ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บังเกิดในอเวจีเพียง ๗ วัน จากนั้นไปจุติที่สวรรค์ชั้นดุสิต..ใครกัน.?  (อ่าน 2905 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


๖. เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี
             
   
    ข้อความเบื้องต้น               
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี
    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา" เป็นต้น.

    พระนางมัลลิกาทำสันถวะกับสุนัข               
    ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระนางมัลลิกาเทวีนั้น เสด็จเข้าไปยังซุ้มสำหรับสรงสนาน ทรงชำระพระโอษฐ์แล้ว ทรงน้อมพระสรีระลงปรารภเพื่อจะชำระพระชงฆ์ มีสุนัขตัวโปรดตัวหนึ่ง เข้าไปพร้อมกับพระนางทีเดียว มันเห็นพระนางน้อมลงเช่นนั้น จึงเริ่มจะทำอสัทธรรมสันถวะ.
 
     พระนางทรงยินดีผัสสะของมัน จึงได้ประทับยืนอยู่. พระราชาทรงทอดพระเนตรทางพระแกลในปราสาทชั้นบน ทรงเห็นกิริยานั้น ในเวลาพระนางเสด็จมาจากซุ้มน้ำนั้น จึงตรัสว่า "หญิงถ่อย จงฉิบหาย เพราะเหตุไร เจ้าจึงได้ทำกรรมเห็นปานนี้?"

     พระราชาแพ้รู้พระนางมัลลิกา               
     พระนาง. หม่อมฉันทำกรรมอะไร พระเจ้าข้า.
     พระราชา. ทำสันถวะกับสุนัข.
     พระนาง. เรื่องนี้หามิได้ พระเจ้าข้า.
     พระราชา. ฉันเองเห็น ฉันจะเชื่อเจ้าไม่ได้, หญิงถ่อย จงฉิบหาย.
     พระนาง. ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ผู้ใดผู้หนึ่งเข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ผู้เดียวเท่านั้น ก็ปรากฏเป็นสองคน แก่ผู้ที่แลดูทางพระแกลนี้.


     พระราชา. เจ้าพูดไม่จริง หญิงชั่ว.
     พระนาง. พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปยังซุ้มน้ำนั้น. หม่อมฉันจักแลดูพระองค์ทางพระแกลนี้.
     พระราชาติดจะเขลา จึงทรงเชื่อถ้อยคำของพระนาง แล้วเสด็จเข้าไปยังซุ้มน้ำ. ฝ่ายพระนางเทวีนั้นแล ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ที่พระแกล ทูลว่า "มหาราชผู้มืดเขลา ชื่ออะไรนั่น. พระองค์ทรงทำสันถวะกับนางแพะ" แม้เมื่อพระราชาจะตรัสว่า "นางผู้เจริญ ฉันมิได้ทำกรรมเห็นปานนั้น" ก็ทูลว่า "แม้หม่อมฉันเห็นเอง หม่อมฉันจะเชื่อพระองค์ไม่ได้."

     พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงเชื่อว่า "ผู้เข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ ผู้เดียวเท่านั้น ก็ย่อมปรากฏเป็นสองคนแน่." พระนางมัลลิกาทรงดำริว่า "พระราชานี้อันเราลวงได้แล้ว ก็เพราะพระองค์โง่เขลา, เราทำกรรมชั่วแล้ว ก็พระราชานี้ เรากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง, แลแม้พระศาสดาจักทรงทราบกรรมนี้ของเรา, พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี พระอสีติมหาสาวกก็ดี จักทราบ, ตายจริง เราทำกรรมหนักแล้ว."
     ทราบว่า พระนางมัลลิกานี้ได้เป็นสหายในอสทิสทานของพระราชา.


