นเอ็น จนเห็นกระดูก ของตนเอง กลวงโบ๋

   ครั้นทราบการชี้นำ จิตจึงเจริญวิปัสสนาตาม ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า พิจารณาสัมปยุตธรรมลงไป

  ในเอ็น และ กระดูก ด้วยสมาธิในขณะนั้น จิตเป็นสมาธิแล้ว จึงรู้เห็น แจ้งชัด ตามความเป็นจริง

  ทำการสัมปยุต ธาตุดิน แจ่มชัด ว่า นี้คือ เอ็น และ กระดูก อันชื่อว่าเป็น กาย ของเรา เป็นตัว เป็นตนของ

เรา แต่เราหาควบคุมดูกายนี้ได้ไม่ เอ็น และ กระดูก นี้จึง ว่างเปล่าจากเรา จากของเรา จากตัว จากตนของเรา

แม้จิตนี้ ก็ไม่ครอบครอง จากสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา จนเอ็น และ กระดูก เห็นเด่นชัด

ว่า ไม่ได้เกิดจากเรา จากตัว จากตนของเรา เป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้น เป็นเพียงธาตุที่ตั้งอยู่ เป็นเพียงธาตุที่ดับ

ไม่อยู่ในการบังคับบัญชาของเรา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นสักว่าูธาตุ ตามธรรมชาติ

  แม้ปัจจัยภายนอก อันประกอบด้วยปัจจัย 4 ทั้งหลาย ก็กลายเป็นของน่าเกลียด น่าชัง ร่วมไปกับธาตุ นี้

ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาให้งาม ให้สวย บังเกิดขึ้นเป็นความเสื่อม เพราะธาตุ นี้

 เอ็น และ กระดูก นี้จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็น ตัวตน

ของเรา เพราะว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็ํนตัว เป็นตน เป็นเราเป็นของเรา ไม่อยู่ในอำนาจแห่งเรา

แม้กาย ทั้งหมดนี้ ก็เช่นกัน เป็นแต่เพียงสักว่า กาย หาได้เป็นเรา เพราะกายนี้ก็เกิดขี้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่น

กัน แม่ชีวิตนี้ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา อันไม่ควรเข้าไปยึดมั่น ถือมั่นด้วยใจ

อย่างนี้


เจริญพร
 ;)
1311  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / เชิญร่วมงานบวช ชี พราหมณ์ วัดสวนวาง 17 -21 ธ.ค.2553 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 09:44:56 am
ดือนธันวาผมมีจัดอบรมบวชชีพราหมณ์ครับ วันที่ 17-21 ธ.ค. ถ้าว่างขอนิมนต์นะครับ การ
เดินทางก็มาทางถนนเพชรเกษมสายเก่า  จากถนนสายเอเชีย เลี้ยวที่ทางสามแยกก่อนถึง
อ.หลังสวน เข้าพะโต๊ะ  ไปที่ถึงแยกราชกรูด เลี้ยวซ้ายไป อ.คุระบุรี   พอถึงที่หน้าตัวอำเภอ
คุระบุรี   มีทางแยกเลี้ยวขวาตรงไป 7 ก.ม.ครับ


http://board.watsuanvang.com/read.php?tid-771-page-2.html
1312  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ห้องอุปจาระ สมาธิ ก็เป็นพื้นฐานสำคัญ ( ถอดจิตได้ แยกกายทิพย์ได้ ) เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 09:32:10 am
  ทุกอย่างที่ทำอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าก่อนวิชาธาตุปีติ ยุคล สุข       

    ๑.ธาตุปีติ ยุคล สุข รวมกัน เรียกว่า ธาตุธรรมกาย ใช้ทำเป็นพื้นฐานแห่งอภิญญา จิตแก่กล้าใช้ตติยฌาน(สุข)ได้เลย ถ้ายังไม่แก่กล้าใช้ถึงจตุถะอรูปฌาน ถอยมา ตติยฌาน(สุข)
   
   
    ๒.ธาตุปีติอย่างเดียว เรียกว่า ธาตุปีติวิมุติธรรม  ทำให้กิเลสทั้งปวงหลุด  พิจารณาโดยวิธี บริกัมว่า นิพพาน 
 
    ๓.ธาตุธาตุยุคลหก เรียกว่าธาตุกายอมตะ ประโยชน์ใช้ทำจิตให้สงบจากกิเลส  พิจารณาว่า สงบ
   
    ๔. ธาตุสุขสมาธิเรียกว่า ธาตุสุขนิโรธธัม  ประโยชน์ ทางสุขอยู่ในความว่าง เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์
   
    ธาตุปีติทั้งห้า (ธาตุเทวดา) ใช้ได้ทุกอย่างแล้วแต่จิต   

    ธาตุยุคล(ธาตุพรหม) ใช้ทางเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
   
    ธาตุสุข(ธาตุพระพุทธเจ้า)


    ธาตุกายสุข จิตสุข  มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทำจิตเป็นสุข สยบกิเลส ธาตุ อุปจารพุทธานุสติ ใช้สยบมารทั้งภายนอก ภายใน ใช้สยบภายในภายนอก






ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญ สำหรับผู้ที่เจริญ ยุคคลธรรมหกประการ

ในกรรมฐาน จบในตัวทุกขั้น สมาธิ มีอานุภาพ ทุกขั้นสมาธิ


1313  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ความไม่ประมาท เป็นรากฐาน ของกรรมฐาน เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 09:23:53 am
สายน้ำ ไม่คอยท่า 

เวลา ไม่คอยใคร

ชีวิต ก็ใกล้สิ้นใจ

จะมัว รออะไรกันอยู่


ดังนั้น ความไม่ประมาท เป็นรากฐาน แห่งกรรมฐาน ทั้งปวง

พระพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน จึงย้ำแล้ว ย้ำเล่าว่า

ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด




Aeva Debug: 0.0004 seconds.Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1314  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ความเป็นพระอริยะบุคคล ไม่กลับไปกลับมา เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 09:21:24 am
การเรียน สังโยชน์ 10 ประการ มีความสำคัญ

เพราะสังโยชน์ 10 ประการเปรียน เหมือนข้อสอบที่เราต้องตอบตัวเองว่า

เรามีคุณธรรมอยู่ในระดับไหน


เมื่อพระอริยะบุคคล สิ้นสังโยชน์ ตามฐานะแล้ว ก็ย่อมไม่กลับไปเป็นเช่นเดิมอีก

ดังนั้น ผู้ที่ละสังโยชน์ แล้ว ละแล้ว ก็ละ ได้เลย ไม่ใช่ เดี๋ยวละ ได้ เดี๋ยวละ ไม่ได้

ดังนั้น ท่านก็ตอบตัวเองได้ว่า ท่านละได้สิ้นหรือยัง


กรุณาไปอ่านเรื่อง สังโยชน์ ในหมวดกระทู้ ได้

 ;)




1315  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นวหรคุณ แก้ธาตุกำเริบ เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 08:32:22 pm
จากเมล์เข้ามาถามพระอาจารย์ เรื่อง นวหรคุณ ในการแก้รักษาโรคนั้น

ปรากฏข้อความในหนังสือ ของ หลวงพ่อพระครูสิทธิสังวร เรื่อง

กรรมฐานแก้กรรม รักษาโรค

จักนำข้อความมาแสดงบางส่วน



  รูป  รูป 

รูปแสดงแก้ธาตุกำเริบวิบัติ


จะเห็นได้ว่า การสัมปยุตจิต ลงศูนย์นาภี นั้นมีความสำคัญมาก เพราะประชุมรักษาธาตุ แก้ธาตุกำเริบได้

ผู้ฝึกในห้องพระพุทธคุณ ก็สามารถฝึกได้ ถ้าพลังจิตเพียงพอแล้ว มีความชำนาญในการฝึก อนุโลม ปฏิโลม

ก็สามารถ รวมธาตุ ที่นาภีได้ เช่นกัน

แต่ในส่วน นวหรคุณ นั้นพระอาจารย์ไม่ค่อยเน้นการใช้ เน้นแต่เรื่องภาวนาตัดเสียซึ่งกิเลสเป็นหลัก

ส่วนนี้ ศิษย์ที่มีความสนใจ สามารถศึกษาเพิ่มได้ทั้งจากหนังสือ และ ที่วัดราชสิทธาราม ศูนย์กลาง


เจริญพร พอเป็นตัวอย่าง

 ;)

Aeva Debug: 0.0005 seconds.
1316  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไำฟทั้งสี่ ผู้ปฏิบัติ พึงสังวร ครั้นเมื่อจะตายจักเป็นที่พึ่ง เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 10:28:15 am
ไฟดวงแรก แลเห็น เท่าหิ่งห้อย
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ไม่ลงนรกและ ปิดอบาย ไฟนี้เป็นของพระโสดา
 
 ไฟดวงสอง เห็นเท่ากับดาวรุ่ง ประเสริฐนัก
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ก็จะไปเกิดในชั้นอินทร์ ชั้นพรหม เกิดอีก 1 ชาติก็สิ้นสุด
 
     ไฟนี้เป็นของ พระสกิทาคามี
 
 ไฟดวงสาม เห็นเท่ากับเดือนเพ็ญ ส่องสว่างให้เห็นทั่ว แต่ก็ขมุกขมัวอยู่
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายถือเอาไว้ ก็ไปเกิดในชั้นพรหม ทั้ง 5 ไม่กลับมาเิกิดเป็นมนุษย์อีก
 
     ไฟนี้เป็นของ พระอนาคามี
 
 ไฟดวงที่สี่ สว่างดั่งดวงพระอาิทิตย์ ส่องให้เห็นทั่ว ถึงพระนิพพาน รุ่งเรืองชวาลา
 
     ครั้นได้ไฟนี้แล้ว เมื่อจะตายให้พรแก่มาร ปัญจะมาเร ชิเน นาโถ  ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง  จะตุสัจจัง มะหาวีรัง วันทามิหัง ปัญจะมาเรปะลายิงสุ  ภาวนาให้พรแก่มารทั้ง 5 ยังมาบังเกิดเล่า เหตุว่ามิได้ประจุร่างเสียก่อน
 
 ให้ประจุรูปร่าง ด้วยบาท ฉะนี้ 
 
     สัพเพา สังขารา อุปปัตชิตตะวา นิรุชฌันติ นัตถิ ชะนัง วินาสสันติ
 
     ครั้นประจุร่างแล้ว เอาจิตผูกไว้ เอานิพพานเป็นอารมณ์ แล้วว่าดังนี้
 
     ภัยอันใดอย่าได้มาเบียดเบียนข้าเลย เบียดเบียนข้าวันใดข้าจะนิพพานวันนั้นแล
 
     ว่าดังนั้นแล้ว ก็เอาจิตหน่วงพระนิพพาน ไม่ต้องภาวนาอีก
 
     อันว่าจตุรภูต ทั้ง 4 ย่อมไม่รักษา เพราะได้ประจุร่างเสียแล้ว
 
     จึงให้ไปเกิดใน อกนิษฐพรหม ก็ยังไม่พ้น
 
     อันว่านิพพานย่อมไปเกิดในดวงแก้ว ให้ว่าคาถานี้ก่อน
 
     ยังกิญจิรูปัง อะตีตานาคเต ปัจจุปปันนัง อชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา
 
     ปะณีตัง วา ยังทูเร วา สันติเก วา สัพเพ นามะรูปัง อนิจจัง ขะยัตเถนะ ทุกขัง ภะยัตเถนะ อะนัตตา
   
     อะสาระกัตเถนะ
 
     ครั้นว่าคาถานี้แล้ว ก็เกิดในดวงแก้ว กล่าวคือพระนิพพาน
 
 
     พรหม เกิดในดอกบัวแก้ว
 
     สวรรค์ เกิดในดอบัวทอง
 
     นรก เกิดแต่ถ่านไฟแดง
1317  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกี่ยวกับ FWD MAIL หรือ จดหมายส่งต่อ แบ่งกันอ่าน เมื่อ: กันยายน 08, 2010, 08:05:35 am
สำหรับจดหมายส่งต่อ แบ่งกันอ่าน นั้น พระอาจารย์ ขออย่าโพสต์ เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ ห้ามโพสต์ ภาพโป๊ เปลือย

สัปปะดน อันผิดต่อศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม อันดีงามของชาวพุทธไทย นะจ๊ะ

ผู้ใดปฏิบัติ ตามนี้ ก็ขอให้ ประสพกับความสุข อายุ วรรณะ สุขะ และ พละ ตามสมควรแก่ธรรม

ส่วนผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ยกเลิก สมาชิก นะจ๊ะ

สาธุ

เจริญพร

 ;)
1318  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สภาวะที่สามารถ เข้ากรรมฐาน ให้จิตเป็นสมาธิ ได้ไว เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 09:17:04 am
เนื่องด้วยมีเมล์ มาหาพระอาจารย์โดยตรง เรื่องของการปฏิบัติสมาธิ ไม่ค่อยได้

ทำอย่างไร จักทรงอารมณ์สมาธิ ได้อย่างรวดเร็ว และ ได้ผลมากที่สุด

วันนี้ พระอาจารย์ จะมาแนะนำการปฏิบัติสมาธิ ที่ได้ผลมากที่สุด

คงสนใจกันบ้าง สำหรับ คนที่ทำอะไรกับเขาไม่ค่อยจะเป็นสมาธิ หรือ ไม่ค่อยจะบังคับจิต เท่าใด



1.วิธีที่ 1 หางานทำที่ออกแรงมาก ๆ เช่น ไปดายหญ้า ข้างบ้าน

   หรือ ทำงานในบ้านให้ มากขึ้น เช็ดกระจก จัดห้อง ทำงานให้เหงื่อหยด หอบแฮ่ก ๆ เลยนะจ๊ะ

  อันนี้พระอาจารย์ ไม่ได้พูดเล่น หรือ พิมพ์ให้อ่านคลายเครียด แต่อันนี้เป็นความจริง ทางสภาวะกาย

  ที่เหนื่อย ๆ นั้นก็มักจะหยุด จำศีล โดยธรรมชาติแห่งกาย ในช่วงนั้นเป็นสภาวะ ที่ปล่อยวางมากที่สุด

 สังเกต ให้ดีเวลานิสัย ปุุถุชนนั้น เวลาทำอะไรแล้ว เหนื่อย ๆ  ๆ มาก ๆ ต่อให้มีเงินวาง มีรถให้ ก็ไม่เอาหรอก

 ในภาวะของอัตตกิลมถานุโยค ของพวกฤาษี ก็อาศัยเหตุตรงนี้ เป็นสภาวะ เข้าสู่ ฌาน ในรูปแบบต่าง ๆ

 ดังนั้นเมื่อเราเหนื่อยได้ทีี่แล้ว เช่นออก ไปวิ่งรอบบ้าน สัก 2 - 3 รอบ แล้วกลับมานั่งสมาธิ ตอนนี้ ท่าน

ทั้งหลาย จะได้ยินเสียงทิพย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวใจ เสียงลม เสียงปอด เสียงรอบด้าน เพราะตอนนี้

ท่านทั้งหลายเข้าสู่สภาวะปล่อยวาง ว่างจากนิวรณ์

  ก็เชิญท่านปฏิบัติ กรรมฐาน ให้มากขึ้น โดยเวลาภาวนานั้นก็ไม่ต้องไม่คำนึงถึงเวลาจะมาก หรือ จะน้อย

ทำได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ทำอย่างนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวท่านก็ทรงอารมณ์สมาธิ ได้ในเบื้องต้น เป็นการปรับสมดุลย์

นะจ๊ะ ก็ยังไม่ถึงที่สุด แต่พระอาจารย์เชื่อว่าหลายท่านก็จะทำได้อย่างง่าย

 ( ที่สำคัญเหนื่อยแล้ว อย่าพึ่งดื่ม อย่างพึ่งกิน อย่าพึ่งนอน อย่าเอนกาย และควรนั่งในที่อากาศถ่ายเทได้ดี)

2. วิธีที่ 2 แบบพระหน่อย ก็ให้ไปเิดินจงกรมกลับไป กลับมาสัก 30 นาที แล้วกลับมาปฏิบัติ สภาวะตรงนี้

 จะได้สองชั้น คือได้แบบที่ 1 และสามารถเดินจิตได้อย่างหยาบ และ กลาง สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อน

3.สภาวะของความป่วยเข้ามาเบียดเบียน แบบต้องนอน กระแส่ว ๆ ทำอะไรไม่ได้ นั้นเป็นสภาวะที่ควรปล่อย

วางมากที่สุด นึกอารมณ์ให้มันน้อยใจมาก ๆ เลย จะได้เห็นความทุกข์ มาก ๆ นึกอย่างไร นึกอย่างนี้ว่า

อันร่างกายนี้ ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชา ของเราเลยนะบอกให้ปกติ ก็ไม่ปกติ บอกให้หลัีบก็ไม่หลับ บอกให้กิน

มันก็ไม่กิน ช่างเป็นกายที่ไม่เอากับเรา และ ไม่เชื่อฟังเราเลย ( นึกไปเถอะนะตามนี้ เดี๋ยวก็ปล่อยวาง เพราะ

ธรรมชาติ ของปุถุุชนนั้น ต้องปล่อยวาง ไม่มีใครถือมันได้ 24 ชั่วโมงหรอกนะจ๊ะ ) เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ลอง

ปฏิบัติกรรมฐาน ส่งอารมณ์ บ้าง เผื่อท่านทั้งหลายจะได้ สังขารุเบกขาญาณ อันเป็น ปฐมฌานของ ปัญญาวิมุตติ




เท่านี้ก่อนนะจ๊ะทุกท่าน



แค่ 3 วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่เหลือเฟือมากแล้ว นะ

เจริญพร

 ;)

1319  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มองเห็นตามความเป็นจริง เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 11:47:00 am

 
 
 
ภาพนี้ ถ้าดูผิวเผิน แล้ว ละก็ แสดงว่าสายตา เราไม่ละเอียด สักแต่รูปจิต เป็นตัณหา
   
 
คนมีกิืเลส มีัตัณหา ส่วนใหญ่ จะมองเป็นรูปสัปดน
   
   
 คนที่ฝึกธรรมะ ไว้ดี จักมองเห็นความจริง
   
 การฝึกภาวนา ก็คือการมองเห็นตามความเป็น จริง ไม่ติดสิ่งลวง นะจ๊ะ
   
   
 เห็นว่าภาพมีความหมายดี นำมาโพสต์ไว้ให้ชม เพื่อได้เกิดสติ
1320  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมลึกซึ้ง อย่าได้ดูหมิ่น เป็นของตื้น เมื่อ: กันยายน 01, 2010, 10:53:32 am
๒. มหานิทานสูตร (๑๕)
        [๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:
     
      สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ นามว่า กัมมาส
ทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน  ข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้กราบทูลความข้อนี้กะ พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา

ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น    อานนท์
ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก

ดูกรอานนท์   เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้
จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย
เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ
วินิบาต สงสาร

ดูกรอานนท์   เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี ฃ

ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย   

เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็น ปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ตัณหามี   อะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีนามรูป  เป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ

เธอพึง ตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

ดูกรอานนท์  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล

จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิด ผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิด เวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิด ตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิด อุปาทาน   

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิด ภพ

เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส ฯ     
     
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35