   
     พระนางมัลลิกาเกิดในอเวจี               
     ก็ในอสทิสทานนั้น การบริจาคที่ทรงทำในวันหนึ่ง มีค่าถึงทรัพย์ ๑๔ โกฏิ.
     ก็เศวตฉัตร บัลลังก์ประทับนั่ง เชิงบาตร ตั่งสำหรับรองพระบาทของพระตถาคตเจ้า ๔ อย่างนี้ ได้มีค่านับไม่ได้.
     ในเวลาจะสิ้นพระชนม์ พระนางมัลลิกานั้นมิได้ทรงนึกถึงการบริจาคใหญ่ เห็นปานนั้น
     ทรงระลึกถึงกรรมอันลามกนั้นอย่างเดียว สิ้นพระชนม์แล้ว ก็บังเกิดในอเวจี.
     ก็พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นผู้โปรดปรานของพระราชาอย่างยิ่ง.

     พระราชาทูลถามสถานที่พระนางเกิด               
     ท้าวเธออันความโศกเป็นกำลังครอบงำ รับสั่งให้ทำฌาปนกิจพระสรีระของพระนางแล้ว
     ทรงดำริว่า "เราจะทูลถามสถานที่เกิดของพระนาง" จึงได้เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา.

     พระศาสดาได้ทรงทำโดยประการที่ท้าวเธอระลึกถึงเหตุที่เสด็จมาไม่ได้.
     ท้าวเธอทรงสดับธรรมกถาชวนให้ระลึกถึงในสำนักของพระศาสดาแล้ว ก็ทรงลืม;

     ในเวลาเสด็จเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ทรงระลึกได้ จึงตรัสว่า
     "พนาย ฉันตั้งใจว่า ‘จักทูลถามที่พระนางมัลลิกาเทวีเกิด’ ไปยังสำนักของพระศาสดาก็ลืมเสีย.
     วันพรุ่งนี้ ฉันจะทูลถามอีก" ดังนี้แล้ว ก็ได้เสด็จไป
     แม้ในวันรุ่งขึ้น.ฝ่ายพระศาสดาก็ได้ทรงทำโดยประการที่ท้าวเธอระลึกไม่ได้ตลอด ๗ วันโดยลำดับ.

     ฝ่ายพระนางมัลลิกานั้นไหม้ในนรกตลอด ๗ วันเท่านั้น.
     ในวันที่ ๘ จุติจากที่นั้นแล้ว เกิดในดุสิตภพ.
 

   
     ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระศาสดาจึงได้ทรงทำความที่พระราชานั้น ทรงระลึกไม่ได้?
     แก้ว่า ทราบว่า พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นที่โปรดปรานพอพระทัยของพระราชานั้นอย่างที่สุด?
     เพราะฉะนั้น ท้าวเธอทราบว่า พระนางเกิดในนรกแล้ว ก็จะทรงยึดถือมิจฉาทิฏฐิ
     ด้วยทรงดำริว่า "ถ้าหญิงผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ เกิดในนรกไซร้ เราจะถวายทานทำอะไร?" ดังนี้แล้ว ก็จะรับสั่งให้เลิกนิตยภัตที่เป็นไปในพระราชนิเวศน์เพื่อภิกษุ ๕๐๐ รูปแล้วพึงเกิดในนรก
     เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงทรงทำความที่พระราชานั้นทรงระลึกไม่ได้ตลอด ๗ วัน


    ในวันที่ ๘ ทรงดำเนินไปเพื่อบิณฑบาต ได้เสด็จไปยังประตูพระราชวังด้วยพระองค์เองทีเดียว.
    พระราชาทรงทราบว่า "พระศาสดาเสด็จมาแล้ว" จึงเสด็จออก
    ทรงรับบาตรแล้ว ปรารภเพื่อจะเสด็จขึ้นสู่ปราสาท.
    แต่พระศาสดาทรงแสดงพระอาการเพื่อจะประทับนั่งที่โรงรถ.
    พระราชาจึงทูลอัญเชิญพระศาสดาให้ประทับนั่ง ณ ที่นั้นเหมือนกัน


    ทรงรับรองด้วยข้าวยาคูและของควรเคี้ยวแล้ว จึงถวายบังคม พอประทับนั่ง ก็กราบทูลว่า
    "หม่อมฉันมาก็ด้วยประสงค์ว่า ‘จักทูลถามที่เกิดของพระนางมัลลิกาเทวี แล้วลืมเสีย พระนางเกิดในที่ไหนหนอแล? พระเจ้าข้า."
    พระศาสดา. ในดุสิตภพ มหาบพิตร.
    พระราชา. พระเจ้าข้า เมื่อพระนางไม่บังเกิดในดุสิตภพ คนอื่นใครเล่าจะบังเกิด พระเจ้าข้า
    หญิงเช่นกับพระนางมัลลิกานั้นไม่มี เพราะในที่ๆ พระนางนั่งเป็นต้น กิจอื่น เว้นการจัดแจงทาน
    ด้วยคิดว่า "พรุ่งนี้ จักถวายสิ่งนี้ จักทำสิ่งนี้ แด่พระตถาคต" ดังนี้ไม่มีเลย พระเจ้าข้า
    ตั้งแต่เวลาพระนางไปสู่ปรโลกแล้ว สรีระของหม่อมฉันไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า.


   
    ธรรมของสัตบุรุษไม่เก่าเหมือนของอื่น              
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า "อย่าคิดเลยมหาบพิตร นี้เป็นธรรมอันแน่นอนของสัตว์ทุกจำพวก"     
    แล้วตรัสถามว่า "นี้รถของใคร? มหาบพิตร."
    พระราชาทรงประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียรแล้ว ทูลว่า "ของพระเจ้าปู่ของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า."
    พระศาสดา. นี้ ของใคร?
    พระราชา. ของพระชนกของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.


    เมื่อพระราชากราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า
    มหาบพิตร รถของพระเจ้าปู่ของมหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของพระชนกของมหาบพิตร, รถของพระชนกของมหาบพิตร ไม่ถึงรถของมหาบพิตร, ความคร่ำคร่าย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้ชื่อเห็นปานนี้, ก็จะกล่าวไปไย ความคร่ำคร่าจักไม่มาถึงแม้แก่อัตภาพเล่า?
    มหาบพิตร ความจริง ธรรมของสัตบุรุษเท่านั้นไม่มีความชรา, ส่วนสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี.
    ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
                            ๖. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา                
                               อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
                               สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
                               สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.

                   ราชรถที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้แล, อนึ่ง ถึงสรีระก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า,
                   ธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงความคร่ำคร่าไม่, สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ
.


อ้างอิง
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=6
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=662&Z=691
ขอบคุณภาพจาก http://palungjit.com/,http://www.dhammajak.net/,http://www.dmc.tv/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 22, 2013, 07:57:33 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
   
     พระนางมัลลิกาเกิดในอเวจี               
     ก็ในอสทิสทานนั้น การบริจาคที่ทรงทำในวันหนึ่ง มีค่าถึงทรัพย์ ๑๔ โกฏิ.
     ก็เศวตฉัตร บัลลังก์ประทับนั่ง เชิงบาตร ตั่งสำหรับรองพระบาทของพระตถาคตเจ้า ๔ อย่างนี้ ได้มีค่านับไม่ได้.
     ในเวลาจะสิ้นพระชนม์ พระนางมัลลิกานั้นมิได้ทรงนึกถึงการบริจาคใหญ่ เห็นปานนั้น
     ทรงระลึกถึงกรรมอันลามกนั้นอย่างเดียว สิ้นพระชนม์แล้ว ก็บังเกิดในอเวจี.
     ก็พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นผู้โปรดปรานของพระราชาอย่างยิ่ง.

หิ่งห้อยอเวจี อิตถีสังวรณ์

     ชายถ่อยต่ำค่อมเตี้ย           ฤาชู้
เท้าสี่จัญไรรู้                          แม่ป้อง
บาปชั่วใช่หมายคู้                ศีลกลบ มลายนอ
ตายมืดบาปเขื่องจ้อง        หิ่งห้อยเรืองเห็น.


                                                        ธรรมธวัช.!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2013, 06:32:43 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา